10 ก.พ. 2021 เวลา 08:20 • ท่องเที่ยว
ชีวิตเนิบช้าในโอฮาระ (Ohara)
เราเป็นคนหนึ่งที่หลงรักเมืองชนบทของประเทศญี่ปุ่น ดั้นด้นเดินทางไปใช้ชีวิตเนิบช้าผ่อนคลายกายใจมาหลายแห่ง หลายจังหวัด หนึ่งในจุดหมายที่ให้ความหมายของคำว่า ‘ฟื้นฟูพลัง’ ตั้งแต่วางเท้าลงบนพื้นดินจนถึงวินาทีสุดท้ายของการโบกมืออำลา ก็คือ โอฮาระ ย่านชานเมืองห่างไกลในจังหวัดเกียวโต เมืองมรดกโลกที่ใครต่อใครเมื่อมาเยือนแล้วต้องอยากมาอีก
ด้วยความที่โอฮาระใช้เวลาเดินทางจากใจกลางเกียวโตโดยรถบัสอย่างน้อย 50 นาที บางทีอาจร่วมชั่วโมงในช่วงเทศกาล ทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเช้าเย็นกลับจากเมืองอื่นหรือมีเวลาอยู่ในเกียวโตไม่กี่วันจำเป็นต้องละเลยโอฮาระไปอย่างน่าน้อยใจ เราเองก็เคยมาเยือนที่นี่แบบชะโงกทัวร์มาแล้ว เมื่อมีโอกาสมาโอซาก้าอีกครั้งในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเมื่อหลายปีมาแล้ว จึงตัดสินใจจองที่พักหนึ่งคืนในโอฮาระให้ดื่มด่ำซึบซับความงดงามเรียบง่ายนี้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
ขี่จักรยานลัดเลาะโอฮาระ
โอฮาระไม่มีวัดหรือศาลเจ้าใหญ่โตโอ่อ่าอลังการเฉกย่านฮิงาชิยาม่า ไม่มีสวนไผ่ตื่นตาหรือแม่น้ำสวยงามให้สะพานทอดข้ามกลางหุบเขาเช่นย่านอาราชิยาม่า ไม่มีแนวร้านค้าขายของที่ระลึกน่าซื้อทุกอย่างเหมือนถนนทางขึ้นวัดคิโยมิสึ อีกทั้งแทบไม่มีที่นั่งใต้ร่มกระดาษแดงให้จิบน้ำชาชมสวนอันเป็นสัญญลักษณ์ของเกียวโตด้วยซ้ำ โอฮาระนั้นเต็มไปด้วยสีเขียวตระการของป่า ต้นไม้สูง ตะไคร่น้ำ และหญ้ามอสที่จับตัวหนาแน่นตลอดเส้นทางที่เราก้าวผ่าน
ว่ากันว่าโอฮาระเจิดจ้าจับใจเป็นพิเศษในฤดูใบไม้ร่วง เพราะต้นเมเปิลเป็นนางเอกแถวหน้าของบริเวณนี้ ถึงอย่างนั้น การมาโอฮาระในปลายฤดูใบไม้ผลิซึ่งสายฝนกำลังพรมบางเบากลับทำให้การเดินละเลียดแต่ละสถานที่เป็นไปอย่างเบิกบานยิ่ง มาโอฮาระนั้นต้องมีกายใจแข็งแรงพร้อมรองเท้าที่คุณต้องมั่นใจว่าจะพาเราไปทุกหนแห่งโดยเมื่อยช้าที่สุด เกาะพื้นหนักแน่นที่สุด เพราะเมื่อเราลงจากรถบัสแล้ว เราจะได้เดิน เดิน และเดิน แถมเดินขึ้นเขาลงเขาตลอดเวลาในโอฮาระ
ทางเดินระหว่างไปทีพักในโอฮาระ
หลักแหล่งของโอฮาระอยู่ตรงตีนเขาฝั่งตะวันตกของภูเขาฮิเอะซัง (Hiei-zan) สถานที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่คือวัดทั้งสามอันมีนามว่า ซันเซนอิน (Sanzen-in Temple) ยิกโกะอิน (Jikko-in)ซึ่งเปิดเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วง และ ยักโกะอิน (Jakko-in) ฟังว่ามีแค่สามวัด จะใช้เวลาเที่ยวชมนานข้ามวันเลยหรือ ขอตอบว่าจริงตามนั้น เพราะแต่ละวัดอยู่ติดกันก็จริง ทั้งตัววัดอาจไม่โดดเด่นมลังเมลืองเท่าวัดใจกลางเกียวโต ทว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่เราไม่อาจจากลาได้ง่ายดาย
