8 ก.พ. 2021 เวลา 08:32 • ท่องเที่ยว
Heidelberg, GERMANY
เรียกง่ายๆ หรูๆตามภาษาเยอรมันว่า ไฮเดลแบก ,
เมืองที่สุดแสนจะโรแมนติกใน
ประเทศเยอรมัน แต่พอได้มาสัมผัสด้วยตัวเอง
มันมีอะไรที่มากความโรแมนติก . . .
ตอนแรกไม่ได้คาดหวังว่าจะมาเมืองไฮเดลแบกแห่งนี้เลย แต่มิตรสหายท่านหนึ่งทักมาในไอจีว่า ไปเถอะ! มาทั้งที พวกเราก็เลยตัดสินใจไปโดยไม่คิดอะไรมาก
การเดินทางส่วนมากเราจะเดินทางด้วย FlixBus และ Flixtrain เพราะค่อนข้างถูกและสบาย แต่สำหรับ Flix Train นั้น อาจจะต้องฝ่าฟันหาที่นั่งดีๆกันซะหน่อย . . .
ด้วยความที่ตัดสินใจกะทันหัน
เราจึงวางแผนเรื่องที่พักกันระหว่างเดินทางที่ไปท่องเที่ยวสถานที่อื่น มิตรสหายได้แนะนำเว็บไซต์ Couchsurfing ที่เป็นการไปพักกับคนในท้องถิ่นโดยที่เราไม่ต้องเสียเงินเลย (จะว่าไป อาจจะไม่ใช่คนท้องถิ่นอย่างเดียว เคยเจอที่เป็นเด็กนักเรียนแลกเปลี่ยนเหมือนกันนะ) , Host ส่วนมากต้องการแค่การพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และ Host มีทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กมหาลัยยันผู้ใหญ่วัยเกษียร
แน่นอนว่าเด็กที่ชอบโบกรถ ชอบผจญภัยอย่างพวกเราต้องรีบสมัครและทักไปหา Host ประมาณ 4-5 คน แต่น่าเสียดายที่ช่วงที่เราทักไปเป็นช่วงวันหยุดยาว ทำให้ Host ส่วนมากรับคนไปหมดแล้ว อีกทั้งใกล้เวลาเดินทางด้วย พวกเราเลยอดได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่เลย
เรากับมิตรสหายคุยกันว่า พวกเราจะไม่พักโรงแรมแน่นอนเพราะพวกเรากลัวผี 55555, จริงๆเหตุผลหลักที่เราไม่ชอบพักโรงแรมเพราะมันไม่ค่อยได้พบเจอผู้คนและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ซักเท่าไหร่
ไม่นานนัก มิตรสหายดันโชคดีไปเจอโฮสเทลราคาประหยัดและน่าพักมาก จากเว็บ Agoda ซึ่งก็คือ LOTTE BACKPACKER HOSTEL เป็นโฮสเทลห้องรวม มีทั้งห้อง
รวมชาย ห้องรวมหญิง หรือจะเป็นห้องรวมชายหญิง ที่เราพักเป็นห้องรวมหญิง แต่เรากับมิตรสหายได้อยู่คนละห้องกันเพราะอย่างที่บอกว่า มันเป็นช่วงวันหยุดยาว ทำให้คนค่อนข้างเยอะ
เอ้อ . . . LOTTE BACKPACKER HOSTEL ราคาแค่ 25 เหรียญเองนะ ถ้าคำนวณ
เป็นเงินไทยในตอนนั้นก็ประมาณ 830 บาท ถือว่าคุ้ม!
เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเราไปเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์กันก่อนที่จะกลับมาเที่ยวไฮเดลแบก ทำให้เราเดินทางไปถึงยังที่พักค่อนข้างดึก ซึ่งเลยเวลาเช็คอินเลยแหละ(ตามรายละเอียดหน้าเว็บไซต์คือต้องเช็คอินก่อน 4 ทุ่ม) แต่ที่พักคือใจดีจัดๆ !!
