11 ก.พ. 2021 เวลา 03:30 • ประวัติศาสตร์
" พระแม่กาลี เทพเจ้าบ้าคลั่งผู้เกือบทำลายโลก "
หากเราพูดถึงพระแม่กาลี เราต้องพูดถึงเทพีอีกองค์นึงก่อนค่ะที่เป็นร่างหลัก นั่นก็คือ "พระแม่อุมา" นั่นเอง
พระแม่อุมา
พระแม่อุมาเป็นมเหสีของ "พระศิวะ" หรือ "พระอิศวร" หนึ่งในเทพสูงสุดของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่ปกครองโลกร่วมกับ "พระพรหม" และ "พระนารายณ์"
พระอุมามีวีรกรรมมากมาย ชอบออกไปปราบอสูรและออกไปรบอยู่บ่อยครั้ง และที่สำคัญ พระแม่อุมาไม่ได้มีเพียงแค่ร่างเดียว หลาย ๆ ครั้งที่เวลาออกรบ พระแม่อุมาจะใช้ร่างอวตารของตนเองออกไปรบแทน (พระแม่อุมาคือผู้ใช้แสตนด์สินะ) เช่น พระแม่ทุรคาเทวี พระแม่กาลี เยอะแยะไปหมด
เรารู้กันว่าพระแม่อุมานั้นมาหน้าตาที่สวยมาก ซึ่งตรงกันข้ามกับ "พระแม่กาลี" โดยสิ้นเชิง พระแม่กาลีเป็นผู้หญิงที่ไม่ใส่เสื้อผ้า ตัวดำ ผมยุ่งฟูสยาย หัวกระเซิง แลบลิ้น ปลิ้นตา (ในบางเวอร์ชั่นบอกว่า มีลิ้น 7 ลิ้น มีเลือดไหลออกจากปากจากลิ้น) เวลาบูชาก็ต้องใช้ของน่ากลัว ๆ มาบูชา อย่างในสมัยโบราณจะต้องใช้เลือดของสาวพรหมจรรย์ แต่ในปัจจุบันก็เปลี่ยนมาใช้เป็นแค่เลือดธรรมดา เนื้อสด หรือเหล้า เป็นต้น แต่กิจกรรมการบูชาพระแม่กาลีแบบโหด ๆ ในสมัยนี้ก็ยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง เช่น ที่ประเทศเนปาล จะมีการเชือดแพะหลายพันตัวเพื่อบูชายัญพระแม่กาลีนั่นเองค่ะ ซึ่งเขาถือกันว่าเป็นสิ่งที่พระแม่กาลีชอบ จะเห็นว่าพระแม่กาลีต่างจากพระแม่อุมาไปโดยสิ้นเชิง
พระแม่กาลี
เรื่องราวของพระแม่กาลีมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งพระแม่อุมาได้ออกรบกับอสูร 2 ตน ชื่อว่า Sumbha กับ Nisumbha (เราขอไม่เจาะลึกถึงอสูร 2 ตนนี้นะคะ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักที่เรากำลังจะเล่าค่ะ) ระหว่างที่รบกันอยู่นั้น พระแม่อุมาก็ได้มีการแยกร่างอวตารออกมาหลายปางเยอะแยะไปหมด เพื่อให้ออกมาช่วยกันรบ เพราะในสนามรบก็ไม่ได้มีแค่อสูร 2 ตนนั้น แต่มีอสูรตนอื่นอยู่ด้วย (ก็คือเป็นลูกกระจ๊อกนั่นแหละ) ในขณะที่รบกันอยู่นั้น มีอสูรตนหนึ่ง ในตำนานอินเดียหลาย ๆ เล่ม เรียกชื่ออสูรตนนี้ว่า "รักตะพีชะ (Raktabija)" อสูรตนนี้ได้รับพรวิเศษมาข้อนึง คือ ถ้าอสูรตนนี้บาดเจ็บเลือดไหลออกมาเมื่อไหร่ เลือดที่หยดก็จะงอกออกมากลายเป็นตัวของมันเองเพิ่งขึ้นมาอีกหนึ่งตัว ดังนั้นจึงทำให้ภายในสนามรบยิ่งวุ่นวายมากขึ้น เพราะกำจัดเท่าไหร่ก็ไม่หมด