เรามาถึงโอฮาระก็บ่ายแก่ หอบสัมภาระเล็กๆ ไปพักเรียวกังที่ต้องเดินข้ามสะพานกลางแม่น้ำสายเล็กๆซึ่งต้นวิสเทอเรียกำลังออกดอกพราว เรียวกังนี้มีจักรยานให้ขี่เล่นฟรี ฝากของแล้วเราก็ขี่ออกมาบนถนนสายเล็กรอบที่พัก นานๆจะมีรถผ่านมาสักคัน รอบด้านเป็นแปลงนา บ้านเรือนตั้งกันห่างๆ เงียบสงบจนต้องพักจักรยานแล้วเดินลงไปกางแขนแหงนมองฟ้า ประดุจโลกนี้เป็นของเรา
แม้โดยรอบจะเหมือนไม่ต่างจากชนบทในเมืองไทย แต่โอฮาระไม่มีมอเตอร์ไซค์ส่งเสียงดัง เมืองสะอาดปลอดภัยแม้เราจะเป็นผู้หญิงต่างถิ่นขี่จักรยานอยู่คนเดียว สายลมที่พัดมาฉ่ำเย็น ลมหายใจที่สูดเข้าปอดก็สดชื่น เรากลับมาถึงเรียวกังก็เตรียมข้าวของลงไปอาบน้ำในห้องออนเซ็นด้านล่าง หญิงไทยหลายคนอาจไม่คุ้นชิน แต่เราถือว่าไม่รู้จักใคร แช่บ่อน้ำร้อนกับผู้หญิงด้วยกันสบายมาก ล้างตัวสะอาดแล้วก็ขึ้นมาไดร์ผมเสริมสวย ในห้องแต่งตัวของห้องอาบน้ำมีอุปกรณ์น่าใช้ครบครัน สะอาดมากด้วย
เราใช้บริการอาหารทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้าวันรุ่งขึ้นที่นี่รวมในค่าห้องพักซึ่งไม่แพงเลย มื้อเย็นเป็นชาบูหมูกับผักรสชาติดี พร้อมบะหมี่เย็น ปริมาณอิ่มแปล้นอนหลับสบาย ตื่นเช้าขึ้นมาเปิดหน้าต่างห้องเห็นบ้านเรือนไม่กี่หลังอยู่ห่างๆ เคียงข้างด้วยลำธารเล็กๆและทิวเขาไกลๆ ก็รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก
ห้องพักขนาดย่อมในเรียวกัง นอนสบาย
หลังอาหารเช้าเราบอกลาเจ้าของเรียวกังผู้น่ารัก ฝากสัมภาระไว้ในล็อคเกอร์สถานีรถบัส จากนั้นก็เริ่มต้นเที่ยวโอฮาระอย่างจริงจัง โดยใช้เวลา 15 นาทีมาตามทางเดินลาดขึ้นเขา สองข้างทางเดินคือสีเขียวจับใจของป่าที่กำลังหายใจและมีชีวิตเปล่งประกายสดใส น้ำตกเล็กๆ ใสสะอาดแต่งแต้มรอยยิ้มให้เราพอๆกับป่าต้นเมเปิลที่แม้จะยังเขียวชอุ่ม หากยังมีบุคลิกสวยงามเฉพาะตัวอย่างน่าทึ่ง เราเดินไม่รีบร้อน ซึมซับความสงบนิ่งของธรรมชาติรอบตัวเช่นเดียวกับผู้คนรอบข้าง ร้านค้ารายทางเชิญชวนให้เข้ามาชมสินค้าด้วยใบหน้าเปี่ยมมิตรภาพ และโค้งขอบคุณเมื่อเราก้าวเข้าไปและกลับออกมาแม้ไม่มีข้าวของในมือสักชิ้น
ทางเดินขึ้นซันเซนอิน วัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโอฮาระเป็นขั้นบันไดที่กำแพงถูกมอสเขียวจัดยึดพื้นที่หนาแน่น ภายในวัดมองไปทางใดก็เห็นแต่สีเขียวสดใส ที่นี่รู้จักกันดีว่างดงามนักในช่วงซากุระเบ่งบาน สีสันใบไม้ร่วง และมอสเขียวระยิบ ตัววัดจริงๆเป็นเพียงอาคารไม้ขนาดย่อมที่เรียบง่ายยิ่ง ในอาคารมีสองสวนสวยชื่อจูเฮขิ (Juheki) กับ ยูเซเอ็น (Yuseien) กล่าวกันว่าเป็นทิวทัศน์เลอค่าที่สุดด้านเหนือของเกียวโต
 
เดินลงมาจากอาคารของวัด เราก็พบกับพื้นที่กว้างใหญ่ของป่าสีเขียวให้เราเดินผ่านไปทีละต้นอย่างมีสมาธิ ปลายทางของป่าใหญ่คือทางเดินซ้ายขวาที่พาเราไปพบกับแปลงดอกไม้ซึ่งในราวกลางมิถุนายน ซันเซนอินจะคลาคล่ำไปด้วยผู้ชื่นชมดอกไฮเดรนเยียซึ่งจะบานสวยเต็มสวน แต่ปลายใบไม้ผลิแบบนี้ ซันเซนอินมีดอกโบตั๋นขนาดใหญ่หลากสี หลายพันธุ์แทนที่ มีจุดให้นั่งชมและถ่ายภาพเป็นระยะ ขนาดฝนปรอยลงมาบ้าง แฟนๆของมวลดอกไม้ก็ไม่หวั่นไหว ต่างกางร่มเก็บความทรงจำกันทีละพุ่มเลยทีเดียว
