14 ก.พ. 2021 เวลา 19:37 • การศึกษา
คนแห่ไหว้ขอความรัก จากพระตรีมูรติ ที่ลานห้างฯดัง วันต่อมา..ผู้เชี่ยวชาญออกมาให้ความรู้ว่า ที่ไปไหว้นั้นไม่ใช่พระตรีมูรตินะ แต่เป็นพระสทาศิวะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรัก...
อ่านข่าวแล้วก็อดคิดแบบขำๆไม่ได้เนาะ มันช่างมีหลายมุมให้คิดจริงๆ ..ซึ่งเราจะไม่ก้าวล่วงดีกว่า..
แต่จากเหตุการณ์นี้ สิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน ก็คือ เรื่องของการอยากมีคู่ ..อยากที่จะมีความรักกับใครสักคนอ่ะ..ว่างั้น
แสดงว่า เขาเหล่านั้นคิดว่า การมีคู่รักเป็นเรื่องที่ดี เป็นเรื่องที่จะนำพาความสุขมาให้
ครูอาจารย์ท่านบอกเสมอว่า
"เราสุขกับสิ่งใด ก็ย่อมทุกข์กับสิ่งนั้น"
กล่าวคือ ถ้าสิ่งใดทำให้เราสุขได้ สิ่งนั้นก็ทำให้เราทุกข์ได้เช่นกัน ..สุขกับทุกข์เป็นของคู่กัน.. คู่กันในทีนี้ เพื่อนๆหลายคนคิดว่า ออ..มันก็เป็นเรื่องปกติ สลับๆกันไปสุขทุกข์..
ไม่ๆไม่ใช่เลย!!! เพื่อนเข้าใจผิดแล้ว ที่เขาบอกว่าเป็นของคู่กัน คือ มันมาคู่กัน..มาพร้อมกันเลย เมื่อใดที่เพื่อนรู้สึกสุข นั่นแหละทุกข์ก็มาแล้ว แต่เพื่อนๆอาจมองไม่เห็นเอง..
จากในข่าวนี้..สมมติว่าท่านเทวรูปดลบันดาลให้เพื่อนๆเจอใครสักคน ที่จะมาเป็นคู่ครองกัน..
เพื่อนๆอาจมองว่า มันน่ามีความสุขนะ ที่มีใครสักคน แต่เพื่อนๆก็รู้ใช่ไหม สิ่งที่ตามมาคือ ภาระทางกาย ภาระทางใจ ความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อกันระหว่างคนสองคน..ความรู้สึกของการเป็นเจ้าเข้าเจ้าของกัน ความคาดหวังที่มีต่อกัน..
และเมื่อใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง.. เพื่อนๆเตรียมตัวเจอกับพายุอารมณ์มากมายที่จะโถมเข้ามาได้เลย.. เชื่อว่าหลายคนที่เคยมีแฟนก็คงเคยเจอมาสารพัดรูปแบบ สุดท้ายก็เลิกรากัน จนถึงขั้นบอกตัวเองว่าไม่เอาอีกแล้ว...แต่สุดท้าย หลังจากโสดไปสักพัก ก็จะมานั่งขอพรจากท่านเทวรูปให้เจอใครสักคนเพื่อขอเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง.. เผื่อจะเจอคนที่ดีกว่าเดิม..
ซึ่งต่อให้เจอ คนที่แสนดีมากๆ ตามความคาดหวังของเราทุกประการเป๊ะ ก็ทุกข์อีกอยู่ดี ทุกข์จากความห่วงใย ทุกข์จากความกังวลใจ ทุกข์จากความพลัดพราก ยิ่งรักกันมาก ตอนพลัดพรากก็ยิ่งทุกข์มากนะ..เห็นไหมมีแต่ทุกข์ทั้งนั้น
พ่อแม่ให้กำเนิดลูกน้อย มีความสุขที่ได้เลี้ยงดู ได้เห็นเขาเจริญเติบโต ก็มีความทุกข์ในความห่วงใย ความกังวลใจ ความคาดหวัง เป็นภาระทางใจที่ต้องแบกรับไปชั่วชีวิตเลยทีเดียว.. "สุขกับสิ่งใด ก็ย่อมทุกข์กับสิ่งนั้น"
ซื้อรถใหม่ กระเป๋าใหม่ บ้านใหม่ มือถือใหม่ รู้สึกมีความสุขที่ได้มาครอบครอง พอถึงวันที่สิ่งนั้นเริ่มสูญสลาย แตกหัก ผุพังไปตามเวลาหรือตามสถานการณ์ ก็ย่อมทุกข์
ทุกครั้งที่ได้อะไรมา นั่นคือการนับถอยหลังของเวลาที่เราจะพลัดพรากจากมัน.. ไม่ว่า จะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ ทุกอย่างที่เรายึดติดกับมัน ล้วนทำให้เราทุกข์ได้ทั้งสิ้น..นี่คือสัจธรรม
...มีเพื่อนๆบางคนถามในมุมกลับว่า ..
