11 ก.พ. 2021 เวลา 20:56 • ประวัติศาสตร์
ปริศนาการหายตัวของผู้ดูแลประภาคารบนเกาะแฟลนแนน
อาชีพผู้ดูแลประภาคารดูเหมือนจะเป็นอาชีพที่เราไม่คุ้นเคยกันซักเท่าไหร่ ถ้าให้ลองจินตนาการก็ดูจะเป็นอาชีพที่เงียบสงบ หลีกหนีจากสังคมเมือง อยู่ในประภาคารสวยๆตามที่เห็นในโปสต์การ์ด เห็นวิวทะเล ชายหาด ฟังเสียงคลื่น เสียงนกนางนวล และคอยเปิดไฟให้เรือที่แล่นผ่านไปผ่านมาในตอนกลางคืน
แต่ถ้าคุณต้องจินตนาการถึงการดูแลประภาคารบนเกาะร้างแห่งหนึ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดเลยนอกจากเพื่อนสองคน และฝูงแกะเล็กๆหนึ่งฝูง ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดนอกจากประภาคารและซากโบสถ์ปรักหักพัง ติดต่อใครไม่ได้ นั่นหมายถึงต่อให้คุณหายไป หรือเกิดอะไรขึ้นกับคุณ ก็จะไม่มีใครรู้อะไรเลย อาชีพผู้ดูแลประภาคารก็ดูจะเป็นอาชีพที่ไม่ง่ายเลย
ไกลออกไปจากชายฝั่งตะวันตกของแผ่นดินสกอตแลนด์ มีเกาะเล็กๆชื่อว่าเกาะแฟลนแนน เกาะแห่งนี้เป็นเกาะร้างไร้ซึ่งคนอยู่อาศัยมาเวลานาน แต่บนเกาะแฟลนแนนมีประภาคารแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นช่วงประมาณปี 1895 – 1899 โดยประภารแห่งนี้จะมีผู้ดูแลประภาคารจาก Northern lighthouse board (NLB) สลับกันไปดูแลประภาคาร
เกาะแฟลนแนน ส่วนหนึ่งของเกาะเอลีน มอร์
เดือนธันวาคมในปี 1900 ผู้ดูแลประภาคาร 3 คน ได้แก่ เจมส์ ดูแคต (อายุ 48 ปี), โทมัส มาร์แชล (อายุ 40 ปี), และวิลเลี่ยม แมคอาเธอร์ (อายุ 28 ปี) ได้รับมอบหมายให้ไปดูแลประภาคารบนเกาะแฟลนแนน โดยหน้าที่ของพวกเขาคือการดูแลประภาคารตลอด 24 ชั่วโมง คอยควบคุมความสว่างและความเร็วในการหมุนรอบของไฟประภาคาร โดยพวกเค้าจะต้องอยู่บนเกาะเป็นเวลา 6 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีคนมาเปลี่ยนกะ โดยระยะเวลา 6 สัปดาห์นั้นพวกเค้าจะไม่สามารถติดต่อกับใครบนชายฝั่งได้เลย
เจมส์ ดูแคต, โทมัส มาร์แชล, วิลเลี่ยม แมคอาเธอร์
เกาะแฟลนแนนนับว่าเป็นเกาะที่สวยงาม มีทุ่งหญ้าเขียวขจีปกคลุมไปทั่วเกาะ แต่ที่นี่ไม่มีคนอยู่อาศัยมาหลายร้อยปี เคยมีคนเลี้ยงแกะพาแกะมากินหญ้าและพักผ่อนที่เกาะนี้แต่พวกเขาไม่เคยอยู่บนเกาะหลังพระอาทิตย์ตกดิน เนื่องจากมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติมากมาย ชาวบ้านจากชายฝั่งเกาะเอลีนมอร์ มักเล่าถึงวิญญาณชั่วร้าย บางก็พูดถึงเดอะลิตเติ้ลพีเพิล สิ่งมีชีวิตในตำนานที่อาศัยอยู่บนเกาะ
ประภาคารบนเกาะแฟลนแนน
