15 ก.พ. 2021 เวลา 10:18 • กีฬา
ปีสุดท้ายของคล็อปป์กับดอร์ทมุนด์ จากโค้ชที่อยู่ในสเตตัสไม่มีวันโดนไล่ออก ทำไมเขาถึงลาออกเอง วิเคราะห์บอลจริงจังย้อนอดีตให้ฟัง
2
หลังจากคุมโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์มา 6 ปี สถานะของเจอร์เก้น คล็อปป์คือ untouchable หรือแตะต้องไม่ได้ ไม่ว่าทีมผลงานจะเป็นอย่างไร คล็อปป์ไม่มีวันโดนไล่ออก
1
ในช่วง 6 ปีที่คุมทีม เขาพาดอร์ทมุนด์ได้แชมป์บุนเดสลีกาสองสมัย และเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นักเตะก็รักเขา แฟนบอลก็ศรัทธาชื่นชม เขาสามารถอยู่กับทีมได้ต่อไปเป็นสิบปี
อย่างไรก็ตาม เส้นทางของคล็อปป์กลับสิ้นสุดลง หลังซีซั่นที่ 7 หรือฤดูกาล 2014-15 โดยไม่มีใครมาไล่เขาทั้งนั้น แต่เป็นตัวคล็อปป์เอง ที่ยื่นจดหมายลาออก
แบ็กกราวน์ของเรื่องนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อตอนบุนเดสลีกาซีซั่น 2013-14 จบลง บาเยิร์น มิวนิค ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าแข็งแกร่งเกินต้านทาน คว้าแชมป์ไปครอง แต่ดอร์ทมุนด์ก็ไม่ถึงกับแย่นัก พวกเขาจบอันดับ 2 ของลีก ก็เป็นไปตามคาด เป็นอันดับที่แฟนๆรับได้
1
แต่ปัญหาสำคัญเกิดขึ้นในช่วงซัมเมอร์ เมื่อโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ ตัดสินใจย้ายไปบาเยิร์น มิวนิค แบบไร้ค่าตัวตามกฎบอสแมน โดยฮันส์-โยอาคิม วัตซ์เค่ ซีอีโอของดอร์ทมุนด์กล่าวว่า "เราไม่สามารถจ่ายค่าเหนื่อย 15 ล้านยูโรต่อปี ให้เขาได้หรอก ซึ่งผมก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไปเล่นให้ทีมอื่นนอกเยอรมัน แต่สุดท้ายเขาก็เลือกบาเยิร์น มิวนิค"
3
"เรามีฐานะการเงินไม่ได้เลวร้าย แต่เราก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้น วิธีเดียวที่เราจะมีเงินพอจ่ายค่าเหนื่อยของโรเบิร์ตได้ คือเราต้องขายศาลาว่าการเมืองเท่านั้นล่ะ"
3
เลวานดอฟสกี้ย้ายไปบาเยิร์น และรับค่าเหนื่อยเละเทะ รวมโบนัสทุกอย่าง ก็สัปดาห์ละ 280,000 ยูโร ซึ่งแน่นอน เมื่อคุณเสียกองหน้าระดับโลกไป พลังเกมบุกของทีมย่อมลดทอนลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ความจริงแล้ว ดอร์ทมุนด์ยังมี ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง นักเตะชาวกาบอนอยู่อีกคน แต่คล็อปป์ กับวัตซ์เค่ ปรึกษากันและมองว่า โอบาเมย็องเป็นผู้เล่นที่ดี แต่เขาไม่ใช่หัวหอกธรรมชาติ ซึ่งคล็อปป์ต้องการกองหน้าที่ร่างกายแข็งแกร่ง และเล่นลูกกลางอากาศได้ดี ในสไตล์ของเลวานดอฟสกี้ ดังนั้นจึงจ่ายเงิน 18 ล้านยูโร ซื้อชิโร่ อิมโมบิเล่ มาจากโตริโน่ ซึ่งน่าเสียดายที่อิมโมบิเล่ไม่สามารถปรับตัวกับลีกเยอรมันได้อย่างที่หวัง