- มีสุขก็ย่อมมีทุกข์มาคู่กัน แล้ว ถ้าตอนนี้เราทุกข์ก็ต้องมีสุขมาคู่กันด้วย..ใช่หรือไม่?
55+เพื่อนก็เข้าใจคิด.. แต่ผิดอ่ะ!! ไม่ใช่อย่างที่เพื่อนคิดหรอก..
ถ้าเพื่อนทุกข์ ก็คือ ทุกข์ ไม่มีสุขมาคู่หรอก..อ้าวไหงงั้น!! ครูอาจารย์ท่านบอกว่า โลกนี้มันไม่มีสุขหรอก มันมีแต่
ทุกข์มาก กับ ทุกข์น้อย
ปุถุชนคิดไปเองว่า มันมีคำว่า ความสุข
ก็..มันจะมีความสุขไปได้อย่างไร เมื่อตัวเราเองนั้นแหละ คือ ตัวทุกข์ แค่เกิดมาก็ทุกข์แล้ว.. ทุกวันนี้ตอนนี้ก็ทุกข์เป็นเนืองๆอยู่ แต่เราไม่เห็นเอง
นั่งเฉยๆ เดี๋ยวก็คัน ก็ต้องเอามือไปเกา ทุกข์ไหม? นอนเฉยๆเดี๋ยวก็เมื่อย ก็ต้องเปลี่ยนอริยาบถให้หายเมื่อย ทุกข์ไหม? นั่งนานก็เมื่อย ยืนนานก็เมื่อย ..วันเวลาผ่านไปก็แก่ลงทุกวัน เส้นผมเริ่มหลุดร่วงบางลง ผิวหนังเริ่มมีริ้วรอยแห้งเหี่ยว สายตาก็เริ่มฝ้าฟาง โรคภัยไข้เจ็บก็เริ่มรุมเร้า.. นี่แค่ด้านร่างกายนะ.. เห็นไหม แต่ละวินาทีที่ผ่านไป ร่างกายก็ถูกทุกข์บีบคั้นตลอดเวลา
มามองด้านจิตใจกันบ้าง.. นั่งๆอยู่ จิตใจก็เกิดความอยากกินนู้นนี่ ..เกิดความอยากจะไปที่นั่นที่นี่ ...เกิดความอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี่
หรืออยู่ดีๆก็เซง..อยู่ดีๆก็นอย..บางทีก็โกรธคนนู้น..หมั่นไส้คนนี้ ..บางทีก็เพ้อฝันอยากเป็นนั่นนี่..จิตใจ คิดฟุ่งซ่าน วกวน ไม่จบไม่สิ้น.. คิดดีก็พอได้ชื่นใจบ้าง..แต่ถ้าคิดไม่ดีก็ทำใจหม่นหมองเข้าไปอีก
เพื่อนๆลองตรองดูดีๆ ความทุกข์มันบีบคั้นกายใจของเราตลอดเวลา ตัวเรามันเป็นตัวทุกข์ตั้งแต่เกิดแล้ว.. ดังนั้น ถ้าต้องการความสุขสงบที่แท้จริง ก็ ต้องทำลายตัวทุกข์ ซึ่งก็คือ ตัวเราเองนั่นแล.. ดังคำที่ท่านพุทธทาส เคยกล่าวว่า "ศาสนาพุทธ คือ ศาสนาที่สอนให้ฆ่าตัวตาย" (ท่านหมายถึง ฆ่าด้วยปัญญาที่เห็นความจริงนะ)ไม่ได้หมายความตามตัวอักษร..55+
โฆษณา