3
Raktabija
หลังจากนั้นหนึ่งในปางของพระแม่อุมาก็เริ่มโกรธและโมโหอสูรตนนี้มาก ทำให้มีอีกปางอวตารนึง เด้งออกมาจากหน้าผากของพระแม่อุมา ร่างที่ออกมานั้นก็คือปางอวตารของพระแม่กาลีนั่นเอง ซึ่งเป็นปางที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง ความรุนแรง พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นปางที่โหดที่สุดของพระแม่อุมา
พระแม่กาลีออกมาและใช้วิธีสู้กับอสูรตนนี้ ด้วยการทำร้ายและพอเลือดกำลังจะไหลก่อนที่จะงอกออกมาเป็นอีกตัวนึง พระแม่กาลีก็ดูดเลือดและกินเข้าไปจนหมด (นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้พระแม่กาลีมีภาพลักษณ์ที่ว่าชอบเลือด) จนกระทั่งพระแม่กาลีปราบอสูรตนนี้ได้สำเร็จในที่สุด ทำให้การรบสิ้นสุดลง
ทีนี้สงสัยกันใช่ไหมคะ ว่าพระแม่กาลีเกือบทำลายโลกยังไง หลังจากใช้เวลาในการรบอยู่นานมาก ก็ทำให้พระแม่กาลีเกิดความเหนื่อยล้า และอยากจะฉลองให้กับความสำเร็จของตัวเอง พระแม่กาลีรู้สึกดีใจจึงวิ่งวนและเต้นไปมาอยู่กลางสนามรบพร้อมกับเหยียบย่ำศพของเหล่าอสูรทั้งหลายที่ตัวเองได้ฆ่าไป แต่ด้วยความที่พระแม่กาลีเป็นเทพี และยังมเหสีของพระอิศวร 1 ใน 3 ของผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้มีฤทธิ์เยอะมาก แถมปางพระแม่กาลียังเป็นปางที่บ้าพลังอยู่แล้วอีกด้วย ดังนั้นเมื่อพระแม่กาลีเต้น ความรุนแรงจึงเยอะมากเหมือนกับกำลังกระทืบโลกอยู่ จนทำให้โลกแทบจะแตก
1
ด้วยความที่กลัวว่าพระแม่กาลีจะเต้นไปมาจนโลกแตก พระอิศวรจึงลงมาจัดการกับพระแม่กาลี โดยสั่งห้ามว่าให้หยุดทำแบบนั้น แต่พระแม่กาลีที่ดีใจมากจนทำให้ไม่ได้ยิน และไม่สนใจคำพูดของใครทั้งนั้น ไม่มีใครสามารถห้ามปรามได้ พระอิศวรจึงใช้อุบายโดยการนอนลงไปบนพื้น กะว่าจะให้พระแม่กาลีผ่านมาทางที่ตนเองนอนอยู่ ระหว่างที่พระแม่กาลีกำลังเต้นไปมาจนกำลังจะเหยียบพระอิศวรอยู่นั้น พระแม่กาลีก้มลงมาแล้วเห็นว่าเป็นพระอิศวรนอนอยู่ ด้วยความที่ผู้หญิงสมัยโบราณจะเคารพและเทิดทูลผัวมาก พระแม่กาลีก็เป็นเมียแบบนั้น จึงดึงสติขึ้นได้ว่าตนดีใจมากจนเกินไป นางจึงหยุดเต้นไปมา และนี่ก็เป็นที่มาของรูปพระแม่กาลีบางรูปที่มีท่าทางแลบลิ้น ปลิ้นตา ยกขาข้างนึง และมีพระอิศวรนอนอยู่ข้างล่างนั่นเองค่ะ
3
-Lynn Yi Wu-
#เรื่องมีอยู่ว่า #พระแม่กาลี #พระแม่อุมา #พระอิศวร #Raktabija
แหล่งอ้างอิง : Handbook of Hindu Mythology
โฆษณา