11 ก.พ. 2021 เวลา 07:13 • การศึกษา
วัน วัน ทำอะไร ถ้าลูกไม่ไปโรงเรียน
สารพัดคำถามที่เจอ เมื่อเราเลือกวิถีบ้านเรียน หรือการเรียนรู้แบบ Home School ให้กับลูกสาวเรา
• ไม่ไปโรงเรียนแล้วจะไม่โง่เหรอ
• ไม่ไปโรงเรียนแล้วจะมีสังคมได้อย่างไร
• ไม่ไปโรงเรียนแล้ว วัน วัน จะทำอะไร ฯลฯ
มีใครเคยโดนแบบนี้บ้าง เชื่อเหลือเกินว่าไม่น่าพลาด โพสนี้อยากมาแบ่งปันประสบการณ์ในฐานะที่เลี้ยงลูกแบบไม่ส่งไปโรงเรียนมาจนจบ ป.6 ประสบการณ์ของเด็กบ้านเรียนน่าจะเข้ากับสถานการณ์ช่วงนี้ได้เป็นอย่างดี ช่วงที่ "โรงเรียน" อาจจะไม่ใช่คำตอบของการเรียนรู้ของลูกเราอีกต่อไป เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่ว่าลูกเราจะอยู่โรงเรียนชื่อดังขนาดไหน การเรียนรู้ที่บ้านเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และหลายบ้านกำลังเผชิญอยู่
ไม่ไปโรงเรียนแล้ว วัน วัน ทำอะไร ? ขึ้นอยู่กับลูกวัยไหน ถ้าลูกวัยอนุบาล วัยนี้ยิ่งต้องอยู่กับครอบครัวเลย ช่วงวัยอนุบาลเป็นช่วงที่สนุกที่สุด แต่ละวันหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นวัยที่มีกิจกรรมเยอะมาก เอาง่ายๆ แค่ "เล่น" กับ "เล่านิทาน" หัวใจสำคัญ 2 อย่างนี้ก็หมดวันแล้ว
ช่วงเช้าเป็นช่วงสำคัญที่สุดของวัยนี้ ชวนเล่นให้เต็มที่ค่ะ เล่นทำกับข้าวในครัวกับแม่ เล่นทำสวนกับพ่อ เล่นของเล่น เล่นอะไรก็ได้ในชีวิตประจำวันที่พ่อแม่ทำ ได้ช่วยหยิบจับ โน่น นี่ ได้ขุด คุ้ย เขี่ย ได้ปีนป่าย กระโดด ตะโกน ได้เล่นเต็มที่ โดยมีพ่อแม่อยู่ด้วยคอยดูแลความปลอดภัย และสร้างความมั่นใจว่าจะไม่โดเดี่ยว แค่นี้ลูกก็ได้ทำหน้าที่สำคัญของเค้าแล้ว
เพราะหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเด็กๆ วัยนี้คือ "การเล่น" พ่อแม่ต้องเป็นผู้ที่ช่วยให้หน้าที่นี้ของลูกสมบูรณ์ให้จงได้ ก่อนเข้าสู่วัยเรียน
พอเริ่มเข้าสู่วัยเรียน ประถมต้น แต่ก็ไม่ไปโรงเรียน ในทางกฏหมายเราทำได้ เป็นการจดทะเบียนเรียนตามอัธยาศัย พรบ. การศึกษาอนุญาติให้ครอบครัวสามารถจัดการศึกษาให้ลูกเองได้ มาหลายปีแล้วนะ ขั้นตอนการจดทะเบียนเหล่านี้ เดี๋ยวนี้หาไม่ยาก หรือไม่หากมีหลายครอบครัวสนใจ โอกาสต่อไปอาจลงรายละเอียดกันได้
พอถึงวัยนี้ วัน วัน เราทำอะไรได้บ้าง วัยนี้ก็ยังคง เล่น และใช้นิทานเหมือนเดิม นิทานจะเปลี่ยนไปตามวัย แต่นิทานจะส่งผลอย่างเห็นได้ชัด คือ ทักษะการอ่าน เด็กที่ได้ฟังนิทานทุกวันจะสามารถอ่านออกได้เร็วกว่าเด็กที่ไม่ถูกเลี้ยงด้วยนิทาน เรื่องนี้พิสูจน์มาแล้วด้วยตัวเอง ที่สำคัญความอยากอ่านจะเกิดกับเด็กที่ได้ฟังนิทาน อ่านออกเพราะอยากอ่าน ไม่ใช่อ่านออกเพราะถูกบังคับให้ผสมสระ พยัญชนะ
