7 ก.พ. 2021 เวลา 08:47 • ประวัติศาสตร์
ประวัติย่อ กำเนิด เรือ titanic
เรือที่ไม่อาจหนีพ้นโชคชะตา
rms titanic
เมื่อพูดถึงเรือไททานิค เพื่อนๆคงนึกถึงเพลง My Heart Will Go On มาแต่ไกลเพราะจริงๆครับ ดูไปน้ำตาก็ไหลไป😭 ตัวหนังก็ยอดเยี่ยมจริงๆ
บทความนี้จึงอยากจะชวนเพื่อนๆมาดูประวัติ การเกิดของพระเอกของตัวหนังคือ ไททานิค ครับว่ามีความเป็นมาอย่างไร ลองไปอ่านกันครับ
การกำเนิด
ในช่วงต้นทศวรรษ ตรงกับปีพ.ศ 2443 การค้าและการเดินทางระหว่างอเมริกาและยุโรปนั้นเพิ่มขึ้นสูงอย่างมาก ส่งผลให้ตลาดมีความต้องการเรือโดยสารอย่างสูง
มีหลายบริษัทต่อเรือที่สนใจตลาดด้านนี้ จนเกิดการแข่งขันการสร้างเรือออกมามากมายเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน เรียกได้ว่าใครเล็กกว่าคืออ่อนเลยครับ
และผู้เล่นหลักในตลาดอย่างบริษัท White Star Line ที่จะเป็นแกนของเรื่องราวต้นกำเนิดเรือไททานิคพระเอกของเรานั้นเองครับ
โดยบริษัท white star line เป็นบริษัทเดินเรือสัญชาติอังกฤษ แต่ถูกเจพีมอร์แกน takeover ไป โดยยังให้คนอังกฤษเป็นผู้บริหารเหมือนเดิมครับ
จอห์น เพียร์พอนต์ มอร์แกน (John Pierpont Morgan)
และทางบริษัท white star ถือว่าเป็นบริษัทที่มี ประสบการณ์การสร้างเรือมาอย่างโชกโชน จนปี พ.ศ 2444 บริษัทได้สร้างเรือที่ใหญ่ที่สุดของบริษัทและของโลก ณ ขณะนั้นคือ rms celtic(อาร์เอ็มเอส เซลติก)
ซึ่งมีระวางขับน้ำถึง 21035 ตันบรรจุคนได้ถึง 2870 คนเลยทีเดียวครับ อนาคตของเรือลำนี้ยังได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่1อีกด้วยครับ
rms celtic
ต่อมาในปีพ.ศ 2449 เรือ ss america (เอสเอส อเมริกา)โดยบริษัท United States Lines ก็กลายเป็นเรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุดแทน
เรือลำนี้ถือได้ว่าเป็นความภูมิใจของชาวอเมริกันเลยครับและได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มจาก ประธานาธิบดี รูสเวลต์ ด้วยครับ แต่น่าเสียดาย หลังเปิดตัวได้วันเดียว นาซีเยอรมนีก็บุกโปแลนด์ ทำให้เรือต้องเข้ารับใช้ชาติแทนครับ ในฐานะเรือขนส่งทหาร
ss america
และในปีเดียวกันนั้นเองบริษัท white star line ก็กลับมาทวงบัลลังก์ด้วยเรือ rms Baltic(อาร์เอ็มเอส บอลติก)มีระวางขับน้ำถึง 23,876 ตันและบอลติก ยังเคยส่งคำเตือนเกี่ยวกับน้ำแข็งไปยัง RMS Titanic ก่อนจะเกิดเหตุการณ์
Baltic
แต่แล้วในปีพ.ศ 2450 เรือ ss kaiserin auguste victoria (ไกเซอร์อิน ออกัสตัส วิกตอเรีย)โดยบริษัทเดินเรือ Hamburg america line( ฮัมบูร์กอเมริกา)ก็แซงกลายเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดไป
โดยเรือลำนี้เป็นของชาวเยอรมัน ภายหลังสงครามโลกจะถูกอเมริกายึดและเปลี่ยนชื่อเป็น RMS Empress of Scotland (จักรพรรดินีแห่งสกอตแลนด์)แทนครับ
kaiserin auguste victoria
ต่อมาในปีพ.ศ 2450 บริษัท Cunard line(คูนาร์ทไลน์)คู่แข่งคนสำคัญของ white star line ก็สร้างเรือ rms lusitania ขนาด 30000ตัน ที่ทั้งใหญ่และเร็วที่สุดในโลกได้สำเร็จ
อนาคตเรือลำนี้จะถูกเรือดำน้ำเยอรมันยิงตอร์ปิโดเข้าใส่ในระหว่างสงครามโลกจนเรือลูซิเทเนีย อับปางลงใน 18 นาที คร่าชีวิตลูกเรือถึง 1,198 คน จนเป็นข่าวดัง
ภายหลังจากการจมเรือลูซิเทเนียอันโด่งดังในปีพ.ศ 2458 เยอรมนีสัญญาว่าจะไม่โจมตีเส้นทางของเรือพาณิชย์อีก
อาร์เอ็มเอส ลูซิเทเนีย ( RMS Lusitania)บน อาร์เอ็มเอส มอร์เรทาเนีย(RMS Mauretania)
ไม่เพียงเท่านั้นบริษัท cunard line ใช้เวลาไม่เท่าไรก็เปิดตัว RMS Mauretania เรือที่ใหญ่ลบสถิติเดิมระวางน้ำกว่า 31,938 ตัน ออกมาอวดโฉมกดดัน white star อีกครั้ง โดยเรือลำนี้ถือว่ามีความเร็วมากที่สุดในโลก ในเส้นทางเดินเรือแอตแลนติกและจะครองสถิตินี้ไปถึง 20 ปีเลยทีเดียวครับ
และในปีเดียวกันที่เรือของ cunard line ออกให้บริการ Bruce Ismay ประธานบริษัท white star line และหุ้นส่วนอาวุโสและประธานของอู่ต่อเรือ Harland and Wolff Lord William Pirrie เริ่มนั่งไม่ติดเพราะผู้คนเริ่มหันไปสนใจคู่แข่งมากกว่าเรือของพวกเขา
จึงได้ไปรวมตัวประชุมเครียดที่ downshire Belgrave Square ในกรุงลอนดอน เพื่อช่วยกันวางแผนคิดสร้างเรือที่ดีกว่าของบริษัท cunard line ให้ได้ เพราะจะไม่ยอมให้เล็กกว่า
(William Pirrie ภาพบน)(Bruce Ismay ภาพล่าง)
โดยทางบริษัทสรุปจะสร้างเรือสามลำ ชั้นเดียวกัน ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมี และจะเน้นไปที่ความหรูหรามีระดับอีกด้วย
โดยลำแรกคือ RMS Olimpic (อาร์เอ็มเอส โอลิมปิค) สร้างเสร็จในปีพ.ศ 2454 และมีขนาดใหญ่กว่าเรือเดิมของบริษัทถึง 40%
และลำต่อมาที่จะเป็นตำนานและแกนเรื่องของเราคือ rms Titanic (อาร์เอ็มเอส ไททานิค)นั้นเองครับโดยสร้างเสร็จในปีพ.ศ 2455
และเรือลำสุดท้ายของโครงการ ตอนแรกจะใช้ชื่อ อาร์เอ็มเอส ไจแอนต์ติก หรือ อาร์เอ็มเอส กิก้าติก (RMS Gigantic) แต่ว่า มันสร้างเสร็จใน ปีพ.ศ 2457 ภายหลังการเหตุการณ์ของ titanic ส่งผลให้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น อาร์เอ็มเอส บริแทนนิค (RMS Britannic)
การก่อสร้างตัวเรือ ไททานิค
การก่อสร้างเรือไททานิคเริ่มขึ้นในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2452
Thomas Andrews วิศวกรผู้ออกแบบ
เมื่อนักออกแบบเจมส์แอนดรูส์วางกระดูกงูแผ่นแรกในอู่ต่อเรือ Harland & Wolff เมืองเบลฟาสต์ประเทศไอร์แลนด์