เราอีเมลไปหาเค้าว่าเราน่าจะไปไม่ทันเช็กอินแน่ๆ เนื่องจากเดินทางไกล
เค้าตอบกลับมาด้วยความสุภาพ และบอกถึงที่ซ่อนกุญแจพร้อมอธิบายรายละเอียดต่างๆ ส่วนเงินค่อยจ่ายตอนเช็คเอ้าท์ก็ได้ . . .โอ้ก็อด ความเป็นมิตรนี้ทำให้เราและมิตรสหายให้ประทับใจอย่างมาก!!
ความน่ารักอีกอย่างของโฮสเทลที่คือ รายละเอียด ผังห้อง และกุญแจห้อง เค้าใส่ซองขาวพร้อมเขียนชื่อเราไว้ แปะไว้ที่บรรได พอเดินเข้ามาคือจะเห็นเลย
แต่ตอนนั้นเราหากันหนักมาก เพราะมีนักท่องเที่ยวคนนึงกำลังนั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่บันไดพอดี
เลิ่กลั่กกันเลยทีนี้, หาซองขาวไม่เจอ 555555
ใดๆ ที่พักคือดีมากจริง ๆ มีอาหาร เครื่องดื่มฟรี, มีห้องนั่งเล่นที่ทุกคนสามารถไปพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ , มีสวนเปิดเล็ก ๆ ไว้นั่งสูบบุหรี่, ห้องครัวที่มีอุปกรณ์ครบครัน พร้อมนม ขนมปังและซีเรียลไปกินยามหิว!, เครื่องซักผ้า เตารีด ที่ตากผ้า คือมีครบทุกอย่างจริงๆ
หรือจริงๆแล้วทุกทีก็มีครบแบบนี้กันนะ
เราได้รู้จักกับเพื่อนสองคนตอนพักโฮสเทล คนแรกเป็นคุณยายอายุราว ๆ 50-60 ปีซึ่งเป็นคนออสเตรเลีย เราเคยไปออสมาเลยทำให้คุยกันรู้เรื่อง ส่วนอีกคนเป็นชายอายุประมาณ 30 ที่ออกมาเที่ยวหาแรงบรรดาลใจ ความประทับใจคือ เราทักทายกันตอนแปลงฟัน (ฟันสะอาดเลยจ้า คุยไม่หยุด) ฟันก็แปลงอยู่นั้นแหละ จะบ้วนปากก็ไม่ได้บ้วนซักที พูดกันเก่งเหมือนเก็บกด 5555555 ส่วนมิตรสหายก็ได้เพื่อนมาเหมือนกัน ตอนนั่งเล่นกีต้าร์ ผ่อนคลายสมองในห้องนั่งเล่น
เมืองนี้เจ้าของโฮสเทลแนะนำว่าไม่ต้องซื้อตั๋วรถบัสเลยเพราะมันเดินได้ครบทั้งเมืองภายใน 3-4 ชั่วโมงเลย พร้อมยื่นแผนที่เที่ยวรอบเมืองมาให้และเจ้าของโฮสเทลยังไม่หยุดความใจดีไว้เพียงเท่านั้น เค้าบอกว่าฝากกระเป๋าไว้ได้นะ แค่ต้องมาเอาก่อน 4 ทุ่ม เพราะจะไม่มีคนเฝ้าแล้ว
โอ้โหหหหห! อยากจะกอดดด บอกเลยว่าถูกใจ
สายแบ็กแพ็กเกอร์แน่นอน
จากการเดินเล่นเพลินๆ เราพบว่าเมือง Heidelberg สามารถเดินจบ ครบภายใน 3 ถึง 4 ชั่วโมงจริงๆ เมืองมีปราสาทตั้งเด่น และใหญ่มาก ทางเดินขึ้นไปยังตัวปราสาทเล่นเอาหอบเหมือนกันเพราะมันชันมาก แต่วิวที่ได้มา ถือว่าคุ้มเลยทีเดียว พวกเราเดินครบ จบทุกสถานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นสะพานเก่า สะพานใหม่ ย่านร้านค้า พิพิธภัณฑ์ และส่วนอื่นๆอีกมากมาย 5555
