12 ก.พ. 2021 เวลา 18:14 • ท่องเที่ยว
รู้จักประเทศสวิตเซอร์แลนด์ผ่านแสตมป์
003 Jungfrau and trains
แสตมป์ชุดแรกเป็นภาพของภูเขาสามเขา
ที่ทอดตัวติดกัน
Monch - Eiger - Jungfrau ตามลำดับ
เป็นสามเขาที่นักท่องเที่ยวสายหลัก
มักจะไม่พลาดที่จะได้เห็นเมื่อมาเยือนสวิตเซอร์แลนด์
ชุดนี้เป็นแสดมป์สามดวงติดกัน
ราคาดวงละ 0.85 ฟรังค์
โดยมีตราประทับวันแรกจำหน่าย 9 May 2006
เป็นรูปดอกเอเดิลไวซ์ ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำชาติสวิส
ไม่มีจำหน่ายแล้วค่ะ
แสตมป์ชุดสองทำขึ้นเฉลิมฉลอง
125 ปี การรถไฟสาย
Schynige Platte Railway และ
Wengernalp Railway
ดวงนึงเป็นรถไฟที่ใช้หัวรถจักรโบราณ
อีกดวงเป็นรถไฟที่ใช้ไฟฟ้าในปัจจุบัน
ทั้งสองดวงมีฉากหลังเป็นภูเขาสามลูก
​Monch - Eiger - Junfrau
ถ้าขึ้นรถไฟทั้งสองขบวนนี้ (ซึ่งไปคนละสถานที่)
ก็จะได้เห็นวิวภูเขาทั้งสามลูกนี้เช่นกัน
ราคาดวงละ 1 ฟรังค์
โดยมีตราประทับวันแรกจำหน่าย 1 March 2018
เป็นรูปดอกเอเดิลไวซ์
และดอกไม้ที่พบเจอได้บนเทือกเขาแอลป์
มีเฟืองรถไฟเป็นกรอบล้อมรอบ
สื่อถึงว่ารถไฟทั้งสองสาย
จะมีเฟืองคอยช่วยดึงให้รถไฟขับเคลื่อนขึ้นเขาไปได้
ไม่มีจำหน่ายแล้วค่ะ
แสตมป์ดวงสุดท้าย
ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลอง 100 ปีการรถไฟ
ของ Jungfrau Railway
ซึ่งเป็นรถไฟที่เจาะอุโมงค์บนเขาสูง
จนพานักท่องเที่ยวขึ้นไปชมความงาม
ที่ความสูง 3454 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ราคาดวงละ 1 ฟรังค์
โดยมีตราประทับวันแรกจำหน่าย 8 March 2012
เป็นรูปอาคารสำรวจดวงดาวของยอด Jungfraujoch
มีเฟืองรถไฟเป็นกรอบล้อมรอบ
ไม่มีจำหน่ายแล้วค่ะ
ยอดเขา Jungfrau ออกเสียงว่ายุ้งเฟรา
แปลตรงตัวว่าสาวน้อย
หรือจะแปลว่าสาวพรหมจรรย์ก็ได้
มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวกระแสหลักอย่างมาก
เพราะสามารถขึ้นไปยังยอดสูงที่มีหิมะปกคลุมตลอดปี
ในจุดที่ชื่อว่า Jungfraujoch
ออกเสียงว่า ยุ้งเฟราย็อค
แม้ว่าค่ารถไฟในการนั่งขึ้นไปยังจุดนั้นจะแพงแสนแพง
ขนาดว่าคนสวิสบางคน
ก็ไม่เคยขึ้นไปเหยียบเลยในชีวิต
เพราะราคาสูงเกิน
แต่นักท่องเที่ยวที่ในชีวิตได้มาเยือนประเทศในฝันแล้ว
อย่างไรเสียก็ต้องขอขึ้นไปเหยียบยอดสูงสุดของยุโรปให้ได้
รถไฟไต่เขาที่ปัจจุบันใช้ไฟฟ้า แต่จะมีฟันเฟืองตรงกลางคอยดึง
วิวระหว่างทางที่นั่งรถไฟขึ้นไป
ในวันที่แดดดี เรานั่งอาบแดดท่ามกลางหิมะได้เลยไม่มีหนาว
เนื่องจากคนทำโฆษณามักจะใช้ประโยคเด็ดว่า
Jungfraujoch - Top of Europe
แต่ในความเป็นจริง
ภูเขาที่นักท่องเที่ยวสามารถไปเยือนได้
อันจะเรียกว่า Top of Europe นั้นไม่ใช่ที่นี่
