บุคคล เมื่อผัสสายะตนะภายใน ๖ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) กระทบกับภายนอก ๖ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์) แล้วจะเกิดเวทนา คือ สุข ทุกข์ เฉยๆ (อทุกขมะสุข) ตามช่องทางอายตนะนั้นๆ คือ
** ตา เห็นภาพสิ่งนั้นบ้าง โน้นบ้าง นี้บ้าง เห็นภาพสีนั่นแล้วเห็นสีนี่ เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลา แล้วเกิดเวทนาดังกล่าว
**หู ได้ยินเสียงนั้นบ้าง โน้นบ้าง นี้บ้าง เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลา แล้วเกิดเวทนาดังกล่าว
**จมูก ได้กลิ่นนั้นบ้าง โน้นบ้าง นี้บ้าง เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลา แล้วเกิดเวทนาดังกล่าว
**ลิ้น ได้รู้รสนั้นบ้าง โน้นบ้าง นี้บ้าง เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลา แล้วเกิดเวทนาดังกล่าว
**กาย ได้รับสัมผัสนั้นบ้าง โน้นบ้าง นี้บ้าง เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลาแล้วเกิดเวทนาดังกล่าว
**ใจ ได้รู้สึก คิดนึก ตริตรึก ถึงเรื่องนั้นบ้าง เรื่องโน้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง เปลี่ยนการรับรู้อย่าตลอดเวลา แล้วเกิดเวทนาดังกล่าว ***หรือ การที่บุคคลรับรู้ถึงเรื่องนั้น คิดถึงเรื่องนี้ คิดไปในอดีตบ้าง ปรุงไปในอนาคตบ้าง หรือรู้สึกสุขทุกข์ พอใจไม่พอใจบ้าง หรือเรื่องใดๆ ภายใต้ฐานที่ตั้งทั้ง ๔ (จัตตะโส วิญาณะฐิติโย) นั้น ไม่ใช่ว่าเป็นจิต มโน วิญญาณ(กิริยาที่รู้แจ้ง)ดวงเดียวกันที่ได้วิ่งไปเรื่องโน้น รับรู้ไปเรื่องนี้ กลับไปเรื่องนั้น กลับมาเรื่องนี้แต่อย่างใด (ลักษณะอย่างนี้พระตถาคต เรียกว่า "จิตเปลี่ยน" หรือ"จิตมีการมาการไป")
**หากแต่มีจิต มโน วิญญาณ หลายดวงและสัตว์ผู้ยึดติดในขบวนการทำงานหรือการรับรู้ในสิ่งๆนั้น และการที่ จิต มโน วิญญาณ ได้มีการมามีการไป จะมี "ตาย" (ดวงหนึ่งดับ)และมี "เกิด" (ดวงหนึ่งเกิด) ใน ๑ วงรอบ อยู่ทุกหนึ่งในล้านเสี้ยววินาทีเสมอ
#ยกตัวอย่าง สมมุติว่าบุคคลเอาจิตมาเกาะอยู่กับลมหายใจหรือ "รูปธาตุ" เป็นปกติ ณ ขณะนั้นชื่อว่ามีสติอยู่กับปัจจุบัน แต่พอเสี้ยววินาทีต่อมาจิตได้เปลี่ยนการรับรู้(ชราและมรณะ) สมมุติ หลุดจากลมหายใจไปรับรู้เรื่องราวในอดีต การอธิบายปรากฏการณ์ก็คือ ณ ขณะนั้นจิตหรือวิญญาณที่เกาะกับรูปจะดับ(ตาย)เมื่อจิตหรือวิญญาณดับ รูปก็จะดับไปชั่วขณะ เนื่องจากไม่มีวิญญาณครอง พอวิญญาณดวงหนึ่งดับไปและดวงใหม่เกิด สัตตานัง ก็จะเข้ายึดดวงใหม่ที่เกิดอย่างรวดเร็ว(หนึ่งในล้านเสี้ยววินาที)และจะพาเอาจิตหรือวิญญาณดวงที่จับยึดไปตั้งที่สัญญาขันธ์อย่างรวดเร็ว(หนึ่งในล้านเสี้ยววินาที)เช่นกัน และ ณ เสี้ยววินาทีนั้นสัญญาขันธ์ก็จะเกิด เนื่องจากมีวิญญาณไปตั้ง
**พอคิดเรื่องอดีตไปได้ซักพัก จิตก็เปลี่ยนการรับรู้(ชราและมรณะ)อีก สมมุติ โดยหลุดไปคิดปรุงแต่งไปในอนาคตหรือไปเกาะที่ "สังขารขันธ์" (การทำงานจะเป็นลักษณะเดียวกันกับกรณีแห่งรูป) ณ ขณะนั้น สัญญาขันธ์จะดับ(ตาย)เนื่องจากไม่มีวิญญาณครอง ส่วนสังขารขันธ์จะเกิด เนื่องจากมีวิญญาณไปตั้ง
**พอปรุงเรื่องอนาคตไปได้ซักพัก จิตก็เปลี่ยนการรับรู้อีก(ชราและมรณะ)สมมุติหลุดไปคิดเรื่องสุขทุกข์ พอใจไม่พอใจใดๆซักอย่าง หรือไปเกาะที่ "เวทนาขันธ์" (การทำงานจะเป็นลักษณะเดียวกันกับกรณีแห่งรูป) ณ ขณะนั้นสังขารขันธ์จะดับ(ตาย) เนื่องจากไม่มีวิญญาณครอง และ เวทนาขันธ์จะเกิด เนื่องจากมีวิญญาณไปตั้ง
**พอคิดไปคิดมารู้สึกเหนื่อยจึงหยุดคิด หรือเป็นจังหวะพัก (หรือเป็นจังหวะเสี้ยววินาทีที่รู้ลมโดยไม่ได้ตั้งใจ) ณ ขณะหยุดคิดหรือพักสมองนั่นเอง(การทำงานจะเป็นลักษณะเดียวกันกับกรณีแห่งรูป) เสี้ยววินาทีนั้นจิตจะดับจากเวทนาขันธ์แล้วกลับมารับรู้หรือเกาะเกี่ยวอยู่กับ "ลมหายใจ" หรือ "รูปขันธ์" ใหม่โดยอัตโนมัติอีกครั้งทันที และในขณะนั้นเอง เวทนาขันธ์จะดับ(ตาย) เนื่องจากไม่มีวิญญาณครอง ส่วนรูปขันธ์หรือลมหายใจจะเกิด "กายจะกลับมามีวิญญาณครองอีกรอบ"
**พอจิตเกาะอยู่กับลมไปได้ซักพัก จิตก็เปลี่ยนอีก เป็นวัฏจักรวนเวียนอยู่กับฐานที่ตั้งทั้ง ๔ เพื่อสร้างภพ สร้างชาติ สร้างการเกิดอยู่อย่างนี้ไปตลอดกาล(อกาลิโก)
**หากดูเผินๆแล้วจะเหมือนกับว่า เป็นจิตดวงเดียวกันที่วิ่งไปนั่น วิ่งมานี่ วิ่งไปเรื่องนั้นบ้าง วิ่งมาเรื่องนี้บ้าง แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ หากแต่การมาการไปจะมีดวงหนึ่งตายดวงหนึ่งเกิดอย่างรวดเร็ว(หนึ่งในล้านเสี้ยววินาที) นับล้านๆดวงในทุกเสี้ยววินาทีที่จิตเปลี่ยน
*************************************
#เทียบกับหลักการทางวิทยาศาตร์#