ภาพอู่ต่อเรือและทีม Draftsman ทำงานภายใต้ Andrew's เพื่อให้แน่ใจว่า Titanic เป็นเรือที่ซับซ้อนที่สุดในยุคนั้น
ใช้คนงานถึง 14,000 คนเพื่อสร้างเรือขนาดมหึมาลำนี้ ระหว่างการสร้างมีพนักงาน 8 คนต้องเสียชีวิตในการทำงาน
ใช้เวลากว่าหนึ่งปีในการจัดวางกระดูกงูและส่วนต่างๆของไททานิคให้เข้าที่ จากนั้นแผ่นเหล็กขนาดใหญ่จึงถูกตรึงเข้ากับโครง และต้องใช้หมุดมากกว่าสามล้านตัวในการยึดเหล็กให้เข้าที่ ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2453 โครงสร้างภายนอกของไททานิคจึงเสร็จสมบูรณ์
ภายในตัวถังเรือไททานิคมีหม้อไอน้ำ29หม้อมีเตาหลอม 159 เตาทำหน้าที่ขับดันเครื่องยนต์ แบบลูกสูบสองตัว
เครื่องยนต์ของไททานิคเป็นแบบลูกสูบที่มีเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาซึ่งมีความสูงเกือบสี่สิบฟุตและมีเส้นผ่าศูนย์กลางเก้าฟุต
หม้อไอน้ำก็มีขนาดใหญ่เช่นกัน สูงเกือบเท่าตึกสองชั้น
7,500,000 ดอลลาร์ คือค่าใช้จ่ายในการสร้างเรือไททานิค (1.5 ล้านปอนด์)
เมื่อเรือสร้างเสร็จ จะกลายเป็นวัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น ที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในยุคนั้นเลยครับ
ภายในเรือ
ทุกอย่างบนเรือเป็นของใหม่เอี่ยมหรือทำขึ้นโดยเฉพาะสำหรับเรือเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายตลอดการเดินทาง
ทางขึ้นบันไดภายในตัวเรือ
ห้องโดยสารหรือห้องชุดทุกห้องจะมีน้ำให้ใช้ทุกห้อง มีฟิสเนส มีสระว่ายน้ำ
ห้องผู้โดยสารชั้นสามจะมีความหรูหราและออกแบบมาเพื่อความเป็นส่วนตัว สำหรับคนมีฐานะ
ภาพสถานที่จริง
และสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเรือไททานิคหนีไม่พ้นชุดขั้นบันไดขนาดใหญ่ของผู้โดยสารชั้นหนึ่ง บันไดจะสว่างด้วยแสงธรรมชาติผ่านโดมแก้วและสว่างไสวในเวลากลางคืนด้วยไฟคริสตัล เป็นการจัดแสงได้อย่างอลังการสมฐานะเรือสุดหรูครับ
การออกทะเลครั้งแรก
เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2454 ไททานิคได้รับการปล่อยตัวจากอู่แห้ง
ฝูงชนรวมยินดี
ฝูงชนจำนวนมากเกือบ 100,000 คนเฝ้าดูเรือไททานิคค่อยๆลงทะเลครั้งแรก
เมื่อวันที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2455 ไททานิคเสร็จสิ้นการทดลองในทะเล
หลังจากการทดลองทางทะเลหกชั่วโมงไททานิกออกจากเบลฟาสต์ในเวลาเที่ยงวันเพื่อเดินทางไปยังเซาแธมป์ตัน 550 ไมล์ภายใต้คำสั่งของกัปตันเฮอร์เบ็ตแฮดด็อก การเดินทางไปยังเซาแธมป์ตันจะพิสูจน์ได้ว่าเรือลำนี้พร้อมแล้ว
และแปดวันต่อมาไททานิคจะออกเดินทางครั้งแรกเพื่อไปสหรัฐอเมริกาและจะเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายครับ
การเดินเรือครั้งสุดท้าย
