14 ก.พ. 2021 เวลา 00:15 • ไลฟ์สไตล์
"ค่ากาแฟหนึ่งรอยรั่วทางการเงินที่รู้แต่ขาดไม่ได้"
2
ในชีวิตการทำงาน
คงปฏิเสธไม่ได้ว่ากาแฟเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งของคนทำงาน
จนผมมีคำพูดติดตลกที่ใช้พูดเป็นประจำที่ว่า
3
"งดข้าวเช้างดได้ แต่งดกาแฟไม่ได้เด็ดขาด"
5
สำหรับคนดื่มกาแฟเป็นประจำแล้ว
จะรู้ว่าการขาดกาแฟเหมือนการขาดอาหารให้สมอง
แต่ละคนก็มีหลากหลายรสนิยมในการดื่มกาแฟ
บางคนขอแบบเข้มๆ เอสเพรสโซ่ช็อตเข้ม อเมริกาโน่ หรือแม้กระทั่ง ลาเต้ มักคิอาโต้
คงจะปฏิเสธไม่ได้อีกว่าค่ากาแฟในยุคนี้นั้นมีราคาที่สูงเลยทีเดียว
หากค่าอาหารรายมื้อเท่ากับ 40 บาท
รวมวันละ 120 บาท
ค่ากาแฟคือ 50% ของค่าอาหารต่อวัน (แก้วละ 60 บาท)
ซึ่งถือว่าสูงพอสมควร หากมีแผนการประหยัดแล้ว
แน่นอนว่านี่คือรอยรั่วรอยใหญ่เลยทีเดียว
แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นที่เลี่ยงไม่ได้
4
แต่ในบางรายอาจจะให้วิธีชงกาแฟที่ออฟฟิศ
ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะเป็นกาแฟสำเร็จรูปแบบผง
มีส่วนช่วยให้ไม่ง่วง
แต่เชื่อเหลือเกินว่าจะไม่ได้อรรถรสเท่ากาแฟสด
1
คราวนี้เรามาดูกันว่าค่าใช้จ่ายทีจ่ายให้กับค่ากาแฟ
หากเราต้องดื่มกาแฟทุกวันทำงานคือ 5 วันต่อสัปดาห์
ค่ากาแฟแก้วละ 60 บาท
1 สัปดาห์ค่ากาแฟคือ 300 บาท
1 เดือน อย่างต่ำ 1,200 บาท และ
1 ปี ค่ากาแฟคือ 14,400 บาท
4
ซึ่งอาจจะลดลงหรือมากขึ้นหากมีวันลาหรือวันที่ไม่ได้ซื้อกาแฟ
แต่เมื่อตรวจสอบวันหยุดแล้ว
หลายครั้งเราก็พบว่า
แทนที่จะดื่มกาแฟในออฟฟิศในวันปกติ
เราก็ยังคงดื่มกาแฟในคาเฟ่ในวันหยุด
1
เมื่อขยายตัวเลขรายปีแบบนี้แล้ว
ส่วนตัวผมเองในฐานะที่เคยทำงานออฟฟิศ
ก็รู้สึกว่ามันเป็นค่าใช้จ่ายที่มากเลยทีเดียว
จึงได้เริ่มหันมาคิดที่จะทำกาแฟดื่มเอง
เพื่อจุดประสงค์ที่สำคัญคือ "ประหยัด"
2
พอสำรวจดูแล้วว่าเราชอบดื่มกาแฟดำ
ก็ไม่ยากที่จะหาอุปกรณ์มาทำ
ผมตัดสินใจที่จะชงกาแฟด้วยวิธีการ "ดริป"
จึงได้เริ่มค้นหาว่าต้องใช้งบประมาณเท่าไหร่ค่าอุปกรณ์
แพลตฟอร์มร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ค้นหา
ในยุคนี้ราคาถูกกว่าตอนที่ผมเริ่มซื้อมาใช้มาก
อุปกรณ์พื้นฐานเริ่มจาก
1
- เครื่องบดเม็ดกาแฟด้วยมื 199 บาท
- กระดาษกรองสีขาว 140 บาท
- ดริปเปอร์(กรวยดริป) + เหยือกกาแฟ 199 บาท
- กาดริป 135 บาท
รวมแล้ว = 673 บาท
7
สิ่งที่สำคัญคือกาต้มน้ำร้อนซึ่งอาจจะมีอยู่แล้ว
หากไม่มีก็ซื้อใหม่ในราคาประมาณไม่เกิน 500 บาทก็ได้ (แต่บางรุ่นจะทำอุณหภูมิไม่ถึง 91-92 องศเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ใช้ดริปกาแฟ)
2
และอีกหนึ่งวิธีที่สะดวกเอามากๆเลยคือ Moka pot
2
อาจจะลงทุนซื้อขนาด 3 แก้วมาใช้ก่อน
ราคาก็อยู่ที่ 150 - หลักพัน บาท
วิธีกการนี้ประหยัดมากๆเพราะอุปกรณ์ไม่เยอะแต่อาจจะต้องใช้เตาไฟซึ่งสามารถใช้เตาแก๊สแบบพกพาได้ สำหรับคนที่อยู่หอพัก
2
ส่วนที่สำคัญคือเมล็ดกาแฟ
ขอยกตัวอย่างที่ผมใช้ในปัจจุบัน
ราคา 190 บาท ปริมาณ 250 กรัม
ซึ่งโดยปกติแล้ว
2
ผมใช้ดริปประมาณ 20 กรัมต่อวัน
หมายความว่าใน 1 เดือน
ผมจะใช้เมล็ดกาแฟ 500 กรัมในราคา 380 บาท
และค่าไฟฟ้าจากกาต้มน้ำขนาด 500 -750 Watt
เมื่อคิดค่าไฟแล้วจะตกที่ประมาณ 3 บาทต่อวัน (วันละ 1 ชั่วโมง)
ค่าไฟจากการต้มกาแฟเป็น 60 บาทต่อเดือน
1
เมื่อรวมค่าใช้จ่ายแปรผันของการต้นกาแฟแล้วจะเป็น 380 + 60 = 440 บาท
เมื่อรวมกับค่าอุปกรณ์ซึ่งใช้จ่ายเพียงครั้งเดียว
จะลงทุนครั้งแรกที่ 1,113 บาท ในเดือนที่ซื้อ
และเดือนถัดไปคือ 440 บาท
ใน 1 ปีคือ 5,280 บาท
4
มีในส่วนของกระดาษกรองซึ่ง 1 ใช้ได้ 100 ครั้ง
ปีหนึ่งอาจจะตกที่ 3 ห่อ
ทำให้เมื่อคาดการณ์ค่ากาแฟเมื่อชงดื่มเอง
ด้วยวิธีการดริปแล้ว
1
จะอยู่ที่ 5,280 + 420 + 533 = 6,233 บาท ในปีแรก
และ 5,280 + 420 = 5,700 บาท ในปีถัดไป (หากไม่ได้ซื้ออุปกรณ์เพิ่ม)
จะเห็นว่าสามารถประหยัดค่ากาแฟได้ถึง 8,700 บาทต่อปี
3
ซึ่งนี่เป็นเพียงทางเลือกหนึ่งที่ไม่ต้องงดกาแฟแถมยังได้ดื่มกาแฟดีๆ
จากเมล็ดกาแฟที่เราชอบ
ที่สำคัญยังสามารถมีโอกาสได้ลิ้มลอง
รสชาติของกาแฟหลายๆแบบ
3
ในกรณีที่อุปกรณ์ไม่งอกนะ ☺
10
โฆษณา