7 ก.พ. 2021 เวลา 10:28 • ปรัชญา
ละคร หนัง วิญญาณสลับร่าง
ให้ข้อคิดอะไร
ช่วงหลายปีที่ผ่านมา มักจะมีละครหลายเรื่อง
ที่มีเนื้อหาในทำนองว่า วิญญาณสลับร่าง
เรื่องแรกเท่าที่ผมจำได้ เป็นหนังฝรั่ง
แม่กับลูกสาววัยรุ่นสลับร่างสลับวิญญาณกัน
ทำให้แม่เข้าใจลูกสาวที่เป็นวัยรุ่น
และลูกที่เป็นวัยรุ่นเข้าใจแม่
จากนั้นมาก็มีหนังไทย และละครหลายเรื่อง
ที่แต่งเรื่องขึ้นในทำนองนี้
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
เรื่องวิญญาณที่อยู่ในร่างกายเป็นเรื่องที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่ามีจริงและมนุษย์ก็มีวิญญาณ
แต่เรื่องวิญญาณสลับร่างนั้นไม่มีจริง
แต่งขึ้นเพื่อให้ความบันเทิงเท่านั้นแต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อในเรื่องวิญญาณอาศัยอยู่ในร่างว่าเป็นที่ยอมรับกัน
ในพระคัมภีร์ ปฐมกาล 2:7 ได้กล่าวว่า
"พระเจ้าได้ทรงปั้นมนุษย์คนแรกด้วยผงคลีดิน และระบายลมปราณเข้าทางจมูก
มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต"
ลมปราณของพระเจ้า หมายถึงวิญญาณ
ประทานให้เข้าสู่เรือนดินคือร่างกาย
มนุษย์จึงกลายเป็นผู้มีชีวิต
เวลาคนตายเขามักจะพูดถึงศพว่าเป็น
"ร่างที่ไร้วิญญาณ"
คนเป็นกับคนตายต่างกันตรงไหน...
บางคนนอนหลับไหลตาย
แต่อวัยวะทุกอย่างยังอยู่ครบ แต่เขาตาย...
มีบางอย่างหายไป
บางคนมีร่างกายอยู่แค่ครึ่งเดียวแต่ยังมีชีวิต
มีชาวจีนคนหนึ่งถูกรถบรรทุกทับขาดครึ่งตัว
แต่ไม่ตาย ร่างกายตั้งแต่เอวลงไปถูกตัดทิ้ง
แต่ยังมีชีวิต...
คำว่า "ตาย" ในพระคัมภีร์ มีความหมายว่า
"แยกออกจากกัน"
เมื่อวิญญาณถูกแยกออกจากร่าง
คนนั้นก็ตายฝ่ายร่างกาย
(แต่วิญญาณยังอยู่)
แต่พระคัมภีร์กล่าวถึงความตาย
ไว้ลึกซึ้งกว่าที่คนทั่วไปพูดกัน
เพราะความตายสัมพันธ์กับอนาคต
ความตายไม่ใช่จุดจบ
อาจจะเป็นจุดจบของชีวิต "ในร่างกาย"
แต่เป็นจุดเริ่มต้น "ชีวิตในโลกแห่งวิญญาณ"
จะว่าไปความตายเหมือนกับประตูที่เปิดออก
ไปสู่อีกมิติหนึ่ง คือมิติของวิญญาณ
ฮีบรู 9:27 "มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะตายครั้งเดียว และหลังจากนั้นจะมีการพิพากษา..."
จากพระคัมภีร์ข้อนี้ได้กล่าวถึง...
"ชีวิตหลังความตาย" ข้อความที่ว่า...
"..หลังจากนั้น..จะมีการพิพากษา"
แสดงให้เห็นว่า วิญญาณยังอยู่
และไม่เพียงแต่ยังมีอยู่เท่านั้น
แต่จะถูกพิพากษาด้วย..
ไม่ใช่ล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ยังมึการกล่าวถึงการ ตายฝ่ายวิญญาณ คือวิญญาณถูกแยกออกจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ วิญญาณที่ถูกพิพากษาเนื่องจากบาป
พระธรรม โรม 6:23 กล่าวว่า
"เพราะว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย
แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์
ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา"
ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตฝ่ายวิญญาณ
ดังนั้น ความตายในข้อนี้
ก็หมายถึงฝ่ายวิญญาณด้วย
พระธรรม วิวรณ์ 20:11-15 ท่านยอห์นได้บรรยายภาพนิมิตที่พระเจ้าทรงสำแดงให้ท่านเห็นถึงการพิพากษาวิญญาณในวาระสุดท้ายเอา
ไว้ว่า...