1
การเสียเลวานดอฟสกี้ก็ประเด็นหนึ่ง นอกจากนั้น สภาพทีมยังมีปัญหาพอสมควร เมื่อในฟุตบอลโลก 2014 เยอรมันคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จที่บราซิล โดยในทีมชุดนั้น มีนักเตะดอร์ทมุนด์ถึง 5 คน ได้แก่ มัทส์ ฮุมเมิลส์, โรมัน ไวเดนเฟลเลอร์, มัทเธียส กินเทอร์, เควิน โกรสครอยซ์ และ เอริค ดวร์ม ซึ่งพอจบบอลโลกมา นักเตะ 5 คนนี้ได้พักแค่ 3 สัปดาห์ ก็ต้องลงแข่งทันที ซึ่งปีเตอร์ คราเวียตซ์ ผู้ช่วยของคล็อปป์บอกว่า เวลาพักมันน้อยเกินไป ยิ่งสไตล์การเล่นแบบเกเก้นเพรสซิ่ง ต้องใช้พลังมหาศาล ทำให้ตัวนักเตะมีโอกาสบาดเจ็บง่าย
ถ้าเทียบกับบาเยิร์น พวกเขามีนักเตะทีมชาติเยอรมัน 6 คนในทีมก็จริง แต่กลุ่มตัวสำรอง ก็ยังแข็งแรงกว่า ต่อให้กลุ่มนักเตะเยอรมันได้พักเพิ่มอีก 2-3 วีก ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ชไวน์สไตเกอร์ยังเหนื่อย ก็ใช้ชาบี อลอนโซ่ กับ ติอาโก้ อัลคันทาร่าไปก่อน หรือถ้าโทมัส มุลเลอร์ยังอ่อนล้า ก็มีทั้งริเบรี่ และร็อบเบน ที่เล่นริมเส้นได้ คือสถานการณ์ยังดูสบายๆกว่าฝั่งดอร์ทมุนด์เยอะ
เปิดฤดูกาลมา มัทส์ ฮุมเมิลส์ เซ็นเตอร์แบ็กตัวหลักได้รับบาดเจ็บ ลงเล่นไม่ได้ไป 1 เดือน คล็อปป์ต้องใช้ โซคราตีส ยืนคู่กับมัทเธียส กินเทอร์ ซึ่งก็ตามสภาพ เปิดนัดแรก แพ้เลเวอร์คูเซ่นคาบ้าน 2-0
จากนั้นก็เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด มาร์โค รอยส์ แนวรุกหัวใจสำคัญของทีม บาดเจ็บข้อเท้า ต้องพักไปอีก 10 เกม
พอขาดตัวหลักของทีม จึงเกิดปรากฎการณ์ 1 อย่าง ขึ้นกับดอร์ทมุนด์ นั่นคือครองเกมได้เหนือกว่าคู่แข่งทุกทีม แต่แพ้ นอร์เบิร์ต ดิคเคล อดีตผู้เล่นของสโมสร ที่รับงานเป็นโฆษกสนามกล่าวว่า "ทุกอย่างมันเพี้ยนไปหมด เราไม่สามารถเข้าใจอะไรได้ เราครองบอลได้ราวๆ 74% ได้โอกาสยิงเข้ากรอบ 15 ครั้ง ส่วนคู่แข่งยิงเข้ากรอบ 2 หน แต่สุดท้ายเราแพ้ 1-0 เหตุการณ์แบบนี้ ซ้ำไปซ้ำมาทุกสัปดาห์"
2