เมืองนี้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง โดยมีสะพานหลักๆ อยู่ 3 สะพานคั่นกลางแม่น้ำ
ฝั่งแรกจะเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นฝั่ง old towns ที่จะมีทั้งปราสาทโบราณ เมืองเก่าแก่ โบสถ์ มหาวิทยาลัย และร้านค้าต่าง ๆ ส่วนอีกฝั่งจะเป็นในส่วนของเส้นทางเดินป่าที่มีจุดถ่ายรูป เราสามารถเดินครบทุกสะพานได้โดยไม่ต้องวนซ้ำเลย เพราะหากตามแผนที่เดินทางแล้วเราจะเดินเป็นวงกลมและมาจบที่สะพานตรงกลาง
สะพานที่เดินแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยายหรือการ์ตูนดิสนีย์ซักเรื่อง ยิ่งเดินยิ่ง รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่กำลังรอคอยเจ้าชายอยู่ริมชายฝั่ง . . / หยอกๆ
แต่ความรู้สึกมันประมาณนี้จริง ๆ อากาศที่ไม่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ทำให้สามารถเดินได้เรื่อย ๆ เลย
ตรงทางเข้าสะพานจะมีรูปปั้นลิงถือเหรียญ ซึ่งผู้คนเดินเข้ามาลูบและถ่ายรูปกันเยอะพอสมควร พวกเราจึงเดินเข้าไปลูบกันโดยไม่รู้เลยว่า ทำไปเพื่ออะไร . . . บ้างก็บอกว่าเพื่อความโชคดี หรือไม่ก็เพื่อจะได้กลับมาเมืองนี้อีกครั้ง
สะพานเก่าของเมือง Heidelberg (สะพานตรงกลาง) จะให้ความรู้สึกที่ต่างไปจากสะพานเก่าของเมืองปรากที่น้องทอม สไปเดอร์แมนไปถ่ายมา เมืองนี้จะมีความเขียวและอยู่กับธรรมชาติมากกว่า เรียกได้ว่ายานพาหนะค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว ที่เห็นเยอะๆ คงมีเพียงจักรยาน . . .
สะพานเก่า
หลังจากเดินชิว สิ่งที่เราสังเกตุเห็นได้จากเมืองไฮเดลแบกแห่งนี้ ส่วนมากจะมีแต่เด็กมหาลัยที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เพราะในส่วนของกลางเมืองจะมีมหาวิทยาลัยอยู่ ซึ่งเป็นอะไรที่สวย สบายตา น่านั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้าน ทำโปรเจ็คมาก
ที่นั่งชิวริมน้ำ
ไหนจะพื้นที่ริมน้ำที่มีไว้นั่งชิว คือนั่งชิวจริง ๆ ส่วนมากจะมีแต่กลุ่มนักศึกษาที่ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษาแลกเปลี่ยน มานั่งเล่นกีต้าร์สังสรรค ปิ๊กนิก นอนฟังเพลง
อาหารที่นี้คือไม่ต้องห่วงเลยว่าอยากกินของชาติไหน มีทั้งไทย ญี่ปุ่น เกาหลี ยุโรป และอาหารท้องถิ่น ร้านชานมไขมุกก็มีนะ (ร้านจะอยู่ในตรอกเล็กๆ ใกล้โบสถ์) ส่วนของหวานที่มีเยอะมาก ๆ ในแถบนี้คือ เครป ซึ่งอร่อยมาก!!