วันที่ 15 ธันวาคม รอดเดอริค แมคเคนซี ชายบนเกาะเอลีนมอร์ผู้ถูกว่าจ้างจากศูนย์บัญชาการ NLB ให้คอยดูแสงไฟจากประภาคารและสิ่งผิดปกติบนเกาะแฟลนแนน เขาสังเกตเห็นว่าคืนนั้นไม่มีแสงไฟจากประภาคาร แต่เนื่องจากตอนนั้นเป็นช่วงเดือนธันวาคม สภาพอากาศค่อนข้างแย่ ฝน หิมะและลมที่แรงอาจจะทำให้เขามองไม่เห็น เขาจึงไม่ได้วิทยุแจ้งไปยังชายฝั่ง
จนกระทั้งวันที่ 26 ธันวาคม กัปตันเจมส์ ฮาร์วี, โจเซฟ มัวร์ (ผู้ดูแลประภาคารอีกคนที่จะมาเปลี่ยนกะ) และลูกเรืออีกจำนวนหนึ่ง ได้ล่องเรือเฮสเปรุสมายังเกาะแฟลนแนนและสังเกตว่าไม่มีแสงไฟมากจากประภาคาร พวกเขาจึงล่องเรือเล็กมาเทียบท่ายังเกาะ แต่ปรากฏว่า
ไม่มีใครลงมาต้อนรับพวกเขาเลย
แม้พวกเขาจะเป่าแตร หรือจุดแฟลร์ส่งสัญญาณแล้วก็ตาม ก็ยังไร้การติดต่อจากผู้ดูแลประภาคาร
พวกเขาเริ่มแยกย้ายกันสำรวจบริเวณประภาคาร แต่ก็ไร้วี่แววของผู้ดูแลประภาคารทั้งสาม พวกเขาพบว่าประตูครัวถูกเปิดทิ้งไว้ ภายในครัวสะอาดเรียบร้อยเป็นปกติ ประตูประภาคารไม่ได้ล็อค และเตียงนอนของทั้งสามถูกพับเก็บเรียบร้อย
แต่สิ่งที่ผิดปกติคือ บริเวณโต๊ะทานอาหารมีอาหารที่ถูกกินไว้ครึ่งเดียวเหลืออยู่บนโต๊ะ เก้าอี้ตัวหนึ่งล้มคว่ำเหมือนมีคนรีบลุกออกจากโต๊ะ เสื้อโค้ตกันน้ำของพวกเขาหายไปสองตัว และนาฬิกาในห้องครัวหยุดเดิน (เข้าใจว่าเป็นนาฬิกาแบบที่ต้องไขลานทุกวัน) เมื่อเห็นความผิดปกติดังกล่าว กัปตันฮาร์วีย์จึงรีบโทรเลขไปยังแผ่นดินใหญ่ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นบนเกาะแฟลนแนน
บรรยากาศห้องทานอาหาร และนาฬิกาที่หยุดเดิน
ไม่กี่วันต่อมา โรเบิร์ต เมียร์เฮด หัวหน้าผู้ที่เป็นคนรับสมัครผู้ดูแลประภาคารทั้งสามคนที่หายไปและรู้จักพวกเขาอย่างดี ได้มายังเกาะแฟลนแนนเพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับหายตัวไปของทั้งสาม
เมียร์เฮดได้เจอสมุดรายงานของผู้ดูแลประภาคารซึ่งถูกเขียนโดยโทมัส มาร์แชล หนึ่งในผู้ดูแลประภาคารที่หายไป โดยรายงานดังกล่าวเป็นการรายงานสภาพอากาศปกติทั่วไป. จนกระทั่งเมียร์เฮดได้พบเจอความผิดปกติบางอย่างในรายงานวันที่12
รายงานวันที่ 12 ธันวาคม สภาพอากาศแย่มาก และมีคลื่นลมแรงแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนตลอด 20 ปี เจมส์ ดูแคท ดูนิ่งเงียบผิดปกติ และวิลเลียม แมคอาเธอร์ กำลังร้องไห้
รายงานวันที่ 13 ธันวาคม ลมพายุยังคงโหมกระหน่ำต่อเนื่อง และพวกเขาทั้งสามคนเริ่มสวดมนต์
และรายงานสุดท้ายคือรายงานวันที่ 15 มีแค่ใจความสั้นๆว่า “ พายุจบลง ทะเลเงียบสงบ พระเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่ง.”
รายงานประจำวันของเจ้าที่ประภาคารเกาะแฟลนแนน
เบาะแสทุกอย่าง ทั้งสภาพที่ถูกทิ้งไว้บริเวณประภาคารและรายงานที่ผิดปกติบันทึกสร้างความสับสนกับเมียร์เฮดและคนอื่นๆที่มาสำรวจเป็นอย่างมาก คลื่นลมพายุแบบไหนกันที่ทำให้ชาวทะเลที่มีประสบการณ์ทั้งสามเครียด ร้องไห้ และเริ่มสวดมนต์ นอกจากนี้พวกเขาอยู่ในประภาคารที่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 150 ฟุต ซึ่งไม่เคยมีคลื่นที่สูงเกินกว่านั้นในแถบนี้อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ปลอดภัย
นอกจากนี้หนึ่งในพวกเขารีบร้อนลุกจากโต๊ะทานอาหารไปไหน ถึงไม่ยอมใส่เสื้อโค้ตในสภาพอากาศที่หนาวและมีฝนตกในเดือนธันวาคม
แล้วข้อความสุดท้ายในบันทึกหมายความว่าอะไร ถ้าหากทุกอย่างสงบลง แล้วพวกเขาทั้งสามหายไปไหน
สันนิษฐานสุดท้ายที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ พวกเขาทั้งสามถูกคลื่นซัดไป เนื่องจากบริเวณท่าเรือสำหรับรับส่งเสบียงทางซ้ายของเกาะ ถูกคลื่นซัดอย่างแรงจนลังและเชือกต่างๆพังเสียหาย สองในสามคนอาจจะกำลังง่วนอยู่กับการดึงลังหรือสิ่งของที่กำลังถูกคลื่นซัดและเรียกให้อีกคนออกมาช่วย อีกหนึ่งคนที่กำลังทานอาหารอยู่จึงรีบออกมาช่วยเหลือ
แล้วทั้งสามก็ถูกคลื่นซัดหายไป
แต่ข้อสงสัยที่เกิดขึ้นก็คือทำไมไม่มีการพบศพของพวกเขาที่ควรจะถูกคลื่นซัดมาติดกับฝั่ง และที่สำคัญคือ ในเมื่อวันที่ 15 ในรายงานเขียนว่าทะเลสงบ นั่นหมายถึงไม่น่าจะมีคลื่นแรงมากถึงขนาดซัดชายที่มีประสปการณ์ในทะเลทั้งสามจนหายไปได้
การหายตัวไปของทั้งสามยังคงเป็นปริศนามาจนถึงปัจจุบัน จนเกิดทฤษฎีจากเหล่าผู้ชื่นชอบเรื่องลึกลับ (อย่างพวกเรา) ตามมาอีกมากมาย หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจก็คือ เกิดการฆาตกรรม ในหมู่พวกเขาเอง
เนื่องจากรายงานสภาพอากาศของชายฝั่งในช่วงวันที่ 12-14 ธันวาคมในปีนั้น รายงานไว้ว่าคลื่นลมสงบ แล้วคลื่นพายุในรายงานของมาร์แชลมาจากไหน เป็นไปได้หรือไม่ว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นอันน่าหดหู่ในเดือนธันวาคม ความเหงา โดดเดี่ยว บนเกาะห่างไกลผู้คน ทำให้โทมัส มาร์แชล เกิดความเครียดและจินตนาการถึงคลื่นและสภาพอากาศที่เลวร้ายไปเอง แล้วนำไปเขียนบันทึก
และเป็นไปได้หรือไม่ว่าความเครียดและจินตนาการของเขารุนแรงขึ้นจนเห็นภาพหลอนและทำให้เขาลงมือฆ่าเพื่อนร่วมงานอีกสองคน และเลือกจบชีวิตตัวเองตามไป
หรืออีกทฤษฎีที่สันนิษฐานว่าวิลเลียม แมคอาเธอร์ ซึ่งมีนิสัยอารมณ์ร้อน และมีประวัติการทะเลาะเบาะแว้งและใช้ความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง อาจจะเป็นคนที่ทำร้ายเพื่อนทั้งสองและทิ้งศพลงไปในทะเลก่อนที่ฆ่าตัวตายตามไป แต่ทั้งสองทฤษฎีก็ยังไม่สามารถอธิบายสภาพห้องกินข้าวที่ถูกทิ้งไว้ได้ดีนัก
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีรักสามเศร้าของชายทั้งสาม การลักพาตัวจากคนแปลกหน้าที่ล่องเรือมายังเกาะ ไปจนถึงทฤษฎีเหนือจินตนาการอย่างมนุษย์ต่างดาว และสัตว์ประหลาดยักษ์ที่มาพร้อมคลื่นขนาดใหญ่ รวมไปถึงเรื่องเล่าจากชาวบ้านว่าพวกเขาทั้งสามถูกพลังงานชั่วร้ายบนเกาะทำให้หายไป
เรื่องราวการหายตัวไปของผู้ดูแลประภาคารทั้งสามถูกนำไปสร้างเป็นเกมส์ชื่อว่า Dark fall lights out ที่ให้เรารับบทเป็นตัวละครหลักที่ไปตามสืบเรื่องราวการหายตัวไปของผู้ดูแลประภาคารทั้งสาม ซึ่งดูเหมือนเกมส์จะนำเสนอไปทางเรื่องเหนือธรรมชาติ
ภาพจากเกมส์ dark fall : lights out
ภาพจากเกมส์ dark fall : lights out
อีกทั้งยังถูกนำไปสร้างภาพยนตร์เรื่อง The vanishing ที่นำแสดงโดยเจอร์ราด บัตเลอร์ โดยภาพยนตร์นำเสนอเรื่องราวบนที่เกิดขึ้นบนเกาะไปในอีกแง่มุมหนึ่ง ใครสนใจก็ลองไปหาดูกันได้นะคะ
ภาพยนต์ The vanishing
ทุกวันนี้ประภาคารก็ยังคงตั้งตระหง่านอบู่บนเกาะแฟลนแนน แถมในเว็บไซต์ของ Northern lighthouse board เองก็ยังมีการใส่เรื่องการหายตัวของทั้งสามไว้ในหน้าเว็บด้วย เรียกว่ากลายเป็นอีกหนึ่งจุดขายของที่นี่ไปแล้ว
หน้าเว็บไซต์ของ Northern lighthouse board
ขอบคุณทุกคนที่เขามาอ่านนะคะ อย่างไรก็ตามแหล่งที่มาของข้อมูลไม่ว่าจะเป็นบทความจากเว็บไซต์ พอดแคสต์ รวมถึงวิดีโอทั้งหมด เป็นภาษาอังกฤษ หากมีการแปลผิดพลาดก็ขออภัยไว้ด้วยนะคะ
ส่วนภาพวาดประกอบเป็นผู้เขียนวาดขึ้นเองจากการอ่านรายละเอียดเนื้อหารวมถึงการใส่จินตนาการนิดหน่อยเพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านค่ะ
ถ้าผู้อ่านมีคำแนะนำหรือคำติชมที่เป็นประโยชน์ ก็สามารถคอมเมนต์ไว้ได้นะคะ จะอ่านทุกคอมเมนต์และนำไปปรับปรุงแก้ไขในเรื่องต่อๆไปค่ะ
แหล่งที่มาจากเว็บไซต์
พอดแคสต์
โฆษณา