เพราะความสูงแค่ 3454 เมตรจากระดับน้ำทะเลนั้น
ยังไม่สูงขนาดว่าจะเรียกเป็น Top of Europe ได้
มีเขาอื่นที่สูงกว่านี้อีกค่ะ
แต่ที่ใช้คำนี้ก็เพราะมีคำขยายต่อท้ายว่าเป็น
สถานีรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรปต่างหาก
ซึ่งอันนี้เป็นความจริงค่ะ
ไม่มีใครบ้าขุดทางรถไฟขึ้นไปยังจุดสูง ๆ แบบนี้ได้
นอกจากคนสวิสค่ะ
ภาพจาก google
ที่มหัศจรรย์คือนี่เป็นทางรถไฟที่ขุดกัน
เมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้วด้วย
ช่วงที่ยากที่สุดก็คือ
อุโมงค์ที่ยาวกว่า 9 กิโลเมตรก่อนถึงยอด
ใช้เวลาขุดกว่า 16 ปี ด้วยแรงงานคน
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนอิตาลี
มีการเสียเลือดเสียเนื้อเสียชีวิต
ในการนี้ไปหลายท่านเชียว
ด้านบนมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการก่อสร้าง
ให้เราได้ชมกันด้วยค่ะ
เมื่อขึ้นไปยังยอดเขา Jungfraujoch
เราก็จะได้เห็นอาคารหอดาราศาสตร์ (Star observer)
ตั้งตระหง่านโดยมีฉากของธารน้ำแข็งอยู่เบื้องหลัง
ธารน้ำแข็งนี้มีชื่อว่า Aletsch Glacier
ได้ถูกอนุรักษ์ให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติโดย Unesco ด้วยค่ะ
Aletsch Glacier
นอกจากนี้ด้านบนยอดเขายังมีถ้ำน้ำแข็ง
ที่ขุดเจาะให้เป็นทางเดินพิเศษเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว
แถมยังประดับประดาไปด้วยน้ำแข็งแกะสลักสวยงาม
ถือเป็นอีกหนึ่งไฮท์ไลท์ค่ะ
ถ้ำน้ำแข็ง ที่มีน้ำแข็งแกะสลักให้เดินชม
ในฤดูร้อนหิมะบนนี้ก็ไม่ละลายหมดไป
เพราะความสูงที่เกิน 3000 เมตร
ทำให้มีกิจกรรมสนุก ๆ ให้เราได้เล่นเช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นสเล็ท สกี หรือห่วงยางยักษ์
แต่สิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวหลัก
มักจะพลาดทำเพราะต้องใช้เวลา
ก็คือการเดินเขาบนน้ำแข็ง
เพื่อไปยังกระท่อมที่ห่างออกไป 40 นาที
จะไปดื่มกาแฟ รับประทานอาหาร
หรือจะค้างคืนก็ได้เช่นกัน
นี่คือกระท่อมสำหรับนักเดินเขา นักปีนเขาสูง
ที่จะทำให้คุณรู้จักสวิตเซอร์แลนด์ในอีกมุมหนึ่ง
ที่นักท่องเที่ยวทั่วไปไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แต่ถ้าไม่มีเวลา การได้ขึ้นไปเยือนยังยอดเขา
Jungfraujoch ก็ถือว่าคุ้มค่าครั้งหนึ่งในชีวิตเช่นกัน
เส้นทางเดินไปยังกระท่อมบนเขา (Mountain Hut)
ป.ล.
แสตมป์ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ใช้คำว่า “Helvetia”
ซึ่งเป็นชื่อประเทศดั้งเดิม แทนคำว่า “Switzerland” อันเป็นชื่อประเทศในปัจจุบัน
ดังนั้นนักสะสมที่เก็บแสตมป์จากทั่วโลก ถ้าไม่รู้มาก่อน
ก็จะวิ่งวุ่นแทบตายว่า ทำไมไม่มีแสตมป์จากประเทศสวิตเซอร์แลนด์เลยนะ
โฆษณา