เรือ ไททานิค ถือว่าเป็นหนึ่งในเรือที่หรูหราและปลอดภัยที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา และมีความเป็นที่สุดในหลายๆด้าน จนมีคำกล่าวว่าติดตลกว่า "พระเจ้าก็ไม่มีวันจมเรือลำนี้ได้"
ระหว่างเดินทางไปอเมริกา ตรงกับวันที่ 14 เมษายน ไททานิค ได้รับคำเตือนถึงหกครั้งเกี่ยวกับก้อนน้ำแข็งในทะเล ไม่แน่ชัดด้วยเหตุอะไร ทางเรือจึงยังคงวิ่งด้วยความเร็วปกติ
และด้วยความเร็วประมาณ 22 นอต ทำให้เมื่อเรือมองเห็นภูเขาน้ำแข็ง แต่เรือก็ไม่สามารถที่จะเลี้ยวหลบได้ทัน ส่งผลให้เรือได้รับความเสียหายจากการชนแฉลบที่กราบขวาของเรือ และสร้างรอยรั่วใน 6 ห้องจาก 16 ห้องของตัวเรือ
โดยไททานิค ได้รับการออกแบบให้ลอยอยู่ได้เมื่อห้องเรือด้านหัวเรือ 4ห้องถูกน้ำท่วมเท่านั้น และในไม่ช้าลูกเรือก็ตระหนักว่าเรือกำลังจะจม
พวกเขาใช้พลุแฟลร์และส่งข้อความทางวิทยุโทรเลข เพื่อขอความช่วยเหลือ ขณะที่ผู้โดยสารถูกนำไปยังเรือชูชีพ
ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ขึ้นเรือชูชีพ เพราะระบบจัดการของเจ้าหน้าที่เรือที่ย่ำแย่ อุปกรณ์ช่วยเหลือก็ไม่เพียงพอจนเกิดความโกลาหลไปทั่วเรือ
และตัวเรือก็จมอย่างรวดเร็ว ทำให้คนต้องหนีตายกระโดดลงทะเล เกือบทุกคนจมน้ำตายหรือเสียชีวิตภายในไม่กี่นาทีเนื่องจากผลของสภาวะช็อกจากความเย็น
ต่อมาเรือช่วยเหลือ อาร์เอ็มเอส คาร์เพเทีย มาถึงที่เกิดเหตุประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งหลังจากเรือจม และช่วยผู้รอดชีวิตคนสุดท้ายในเวลา 09:15 น. ในวันที่ 15 เมษายน ราวเก้าชั่วโมงครึ่งหลังจากการชนภูเขาน้ำแข็ง มีผู้เสียชีวิตถึง 1,490–1,635
เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้โลกตื่นตะหนกและทำให้เกิดความโกรธแค้นอย่างกว้างขวางจากเรื่องมาตฐานความปลอดภัยที่ไม่เพียงพอ
กฎระเบียบที่หละหลวม และการปฏิบัติต่อผู้โดยสารทั้งสามชั้นที่ไม่เท่าเทียมกันในระหว่างการอพยพ
มีการไต่สวนในภายหลังสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมของกฎระเบียบทางทะเล นำไปสู่การจัดตั้งในปี 1914 ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยความปลอดภัยแห่งชีวิตในทะเล (SOLAS)ครับ
และนี่คือประวัติย่อๆของ titanic เรือยักษ์ที่ได้ฉายาว่า เรือที่ไม่มีวันจม เหตุการณ์ไททานิคจึงสอนให้รู้ว่า ใหญ่แค่ใหนก็ล้มได้ ถ้าคุณประมาท เพราะคุณไม่รู้เลยว่าความโชคร้ายจะมาในรูปแบบใหน
ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านนะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยมา ณ ที่นี้นะครับ แล้วรอติดตาม ปัจเจก ใหม่ๆได้ที่เพจนี้เลยครับ ,,🙏🙏🤟

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา