10 ก.พ. 2021 เวลา 03:23 • ยานยนต์
ประวัติ BMW ยนตรกรรมแห่งประวัติศาสตร์
ทุกวันนี้เราคงรู้จัก BMW ในฐานะแบรนด์รถหรูจากยุโรปที่คนมีฐานะทั่วโลกนิยมซื้อกันเป็นอันดับต้นๆ เป็นแบรนด์ยนตรกรรมหรูหราจากเยอรมันที่มีคนติดตามมากมาย เราทั้งหลายก็รู้จักกับรุ่นรถของ BMW ไปก็เยอะแล้ว วันนี้เราจะมาดูประวัติความเป็นมาของรถยนต์ค่ายนี้กันบ้างนะเพื่อนๆ ว่าเจ้าแบรนด์รถยนต์เชื้อสายเยอรมันนี้ มีประวัติความเป็นมาอย่างไรบ้าง เขาต้องเจอกับอะไรมาบ้างกว่าจะมาถึงจุดนี้ แล้วเชื่อไหมว่าแรกเริ่มก่อตั้งธุรกิจของ BMW ไม่ได้เริ่มจากรถยนต์ทีเดียว แถมเคยผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้วด้วย แล้วประเทศไทยของเราเริ่มนำเข้าแบรนด์ BMW ตั้งแต่เมื่อไหร่ เราไปดูกันเลยน้า
1
ประวัติ BMW กับการก่อตั้งครั้งแรกของโลก
บีเอ็มดับเบิลยู (BMW ย่อจาก ภาษาเยอรมัน: Bayerische Motoren Werke; อังกฤษ: Bavarian Motor Works) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ของเยอรมนี ตั้งอยู่ที่เมืองมิวนิก ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) เมื่อแรกก่อตั้งเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง บริษัทเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 12 ของโลก รับผิดชอบแบรนด์รถยนต์ BMW, มินิ และโรลส์-รอยซ์ รวมถึงแบรนด์รถจักรยานยนต์ BMW Motorrad บริษัทมีสำนักงานใหญ่ในนครมิวนิก รัฐบาวาเรีย และมีฐานการผลิตอยู่ในเยอรมนี, บราซิล, จีน, อินเดีย, แอฟริกาใต้, สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา
ชื่อของ BMW เริ่มต้นมาจากบริษัทที่มีชื่อว่า Rapp Motorenwerke ผู้ผลิตเครื่องยนต์สำหรับเครื่องบิน ของ Karl Rapp ในเมืองมิวนิค ปี 1917 Rapp Motorenwerke ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น
“Bayerische Motoren Werke” ซึ่งเป็นชื่อเต็มของ BMW โดยมีสัญลักษณ์ที่ออกแบบมาจากภาพของกังหันเครื่องบินที่กำลังหมุนอยู่ รวมเข้ากับสีฟ้าและขาว ซึ่งเป็นสีประจำแคว้นบาวาเรีย (Bavaria) ที่บริษัทตั้งอยู่ และหลังจากนั้น BMW ก็สร้างชื่อจากเครื่องยนต์เครื่องบิน
กิจการด้านการผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินที่ดูเหมือนว่ากำลังจะไปได้สวย แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลงและเยอรมนีเป็นฝ่ายแพ้ ทำให้การผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายในเยอรมนี จากผลของสนธิสัญญาแวร์ซาย
BMW ที่เคยผลิตแต่เครื่องยนต์เครื่องบินมาโดยตลอด ต้องหันไปผลิตเครื่องมือทำฟาร์ม และเบรกรถไฟ เพื่อให้กิจการอยู่รอด แต่ในระหว่างนั้น Max Friz หัวหน้านักออกแบบของ BMW ก็กางแผนออกแบบ รถมอเตอร์ไซค์ ไปด้วย การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเกิดขึ้นในปี 1922 เมื่อ Camillo Castiglioni ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท Bayerische Flugzeugwerke หรือ BFW เข้ามาซื้อกิจการด้านเครื่องยนต์เครื่องบินของ BMW ไป BFW ย้ายสินทรัพย์ทั้งหมดของ BMW ทั้งคนงานและเครื่องมือการผลิต มาที่ศูนย์การผลิตของตัวเอง และได้เปลี่ยนชื่อจาก BFW มาเป็น BMW แทน