ภาพสดชื่นขณะจิบชาในวัดซันเซนอิน
ฟังดูซันเซนอินมีเพียงหนึ่งอาคารกับสองสวนสวย น่าจะใช้เวลาไม่นาน แต่ความจริงเราอยู่ซันเซนอินหลายชั่วโมง ลุ่มหลงในความสงบเรียบนิ่งที่ทำให้ใจเรานิ่งตาม กลไกในร่างกายที่เคยรวนก็เหมือนฟื้นฟูได้ใหม่ จากซันเซนอินเรามาวัดยิกโกะอินในฝั่งตรงข้าม การได้นั่งบนเบาะรอง จิบชารสดีเคียงขนมหวาน ชื่นชมทัศนียภาพของสวนงดงามเบื้องหน้านิ่งๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะสามารถฟื้นฟูพลังที่หดหายไปจากการทำงานหนักมายาวนานได้ทีละน้อย ยิ่งมอง ยิ่งสัมผัส ก็ยิ่งรู้สึกลึกซึ้ง หัวใจที่อาจจะเคยเต้นเร็วบางจังหวะ ก็กลับมาเต้นเป็นปกติ
เดินต่อมาอีกหน่อยก็ถึงวัดโชเรนอิน (Shoren-in Temple) เราใช้เวลาที่นี่สั้นๆ เพราะมีเพียงอาคารเดียวกับระฆังเลื่องชื่อด้านข้างบนพื้นที่ขนาดย่อม เราไหว้พระแล้วก็เดินต่อมายังวัดโฮเซอิน (Hosei-in) วัดนี้ยิ่งเล็กลงไปอีก แต่เรากลับอยู่นานกว่า เนื่องจากด้านในเป็นที่ตั้งของสวนชื่อ เคชินเอ็น (Keishin-en) ซึ่งใช้น้ำจากแม่น้ำริตสึเซน (Ritsusen) มาหล่อเลี้ยงบ่อน้ำชินจิอิเขะ (Shinji-ike pond) สวนนี้ตื่นตาตื่นใจตรงที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่อายุ 700 ปีแผ่กิ่งก้านสาขาใหญ่โตงดงามท่ามกลางการจัดวางของไม้ชนิดอื่นอย่างลงตัว
 
การนั่งชื่นชมธรรมชาติเบื้องหน้าพร้อมจิบชาและขนมหวานไปด้วย กลายเป็นพฤติกรรมที่เรารู้สึกว่าคุ้นเคยและปกติอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในโอฮาระ เพิ่งเข้าใจว่าการค่อยๆ จิบชา ลิ้มรสขนมหวาน พิจารณาทีละส่วนของต้นไม้ดอกไม้สายน้ำตรงหน้าคือการทำสมาธิชนิดหนึ่ง คือการอยู่กับปัจจุบัน รู้ตัวว่าเราทำอะไรอยู่ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ทุรนทุรายน้อยลง รู้จักตัวเองมากขึ้น และผ่อนคลายอย่างที่สุด
พลังงานชีวิตอายุ 700 ปี ในวัดโฮเซอิน
ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักตอนที่เราค่อยๆ กระถดตัวออกมาจากเบาะรองในห้องชมสวน ทำให้เราใช้เวลาระหว่างนั้นนิ่งมองกระบอกไม้ไผ่ที่เคาะตัวเป็นจังหวะกระทบสายน้ำในบ่อกลางวัด ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงเสียดายว่าอยากจะรีบไปที่อื่นต่อ แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าชีวิตเร่งร้อนแบบนั้นไม่ได้ทำให้เราเก็บเกี่ยวคุณค่าของการเดินทางที่แท้จริงเลย
เราขึ้นรถบัสกลับตัวเมืองเกียวโตก็เย็นย่ำแล้ว หนึ่งวันหนึ่งคืนในโอฮาระช่วยพังทลายความเหนื่อยล้าจากการกรำงานหนักมานานได้หมดสิ้น โอฮาระอาจจะมีเพียงสายน้ำ ป่าเขา วัดวาอารามเล็กๆ แต่ทั้งหมดนี้ประกอบร่างกันเป็นหนึ่งเดียวกลมกลืน ทำให้คนที่มาเยือนเหมือนได้รับการบำบัดทั้งกายและใจ ขณะเดียวกัน ก็ฟื้นฟูพลังชีวิตให้กลับคืนมาเต็มเปี่ยม
โมมิจิสีเขียวสดชุ่มชื้นหลังฝนตก
*บทความนี้เคยลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Gateway ในปี พ.ศ. 2559
โฆษณา