ผู้คนใจดีจนหน้าตกใจ ครั้งแรกคือเจอคนนึงในร้านอาหาร พูดคุยกันจนถูกคอ เค้าอาสาเลี้ยงเบียร์ท้องถิ่น ซึ่งทำเอามิตรสหายหน้าแดงเลยทีแล้ว อีกทั้งยังพาเดินรอบ ๆ เมืองและแนะนำสิ่งต่างๆ ดุจดั่งมีไกด์ส่วนตัว
แต่ . . . . เค้าดันแวะคุยกับทุกคนที่เจอ ไม่ว่าจะเป็นคนที่นั่งพักเหนื่อย คนที่เดินข้าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นคน เฟรนลี่สุดๆ แต่มันทำให้พวกเราต้องรอเค้า เราเลยตัดสินใจแยกทางและเดินเที่ยวกันเพื่อความสบายใจ แต่การแวะคุยของเค้าทำให้เราได้เจอคุณลุง คุณป้าชาวออสเตรเลีย ที่กำลังจะไปเที่ยวประเทศไทย ทำให้พวกเราได้พูดคุยและ แนะนำสิ่งที่พอจะเป็นประโยชน์ไปบ้าง
ส่วนครั้งที่สองนั้นเป็นตอนที่เราถามทางเพื่อที่จะไปสถานีรถบัสเพื่อกลับไปยังโคโลจน์ เราไปถามคนที่กำลังรอรถแทรมว่าสถานีรถบัสอยู่ไหน เค้าก็บอกทางด้วยความเต็มใจถึงแม้จะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้
แต่สิ่งที่ทำให้เราและมิตรสหายประทับใจสุด ๆ คือ รถแทรมที่เค้าต้องขึ้นมาพอดีแต่
เค้าก็เลือกที่จะหันหลังให้รถพร้อมบอกทางให้พวกเรา ถึงแม้เพื่อนจะสะกิดบอกว่ารถมาแล้ว แต่เค้าก็เลือกที่จะรอรถแทรมรอบต่อไปแล้วมาบอกทางพวกเรา คือแบบหล่ออะะะะะะะ หล่อทั้งกาย หล่อทั้งใจ.
แต่แล้ว ความชิบหายก็เริ่มต้น เราหลงทางหาสถานีรถบัสไม่เจอ ถึงแม้จะถามทาง
แล้ว แต่แบตโทรศัพท์ดันมาหมดทั้งสองคนพร้อมกัน เหลือเพียงกล้องที่นำทางให้เราไม่ได้ แล้วตั๋วรสบัสก็ดันเป็นแบบออนไลน์ เราทำได้เพียงต้องถ่ายรูปเก็บไว้ในกล้อง
แทน แล้วถามทางผู้คนแถวนั้นในยาม ตี 1
เราเลือกเวลากลับช่วงตี 2.30 น. เพราะว่าราคาค่อนข้างประหยัด และสามารถไปต่อรถได้เลยโดยไม่ต้องรอเวลามากนัก แต่ก็นั้นแหละ พวกเราดันมาหลงกันตอนตี 1
เพราะนั่งฟังเพลงริมแม่น้ำเพลินไปหน่อย
เดินไปทางไหนก็เจอแต่ความมืดและความว่างเปล่า แมวซักตัวยังไม่เจอเลย!!
แต่สุดท้ายก็เดินหลงกันจนมาเจอสถานีรถบัสจนได้ ต้องขอบคุณแผนที่ที่ทางโฮสเทลให้มา มีประโยชน์จนวินาทีสุดท้าย
ตอนนั้นมันมืดและดึก จนไม่รู้เลยว่า สถานีรถบัสมันไกลหรือพวกเราเดินอ้อมโลกกันแน่
แต่สิ่งที่ได้จากการเดินทางครั้งนี้ คือ ค่าประสบการณ์เพิ่มขึ้น +3 ประทับใจทุกอย่างที่เป็นเมืองนี้ ถ้ามากับแฟนก็คงจะดี แต่ไม่มีก็มากับเพื่อนนั้นแหละ . . .
ปล. ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ เราจะพยายามพัฒนาฝีมือการเขียนต่อไปนะคะ ขอบคุณมากเลยค่า :)
โฆษณา