ศูนย์การผลิตที่ถือเป็นบ้านหลังใหม่ของ BMW ตั้งอยู่ในเมืองมิวนิค และยังมีให้เห็นจนถึงทุกวันนี้
เพราะตอนนี้ ที่ตั้งนั้นคือ สำนักงานใหญ่ของ BMW Group ปี 1923 รถมอเตอร์ไซค์คันแรกของ BMW ที่มีชื่อรุ่นว่า R 32 เปิดตัวที่งาน Berlin Motor Show โดยรูปแบบการวางเครื่องของ R 32 ยังถือเป็นต้นแบบให้กับรถมอเตอร์ไซค์ของ BMW ในรุ่นใหม่ๆ ด้วย
ก้าวแรกของ BMW ในวงการรถยนต์ เริ่มขึ้นในปี 1928 หลังจากเข้าไปซื้อกิจการ Fahrzeugfabrik Eisenach ของ Heinrich Ehrhardt (ผู้ผลิตรถยนต์รุ่นบุกเบิกของเยอรมันต่อจาก Daimler และ Benz) ซึ่งเป็นเจ้าของรถ Dixi หรือก็คือรถ Austin Seven ที่ซื้อ Licence การผลิตมาจากบริษัท Austin Motor ของอังกฤษ BMW 3/15 PS คือรถยนต์รุ่นแรกที่ใช้ชื่อของ BMW ซึ่งเปิดตัวในปีต่อมา และก็กลายเป็นที่ฮือฮาทันที เพราะสามารถชนะการแข่งขันรายการ Alpine Rally ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าร่วม หลังจากนั้นในปี 1933 BMW 303 คือรถรุ่นแรกที่มาพร้อมกับกระจังหน้าแบบไตคู่ (Kidney Grille) ที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของรถ BMW ทุกรุ่นในปัจจุบัน
เหตุการณ์ที่เหมือนจะเป็นเดจาวูก็เกิดขึ้น ขณะที่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์กำลังจะไปได้สวย ก็เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 BMW ก็ไปผลิตเครื่องยนต์เครื่องบินให้กับกองทัพอากาศ และเยอรมนีก็แพ้อีกแล้ว โรงงานรวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆพังเกือบหมด และ BMW ต้องกลับไปผลิตของใช้ในครัวเรือน ก่อนจะกลับมาสร้างมอเตอร์ไซค์ได้อีกครั้งในปี 1948 และรถยนต์ในปี 1951 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 BMW กลับมาขายรถที่จัดเต็มเรื่องสมรรถนะ ซึ่งถือว่าเป็นรถที่มีเทคโนโลยีล้ำสุดในช่วงเวลานั้น
แต่ดูเหมือนว่า จุดสูงสุดของวิศวกรรมจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับจุดต่ำสุดของ BMW เนื่องจากช่วงหลังสงคราม คนสนใจแต่ปากท้องของตัวเอง และคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถคันใหญ่ที่มีวิศวกรรมล้ำหน้าราคาแพง ทำให้รถของ BMW ขายได้ไม่ค่อยดี ส่วนตลาดมอเตอร์ไซค์ก็เริ่มซบเซา สุดท้ายบริษัทมีปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก จนถึงขั้นที่ว่าบอร์ดของบริษัท ตอบรับข้อเสนอการควบรวมกิจการกับทาง Daimler-Benz อย่างไรก็ตาม ดีลนี้ไม่เกิดขึ้น เพราะหลังจากถูกต่อต้านจากทั้งคนงานและผู้ถือหุ้นรายย่อย Herbert Quandt หนึ่งในผู้ถือหุ้นของบริษัท ตัดสินใจหาเงินมาซื้อหุ้นในส่วนที่จะขายให้ทาง Daimler-Benz นั้นเอาไว้เอง ทำให้ BMW ยังคงเป็นบริษัทคู่แข่งกับ Benz ต่อไป รู้หรือไม่ว่า ผ่านมา 59 ปี ปัจจุบันคนตระกูล Quandt ก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน BMW Group อยู่
หลังจาก Herbert Quandt เข้ามาถือหุ้น ทุกอย่างใน BMW ก็ดีขึ้น เมื่อได้รับบทเรียนมาแล้วครั้งนึง BMW ก็มีการปรับเปลี่ยนให้รถที่ทำออกมามีขนาดเล็กลง สามารถตอบโจทย์คนทั่วไปมากขึ้น โดยออกรถยนต์รุ่น 1500 ออกมา และกลับมาขายดีได้อีกครั้ง กิจการของ BMW ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ผ่านการซื้อและขายบริษัทอื่นๆ ตามมาอีกหลายครั้ง ปัจจุบัน BMW Group จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แฟรงก์เฟิร์ต มีมูลค่าบริษัท 56,373 ล้านยูโร หรือราว 2,184,163 ล้านบาท มีพนักงานรวม 124,729 คน และนอกจากรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ของ BMW เองแล้ว ยังเป็นเจ้าของแบรนด์ MINI และ Rolls-Royce ด้วย
ส่วนโลโก้ของบริษัท BMW นั้นถูกคิดค้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1917 ประกอบไปด้วย 2 สีด้วยกันได้แก่ สีน้ำเงินและสีขาวตามธงชาติของบาวาเรีย ซึ่งบาวาเรียคือรัฐที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเยอรมนี โดยมีเมืองหลวงนั่นก็คือ มิวนิค นั่นเอง ซึ่งโลโก้ตัวนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนหน้าตากันอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ยังคงจุดเด่นไว้เช่นเดิมนั่นก็คือสีน้ำเงินและสีขาว ในขณะนั้นเองบริษัทก็ยังคงเดินหน้าผลิตชิ้นส่วนสำหรับเครื่องบินกันอยู่หลายปี
จนกระทั่งในปี 1923 พวกเขาได้เริ่มเข้ามาตีตลาดรถจักรยานยนต์และถือว่าเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่และท้าทายพวกเขาเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้พวกเขาได้ผลิตแค่เครื่องยนต์แต่ในปี 1923 นี้พวกเขาจะต้องสร้างยานพาหนะขึ้นมาทั้งขั้น และเวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็ขยับขึ้นมาเป็นแบรนด์ใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์และได้เปิดตัวศูนย์จำหน่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกในปี 1994 อีกทั้งแบรนด์ของพวกเขาก็ยังโด่งดัง และเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบรรดาคนมีฐานะทั่วโลกจวบจนปัจจุบันนี้
ประวัติ BMW ในประเทศไทย
รถยนต์ BMW ได้เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2504 โดย บริษัท เอเซีย มอเตอร์บางกอก จำกัด ภายใต้การบริหารงานของ คุณอรรถพร และคุณอรรถพงษ์ ลีนุตพงษ์ เป็นการนำเข้าจากตัวแทนในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งได้ประสบความสำเร็จอย่างสูง โดยมียอดการจำหน่ายรถยนต์สูงที่สุดในทุกภูมิภาค
ในปี 2506 บริษัท เบเยอร์ริช มอเทอแรนซ์ เวเคอร์ เอจี (บีเอ็มดับบลิว) แห่ง สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ก็ได้แต่งตั้งเขาให้เป็นผู้นำเข้า และ จัดจำหน่ายรถยนต์บีเอ็มดับบลิวอย่างเป็นทางการ แต่เพียงผู้เดียว ในประเทศไทย พร้อมทั้งได้เปลี่ยนชื่อกิจการเป็น "บริษัท ยนตรกิจ จำกัด"
รถรุ่นแรกที่เข้ามาจำหน่ายในเวลานั้นเป็น BMW 700 ต่อมาเป็น BMW 2002 ที่มียอดจำหน่ายสูง มาจากการจำหน่ายให้แก่สำนักงานตำรวจ เพื่อใช้เป็นรถตรวจการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาล
ปี พ.ศ.2524-2530 ออกจำหน่ายรุ่นใหญ่ BMW 520 (โมเดล E28) เครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง ขนาดความจุ 1,998 ซีซี. จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบคาร์บูเรเตอร์คู่
BMW 3 Series
ในปี พ.ศ.2521-2526 รุ่นที่ได้รับความนิยม คือ 318 และ 320 (โมเดล E21 / CBU) ที่เรียกกันติดปากว่า "รุ่นหน้าฉลาม" ซึ่งเป็นรุ่นที่อยู่ในแวดวงของวงการมอเตอร์สปอร์ตทั่วโลก จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบคาร์บูเรเตอร์เดี่ยว
ปี พ.ศ.2527-2529 ได้นำเข้าและจำหน่ายโฉมใหม่ รุ่น 316, 318, 320 (โมเดล E30 / CBU) ใข้เครื่องยนต์เบนซิน 4สูบ จ่ายเชื้อเพลิงด้วยคาร์บูเรเตอร์ ทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 4 เกียร์และอัตโนมัติ 3 เกียร์ พร้อมระบบโอเวอร์ไดร์ฟ รุ่นนี้ถือว่ายังได้รับความนิยมในวงการมอเตอร์สปอร์ตไปทั่วโลกเช่นเดิม
ปี พ.ศ.2530-2533 ออกรุ่นประกอบในประเทศที่ได้ปรับเปลี่ยนระบบเครื่องยนต์ใหม่ โดยใช้การจ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดไฟฟ้าของ Bosch และในเกียร์ธรรมดาเป็นแบบ 5 เกียร์ ส่วนในเกียร์อัตโนมัติของ ZF เป็นแบบ 4 เกียร์พร้อมระบบโอเวอร์ไดร์ฟ
ปี พ.ศ.2534 เปิดตัวรุ่น 318i, 325i (โมเดล E36 / CKD) "โฉมนกแก้ว"ที่ใครๆเรียกกัน ด้วยรุ่นนี้ใช้สีพ่นรถ ยี่ห้อนกแก้ว ของเยอรมันเป็นหลัก ตามด้วยรุ่น 320i, 320i cabiolet และ 323i ถือได้ว่า โมเดลนี้สามารถสร้างยอดการจำหน่ายได้สูงเป็นประวัติการณ์ของบริษัทฯเลยทีเดียว ในโฉมนี้ได้ปรับเปลี่ยนแบบรถออกไปถึง 2 โมเดล จนถึงรุ่น 323i ที่ใช้ระบบเกียร์แบบ Steptronic เป็นครั้งแรกและเป็นรุ่นสุดท้ายภายใต้การบริหารของบริษัท ยนตรกิจ จำกัด
BMW 5 Series
