8 ก.พ. 2021 เวลา 12:36 • ประวัติศาสตร์
ละหมาดนั้นสำคัญไฉน
บรรจง บินกาซัน
ศาสนาเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าและระหว่างมนุษย์กับสิ่งรอบตัวเขาทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต
เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับพระเจ้าผู้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดที่ผู้ศรัทธายึดเหนี่ยว ดังนั้น ทุกศาสนาที่ศรัทธาในพระเจ้าจึงมีพิธีกรรมที่เป็นการแสดงออกถึงการยอมรับอำนาจสูงสุดของพระเจ้า สำหรับอิสลาม การละหมาดเป็นพิธีกรรมที่แสดงออกถึงความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียว
การละหมาดเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยของอับราฮัม บรรพบุรุษแห่งความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวร่วมกันของชาวยิว ชาวคริสเตียนและชาวมุสลิม
แต่หลังจากสมัยของอับราฮัม ลูกหลานรุ่นหลังๆของอับราฮัมไม่เพียงแต่ละทิ้งการละหมาดเพื่อแสดงความเคารพสักการะเจ้าองค์เดียวเท่านั้น แต่ยังหันไปกราบไหว้เจว็ดบูชาที่สร้างกันขึ้นมาเองด้วย ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ส่งนบีคนแล้วคนเล่ามารื้อฟื้นและตักเตือนให้ผู้คนในสมัยของตนหันมาละหมาดเพื่อเป็นการแสดงความเคารพสักการะพระเจ้าที่แท้จริง
ร่องรอยของท่าทางการละหมาดเช่นการยืน การก้มกราบ การโค้ง การยกมือ ตลอดจนการชำระล้างร่างกายบางส่วนก่อนทำการละหมาดยังมีให้เห็นในคัมภีร์ทางศาสนาก่อนหน้าคัมภีร์กุรอาน
หลังสมัยพระเยซูประมาณ 600 ปี รูปแบบและคำอ่านในการละหมาดได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นอีกครั้งหนึ่งในสมัยของนบีมุฮัมมัด และนบีมุฮัมมัดได้นำการละหมาดมาใช้สร้างความแข็งแกร่งให้แก่จิตวิญญาณของสาวกผู้ศรัทธาจนสามารถเปลี่ยนแปลงสังคมอวิชชาในแผ่นดินอาหรับให้เป็นประชาคมที่ศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวในเวลาแค่ 20 ปี
สำหรับนบีมุฮัมมัด การละหมาดไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาและการขอบคุณต่อพระเจ้าเท่านั้น แต่มันยังเป็นพื้นฐานของศาสนา เป็นสิ่งที่จำแนกว่าใครเป็นมุสลิมผู้ศรัทธาและใครที่ไม่ใช่ และในวันแห่งการฟื้นคืนชีพ สิ่งแรกที่พระเจ้าจะสอบถามมนุษย์คือเรื่องละหมาด
เพื่อให้ผู้ศรัทธาในพระเจ้าสามารถละหมาดได้ครบในทุกสถานการณ์ การละหมาดจึงถูกออกแบบมาให้ปฏิบัติได้ในลักษณะที่ไม่มีใครสามารถอ้างว่าไม่มีเวลาละหมาดหรือไม่สามารถละหมาดได้ แม้จะป่วยอยู่บนเตียง หากยังมีสติสัมปชัญญะจำใครได้ คนป่วยที่ศรัทธาในพระเจ้าก็ต้องละหมาดในสภาพเท่าที่ตนเองสามารถทำได้
ในคัมภีร์กุรอานมีคำสองคำที่น่าสนใจเกี่ยวกับการละหมาด คำหนึ่งมีความหมายบ่งบอกให้มีการจัดตั้งสถาบันละหมาดขึ้นมาและดำรงรักษาสถาบันนี้ไว้ตลอดไป ด้วยเหตุนี้ ถ้ามุสลิมอยู่ร่วมกันเป็นสังคม สมาชิกของสังคมมีหน้าที่ต้องจัดให้มีสถานที่ละหมาด โรงเรียนสอนการละหมาด การประกาศเรียกร้อง(อะซาน)ให้คนมาละหมาดประจำวันห้าเวลา การจัดให้มีอิมามนำละหมาด การจัดละหมาดรวมในวันสำคัญ เช่น วันศุกร์ และวันเฉลิมฉลองทางศาสนา สังคมใดไม่จัดเตรียมเรื่องนี้ สมาชิกในสังคมนั้นต้องรับบาปร่วมกันทั้งหมด
ในอีกที่หนึ่ง คัมภีร์กุรอานใช้คำภาษาอาหรับที่สื่อความหมายว่า “ให้ระวังรักษาหรือป้องกัน”การละหมาดมิให้หายไป เพราะในวันแห่งการฟื้นคืนชีพหลังความตาย พระเจ้าจะสอบสวนมุสลิมผู้ศรัทธาว่าละหมาดครบหรือไม่ หลายคนละหมาดขาดหายไปทั้งๆที่ตัวเองละหมาดครบเพราะละหมาดโดยไม่รู้วัตถุประสงค์ว่า “การละหมาดนั้นจะยับยั้งจากบาปอันชั่วช้าและความลามก”
นบีมุฮัมมัดได้บอกมุสลิมว่าใครที่ดื่มสุราหรือเสพสิ่งมึนเมา พระเจ้าจะไม่รับการละหมาดของคนผู้นั้นเป็นเวลา 40 วัน และใครทำผิดประเวณี พระเจ้าจะไม่รับการละหมาดของคนผู้นั้นเป็นเวลา 70 วัน
คนทำความชั่วดังกล่าวจึงเท่ากับคนที่ไม่รักษาหรือป้องกันการละหมาดของตน การละหมาดของคนผู้นั้นจึงหายไป ถ้าทิ้งละหมาดก็ถือว่าเป็นบาปใหญ่และจะทำให้ผู้นั้นสูญเสียความสัมพันธ์กับพระเจ้า ยิ่งใครออกห่างจากพระเจ้า คนผู้นั้นจะหลงลืมพระองค์และจะทำทุกอย่างได้โดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
โฆษณา