ลูกเราอ่านคล่องตั้งแต่ 7 ขวบ อ่านนิทานเองได้ และเริ่มอยากฝึกอ่านวรรณกรรมเด็กตั้งแต่ 9 ขวบ เพราะเห็นพ่อแม่อ่าน อยากเปลี่ยนจากนิทานที่มีภาพมาเป็นตัวหนังสือเยอะๆบ้าง ถึงเวลานั้นเค้าจะเรียกร้องให้เราสอน สระ และสอนสะกดคำ เพราะเค้าเริ่มเจอคำยาก มันมาจากข้างในของเราเองที่อยากเรียนรู้ ไม่ได้มาจากการถูกบังคับ
การเล่นในวัยนี้จะสนุกยิ่งขึ้น เพราะทุกการเล่นเป็นการเรียนรู้ทั้งหมด เรียนรู้บวก ลบ ได้จากการการเล่นเอาลูกแก้ว หรือตัวต่อมากอง มารวม มาแยก เรียนรู้เรื่องน้ำหนัก จากการทำอาหารด้วยกัน บ้านไหนเก่งภาษาก็คุยกับลุกไปเลย ได้ 2 ภาษาไปอีก เรียนรู้เปอร์เซ็นจากการชั่งวัตถุดิบทำขนม เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ดิน น้ำ ปุ๋ย แมลง จากการทำสวน เรียนรู้วิชาสังคม ในสนามเด็กเล่นของหมู่บ้าน ทุกที่คือห้องเรียนของเด็ก
พอถึงช่วงวัยประถมปลาย ช่วงนี้ความเป็นตัวเองจะยิ่งชัดขึ้น การจัดการเรียนรู้ ตารางเวลาจึงต้องออกแบบร่วมกัน เล่น ทำงานศิลปะ ทำแบบฝึกหัด หรือบางวันก็ไปเรียนกับครูพิเศษในสิ่งที่ลูกสนใจ หรือสิ่งที่เราคิดว่าจำเป็น เช่น ภาษา ดนตรี ศิลปะ เป็นต้น
ไม่ไปโรงเรียน ไม่ใช่ไม่เรียนรู้ ฉะนั้นคำถามที่ว่าถ้าไม่ไปโรงเรียนแล้วจะไม่โง่หรือ ? ทุกที่คือห้องเรียนของเด็ก หากโรงเรียนหมายถึงห้องสี่เหลี่ยมแล้ว การไม่ไปนั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมวันละ 8 ชม. แต่ใช้เวลาที่เด็กคนอื่นๆเรียนในสิ่งที่ถูกบังคับให้เรียน ไปเรียนรู้สิ่งที่เด็กสนใจ รับรอง ไม่มีเด็กคนไหนโง่แน่นอน
ไม่ไปโรงเรียนจะมีสังคมมั๊ย? ต้องถามว่าสังคมในความหมายของแต่ละคนคืออะไร สังคมของเด็กบ้านเรียน คือ ผู้คนทุกคน ทุกวัย ไม่จำกัดเฉพาะวัยเดียวกัน เด็กที่เป็นเด็กบ้านเรียนจะมีกิจกรรมหลากหลาย ไม่จำเพาะเฉพาะเพื่อนวัยเดียวกัน เด็กบ้านเรียนจึงมีเพื่อนได้ทุกวัย และพร้อมเป็นเพื่อนได้เสมอ (หากพอใจ) เพราะเค้าไม่มีแก๊งค์ ก๊วน และนี่คือสังคมในชีวิตจริง
ณ ช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่แม้เราจะอยากให้ลูกไปโรงเรียนขนาดไหน แต่สถานการณ์ก็ทำให้เราลังเลใจที่จะปล่อยลูกออกไปเจอผู้คน เจอเชื้อโรค โรงเรียนจึงอาจไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน เราก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลูกอยู่บ้านลูกจะเรียนรู้ได้หรือไม่
โพสนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้หลายๆบ้านได้นะว่า เด็กๆเรียนรู้ได้ทุกที่ ห้องเรียนของเด็กกว้างใหญ่กว่าที่เราคิด แค่เราช่วยใช้สายตาในการมองหาแหล่งเรียนรู้ที่ปลอดภัยให้เค้า ใช้หัวใจที่เปิดรับศักยภาพของลูกเราว่าเขาสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ใช้ร่างกายของเราเป็นเพื่อนเล่น และร่วมเรียนรู้ไปกับเขา
เชื่อเถอะว่า "ไม่มีเด็กคนไหนโง่หรอก" นอกเสียจากว่าเด็กคนนั้น "ถูกทำให้โง่" โดย.............ใครซักคน
หากสนใจอ่านละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะคะ
โฆษณา