ปี พ.ศ.2531-2539 จำหน่ายรุ่น 520i, 525i (โมเดล E34) ใช้เครื่องยนต์แบบ 6 สูบเรียง จ่ายเชื้อเพลิงด้วยระบบหัวฉีดไฟฟ้าของBosch มีทั้งแบบเกียร์ธรรมดา 5 เกัยร์ และอัตโนมัติ 4 เกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ พร้อมโหมดปรับ Manual / Sport ในโมเดลนี้จะมีทั้งแบบเก๋ง 4 ประตู และสเตชั่นวากอน 5 ประตู ในโมเดล E34 นี้ ได้ปรับเปลี่ยนโฉมภายนอกและภายในไปหลายครั้ง จากรุ่นแรกๆที่เป็นการนำเข้า โดยทำการประกอบภายในประเทศแทนในปลายปี พ.ศ.2535 ภายใต์โฉมใหม่ที่เรียกว่า "บิ๊กโนส" ในรุ่น 525i ยังคงใช้เครื่องยนต์ 6 สูบเรียง ที่พัฒนาระบบ Single Vanos (รหัสเครื่องยนต์ M-50TU)มาใช้แทนเครื่องยนต์รุ่นก่อน, ระบบเกียร์อัตโนมัติของ ZF แบบ 4 เกียร์พร้อมระบบโอเวอร์ไดร์ฟ และโหมดปรับ Manual / Sport ทั้งยังพัฒนาเครื่องยนต์ตัวใหม่ให้ใช้ระบบ Double Vanos ในตัวสุดท้าย เมื่อปี พ.ศ.2538 ซึ่งในทุกรุ่นของซีรี่ย์นี้จะปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอุปกรณ์ภายในและภายในเสมอ
ใน พ.ศ.2537-38 นำเข้ารุ่น 520i จากมาเลเซีย เพื่อแข่งขันกับตลาดรถยนต์ในประเทศที่เน้นในเรื่องราคาเป็นสำคัญ รุ่นนี้มีสิ่งที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของรถคือ คอนโซลหน้า แผงประตูภายในรถจะเป็นสีน้ำเงิน และสีรถที่นำเข้ามาจะมี สีบรอนซ์เงิน, น้ำเงินดำ และเทาดำ
ปี พ.ศ.2540 ออกรุ่น 523i (โมเดล E39) เครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง, เกียร์อัตโนมัติ 4 เกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ พร้อมระบบ Steptronic เป็นรุ่นสุดท้าย และมียอดจำหน่ายไม่เป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ ทั้งยังเป็นรุ่นสุดท้ายภายใต้การบริหารงานของบริษัท ยนตรกิจ จำกัด
BMW 7 Series
ปีพ.ศ.2531 นำเข้ารุ่น 730i ตัวแรก เพื่อเน้นการจำหน่ายให้แก่กลุ่มลูกค้าที่มีฐานะดี, ผู้บริหารระดับสูง และเจ้าของกิจการ ที่เน้นความหรูหรา ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยสูงในระหว่างการเดินทาง ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบเรียง, เกียร์อัตโนมัติ 4 เกียร์โอเวอร์ไดร์ฟ เบาะหนังแท้ปรับไฟฟ้าเฉพาะคู่หน้า
ปี พ.ศ.2537 นำเข้าและจำหน่ายรุ่น 730i, 740i ใช้เครื่องยนต์เบนซินแบบ 6 สูบเรียง ระบบ Double Vanos, เกียร์อัตโนมัติ 4 เกียร์พร้อมระบบโอเวอร์ไดร์ฟ และโหมดปรับ Manual / Sport, ระบบควบคุมความเร็ว(Cruise Control), เบาะหนังแท้ ปรับไฟฟ้าทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
เป็นยังไงกันบ้าง กับประวัติของ BMW ที่กว่าจะประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ ต้องผ่านอะไรมาโชกโชนเลยทีเดียว เรียกว่าไม่ได้สำเร็จมาง่ายๆแน่นอน และสำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ต้องการเช่ารถ BMW เพื่อสัมผัสกับความสำเร็จของแบรนด์นี้ เรามีรถ BMW X1 sDrive18d xLine, BMW 320d Sport และ BMW 520d M Sport ให้เพื่อนๆได้เช่าไปขับกันด้วย ราคาเริ่มต้นที่ 7,490 บาท/วัน เองนะ เติมน้ำมันให้เต็มถัง แถมขับไปได้ทั่วไทยด้วย สมัครใช้บริการง่าย ไม่ต้องมีบัตรเครดิตอีกต่างหาก
โฆษณา