12 ก.พ. 2021 เวลา 13:00 • ประวัติศาสตร์
#ทำไมถึงเรียกว่าวันวาเลนไทน์ #ทำไมถึงเป็นวันแห่งความรัก #ทำไมวะ
🥰ใกล้เข้ามาอีกนิด ชิดเข้ามาอีกหน่อยแล้วสำหรับวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก ที่เราจะเห็นเหล่าคู่รักหอบดอกไม้ช่อโตกันทั่วเมือง พร้อมบรรยากาศของความรักที่อบอวนไปทั่ว ...แต่เคยสงสัยกันไหมคะว่า ทำไมวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกๆปี จึงถูกจัดให้เป็นวันวาเลนไทน์และทำไมวันวาเลนไทน์ ถึงเป็นวันที่เราจะต้องแสดงความรักต่อกัน วันนี้เรามาไขข้อข้องใจนี้ไปด้วยกันดีกว่าค่ะ 💞
วันวาเลนไทน์คืออะไร ทำไมถึงเป็นวันแห่งความรัก?
💔“วาเลนไทน์” ชื่อแสนหวาน..ที่มีตำนานแสนเศร้า
พอเราคิดถึงบรรยากาศของวันวาเลนไทน์เมื่อไหร่ แน่นอนว่ามันต้องอบอวนไปด้วยมวลกลิ่นของความรัก ความเสน่หา แต่จริงๆแล้วนั้นประวัติความเป็นมาของ “วันวาเลนไทน์” ดูเป็นเรื่องที่น่าเศร้าอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ
.
ย้อนไปประมาณช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 แห่งกรุงโรม (ประมาณ 1,760 ปีก่อน) ยุคการปกครองโดยจักรพรรดิคลอดิอัส ที่ 2 (Emperor Claudius II) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่มีนิสัยโหดเหี้ยม ปกครองบ้านเมืองด้วยการใช้อำนาจ ชอบทำการศึกสงครามเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ชอบทำสงครามอย่างแรงกว้านี่เอง ทำให้พระองค์ชอบครุ่นคิดอยู่เสมอว่ามีสิ่งใดในกองทัพที่เป็นข้อผิดพลาดอยู่บ้าง ซึ่งท่านได้ตระหนักว่าพลทหารที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วนั้น มีจุดอ่อนและปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่ดีเท่าที่ควร พลทหารบางนายไม่ยอมจากบ้านและครอบครัวมาเพื่อทำศึกสงคราม จึงได้ออกคำสั่งไม่ให้มีการหมั้นหมายหรือแต่งงานในอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อลดปัญหาพลทหารทำงานได้ไม่ดี แน่นอนว่าคำสั่งนี้สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับประชาชนในเมืองเป็นอย่างมาก
.
ในเวลาต่อมา มีหัวหน้านักบวชรูปหนึ่งชื่อ “เซนต์วาเลนไทน์” (Saint Valentine) ร่วมมือกับนักบวชอีกรูปชื่อ “เซนต์มาริอัส” แอบจัดงานหมั้นและงานแต่งงานให้กับคู่รักชาวคริสเตียนอย่างลับๆ เพราะเซนต์วาเลนไทน์มองว่าการกีดกันไม่ให้คู่รักไม่ได้หมั้นหมาย หรือแต่งงานกันนั้น เป็นสิ่งที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย แน่นอนว่าเมื่อท่านจักรพรรดิได้สืบทราบการกระทำที่ละเมิดคำสั่งนี้ ก็ได้มีคำสั่งจองจำเซนต์วาเลนไทน์และมีกำหนดโทษให้ประหารชีวิตในที่สุด
.
โดยในช่วงที่เซนต์วาเลนไทน์ถูกขังอยู่ในคุกเขาก็ยังคงเขียนคำอวยพรส่งไปยังเหล่าชาวคริสเตียนที่อยู่ภายนอกอยู่เสมอๆ ในขณะเดียวกันเขาได้ตกหลุมรักกับ “จูเลีย” ลูกสาวของผู้คุมในคุก ซึ่งในคืนสุดท้ายก่อนโทษประหารชีวิตจะมาถึง เซนต์วาเลนไทน์ได้เขียนจดหมายฉบับสุดท้ายให้แก่จูเลีย โดยลงท้ายจดหมายว่า “...From Your Valentine” และในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.270 เซนต์วาเลนไทน์ก็ถูกประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะ
.
เมื่อเหล่าประชาชนได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น ชื่อของ “เซนต์วาเลนไทน์ : Valentine” จึงกลายเป็นที่จดจำในด้านของความรัก ความเมตตา ความกล้าหาญและความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อมาภายหลังผู้คนจึงยึดเอาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ (วันที่เซนต์วาเลนไทน์ถูกประหาร) เป็นวันแห่งความรัก ชื่อ Saint Valentine’s Day หรือ Valentine’s Day นั่นเอง
✨Tips
-ในยุคสมัยการปกครองโดยกษัตริย์คลอดิอุสที่ 2 องค์จักรพรรดินับถือลัทธิเพเกินโรมัน (Pegan Roman) และไม่ยอมรับศาสนาคริตส์ โดยพระองค์ได้ออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อบีบบังคับให้ประชาชนเลิกนับถือศาสนาคริสต์ เท่ากับว่าการกระทำของเซนต์วาเลนไทน์นั้นมีความกล้าหาญเป็นอย่างมาก ที่กล้าลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิให้ชาวคริสเตียนทุกคู่ มีโอกาสที่จะได้หมั้นหมายและแต่งงานกัน จนทำให้ตนเองต้องโทษประหารชีวิต
-ศพของเซนต์วาเลนไทน์ถูกเก็บไว้ที่โบสถ์พราซีเดส (Praxedes) โดยจูเลียได้ปลูกตันอัลมอนด์สีชมพูเอาไว้บริเวณใกล้ๆกับหลุมฝังศพ เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความรักนิรันดร์และมิตรภาพอันสวยงามที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเซนต์วาเลนไทน์ ต่อมาต้นอัลมอนด์สีชมพู จึงกลายเป็นอีกสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรักในวันวาเลนไทน์
-แต่เดิมทุกๆวันที่ 13-15 กุมภาพันธ์ ชาวโรมันจะจัดเทศกาลลูเปอร์คาเลีย (Lupercalia) เพื่อบูชาเทพเจ้าจูโน่ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรัก โดย 1 วันก่อนเทศกาลชายหนุ่มจะจับฉลากชื่อของหญิงสาวที่ถูกเขียนรวมเอาไว้ ใครจับได้ชื่อไหน ทั้งคู่ก็จะได้เป็นเพื่อนร่วมเที่ยวกันตลอดเทศกาลนี้ ซึ่งมีหลายๆคู่ที่ได้พบรักและแต่งงานกันหลังประเพณีนี้ ต่อมาประมาณ 200 ปีให้หลัง (หลังการเสียชีวิตของเซนต์วาเลนไทน์) เมื่อศาสนาคริสต์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น ทางคริสตจักรต้องการให้ประเพณีลูเปอร์คาเลียนี้กลายเป็นเทศกาลในศาสนาคริสต์ จึงกำหนดให้จัดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์เพียงวันเดียว และเรียกชื่อว่า "วันวาเลนไทน์ (Valentine’s Day)" เพื่อเป็นการระลึกถึงการเสียสละของเซนท์วาเลนไทน์ไปด้วยนั่นเอง
โฆษณา