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
"ข้าพ‌เจ้าได้เห็นพระ‍ที่‍นั่งใหญ่สีขาว
และเห็นท่านผู้ประ‌ทับบนพระ‍ที่‍นั่งนั้น
เมื่อพระ‍องค์ทรงปรา‌กฏแผ่น‍ดินโลก
และท้อง‍ฟ้าก็หายไป
และไม่มีที่อยู่สำ‌หรับแผ่น‍ดินโลก
และท้อง‍ฟ้าเลย
ข้าพ‌เจ้าได้เห็นบรร‌ดาผู้ที่ตายแล้ว
ทั้งผู้ใหญ่และผู้‍น้อยยืนอยู่หน้าพระ‍ที่‍นั่งนั้น
และหนัง‌สือต่างๆก็เปิดออก
หนัง‌สืออีกเล่มหนึ่งก็เปิดออกด้วย
คือหนัง‌สือชีวิต
และผู้ที่ตายไปแล้วทั้งหมด
ก็ถูกพิพาก‌ษาตามข้อ‍ความที่จา‌รึกไว้
ในหนัง‌สือเหล่านั้น และตามที่เขาได้กระ‌ทำ
ทะเลก็ส่งคืนคนทั้ง‍หลายที่ตายในทะเล
ความตายและแดนมร‌ณาก็ส่งคืนคนทั้ง‍หลาย
ที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้ง‍หลายก็ถูกพิพาก‌ษาตามการกระ‌ทำของตนหมดทุก‍คน
แล้วความตาย และแดนมร‌ณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง
และถ้าผู้ใดที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนัง‌สือชีวิต ผู้นั้นก็ถูกทิ้งลงไปในบึง‍ไฟ"
นี่คือ "ความตายครั้งที่สอง"
ภาพจากอินเตอร์เน็ต
ทำไมถึง ครั้งที่สอง
นั่นก็เพราะเป็นความตายของฝ่ายวิญญาณ
ไม่ใช่การสิ้นสุดทีเดียว
แต่เป็นสภาพที่คงอยู่ของวิญญาณ
ที่ถูกพิพากษาให้รับโทษในบึงไฟ
พระเยซูได้กล่าวถึงตัวอย่างเรื่อง
"ชีวิตหลังความตาย"
เอาไว้ในพระธรรม ลูกา 16:19-31 ว่า...
เศรษฐีปล่อยให้ลาซารัสตายอย่างอนาจ
“ยังมีเศรษฐีคน‍หนึ่งนุ่ง‍ห่มผ้าสี‍ม่วงและผ้าป่านเนื้อ‍ดี รับ‍ประ‌ทานอา‌หารอย่างประ‌ณีตทุกวันๆ และมีคนขอ‍ทานคน‍หนึ่งชื่อลา‌ซา‌รัส
เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประ‌ตูรั้ว‍บ้านของเศรษฐี และเขาใคร่จะกินเศษอา‌หารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา
อยู่มาคนขอ‍ทานนั้นตาย และเหล่าทูต‍สวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับ‌รา‌ฮัม
ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้
แล้วเมื่ออยู่ในแดน‍มร‌ณาเป็นทุกข์ทร‌มานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับ‌รา‌ฮัมอยู่แต่ไกล และลา‌ซา‌รัสอยู่ที่อกของท่าน เศรษฐีจึงร้องว่า
‘อับ‌รา‌ฮัมบิดาเจ้า‍ข้า ขอเอ็น‍ดูข้าพ‌เจ้าเถิด
ขอใช้ลา‌ซา‌รัสมา เพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพ‌เจ้าให้เย็น ด้วยว่าข้าพ‌เจ้าตรำทุกข์ทร‌มานอยู่ในเปลวไฟนี้’
แต่อับ‌รา‌ฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำ‌หรับตัว และลา‌ซา‌รัสได้ของเลว แต่เดี๋ยว‍นี้เขาได้รับความเล้า‍โลม
แต่เจ้าได้รับความแสนระทม นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’
เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘บิดาเจ้า‍ข้าถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลา‌ซา‌รัสไปยังบ้านบิดาของข้าพ‌เจ้า เพราะ‍ว่าข้าพ‌เจ้ามีพี่‍น้องห้าคน ให้ลา‌ซา‌รัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทร‌มานนี้’
แต่อับ‌รา‌ฮัมตอบเขาว่า ‘เขามีโม‌เสสและพวกผู้เผยพระ‍วจนะนั้นแล้ว ให้เขาฟังคนเหล่านั้นเถิด’
เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘มิ‍ได้ อับ‌รา‌ฮัมบิดาเจ้า‍ข้า แต่ถ้าคน‍หนึ่งจากหมู่คน‍ตายไป‍หาเขา เขาคงจะกลับ‍ใจเสียใหม่’
อับ‌รา‌ฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโม‌เสสและพวกผู้เผยพระ‍วจนะ แม้คน‍หนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความ‍ตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อ’"
เรื่องของวิญญาณไม่อยู่ในอำนาจ
ของมนุษย์ที่จะกำหนดตนเองหรือคนอื่นได้ว่าจะให้เป็นหรือตาย จะให้ไปที่ไหน มนุษย์อาจจะมีอำนาจเหนือร่างกายแต่ไม่มีอำนาจเหนือวิญญาณ
มัท‌ธิว 10:28
"อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำ‌นาจที่จะฆ่าจิต‍วิญ‌ญาณ แต่จงกลัวพระ‍องค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิต‍วิญ‌ญาณทั้งกายพินาศในนรกได้"
มีคนกล่าวว่า "ขอให้ไปสู่สุขคติเถิด"
แต่หนทางสู่สุขคตินั้นได้ถูกกำหนดไว้แล้ว
โดยพระผู้สร้างวิญญาณ
ผู้ที่มีอำนาจเหนือจิตวิญญาณของมนุษย์เท่านั้นที่จะกำหนดหนทาง ใหม่ให้แก่มนุษย์ไปสู่สุขคติได้ แต่มนุษย์ต้องตัดสินใจเองว่าจะเลือกเอาทางที่พระเจ้าประทาน ให้หรือไม่...
พระเยซูคริสต์ตรัสว่า "เราเป็นทางนััน เป็นความจริงและเป็นชีวิต ไม่มีผู้ใดไปถึงพระบิดาได้เว้นไว้มาทางเรา
โฆษณา