"การแพ้แบบเดียวกันซ้ำๆ มันทำลายความมั่นใจของเราไปหมด เราไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เราเล่นได้เหนือกว่าทุกอย่าง แต่เราไม่สามารถเก็บผลการแข่งขันได้ มันเหมือนเป็นปัญหาที่เราไม่รู้จะแก้อย่างไร" ปีเตอร์ คราเวียตซ์อธิบาย
3
ในเกมที่ 4 ของซีซั่น จนถึงเกมที่ 10 ดอร์ทมุนด์เก็บได้ 1 แต้ม (เสมอ 1 แพ้ 6) ทำให้ทีมจมดิ่งอยู่อันดับ 17 ของตารางคะแนน
ทีมเหมือนจะกระเตื้องขึ้นในเกมที่ 11 เมื่อเอาชนะกลัดบัคได้ 1-0 แต่มันก็แค่โชคดี เพราะอีก 2 เกมต่อมา พวกเขาเสมอพาเดอร์บอร์น และแพ้แฟรงค์เฟิร์ต คราวนี้จมอยู่อันดับ 18 ของตารางคะแนน จากทีมลุ้นแชมป์ พวกเขากลายเป็นบ๊วยของบุนเดสลีกา
หนึ่งในต้นตอของปัญหาเกิดขึ้นจากมัทส์ ฮุมเมิลส์ ในฐานะกัปตันทีม ก็ควรจะกระตุ้นลูกทีม คอยให้คำปรึกษาต่างๆนอกสนาม แต่ฮุมเมิลส์ยอมรับว่า "พอผมบาดเจ็บ ผมก็คิดแต่จะกลับมาลงเล่นให้ได้ ตามจริงผมควรจะเป็นผู้นำ และคอยกระตุ้นเพื่อนๆนอกสนาม แต่ผมรู้สึกว่า แค่ปัญหาของตัวเองก็วุ่นวายมากพออยู่แล้ว"
2
นั่นคือคำพูดของฮุมเมิลส์ แต่สื่อในเยอรมันก็วิจารณ์ว่า จริงๆแล้ว ฮุมเมิลส์อาจหมดใจกับดอร์ทมุนด์ไปแล้ว และเตรียมย้ายทีมหลังจบฤดูกาล เพราะเขาตกเป็นข่าวหนาหูกับบาเยิร์น มิวนิค มาได้พักใหญ่แล้ว
1
ไม่ใช่แค่ฮุมเมิลส์ แต่นักเตะคนอื่นในทีมก็เล่นได้อย่างผิดฟอร์มมากๆ วัตซ์เค่เคยออกมาโจมตีผู้เล่นกันตรงๆว่า "ความกระหายของนักเตะมันไม่เหลืออีกแล้ว พอนักเตะอายุเยอะขึ้น รวยขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น พวกเขาจึงไม่อยากเหนื่อยเท่าเดิม แต่นั่นไม่ใช่แนวทางฟุตบอลของเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ทุกคนต้องจริงจังเต็มร้อยในสนาม"
1
คนที่เครียดที่สุด คือเจอร์เก้น คล็อปป์ เขาโทษว่าเป็นความผิดตัวเอง เขาพยายามเปลี่ยนแผนการเล่นทุกแบบที่สมองจะคิดได้ แต่ผลลัพธ์ไม่ต่างจากเดิม
1
เจอ ชาลเก้ ใช้ระบบ 4-4-2 แบบ Flat มีอาเดรียน รามอส กับ อิมโมบิเล่ ยืนหน้าคู่ สรุปแพ้ 2-1
1
เกมต่อมา เจอฮัมบูร์ก ใช้ระบบ 4-2-3-1 วางรามอสหน้าเป้าเดี่ยว สรุปแพ้ 1-0
1
เกมต่อมา เจอโคโลญจน์ ใช้ 4-2-3-1 เปลี่ยนเอาอิมโมบิเล่ มายืนหน้าเป้า แล้วดร็อปโอบาเมย็อง ใช้มคิตาร์ยานลงเล่นแทน สรุปแพ้ 2-1
เกมต่อมา เจอฮันโนเวอร์ คราวนี้ใช้ 4-1-2-3 อัดแนวรุกเต็มสูบ โอบาเมย็อง, รามอส, รอยส์, กุนโดกัน, มคิตาร์ยาน สุดท้ายแพ้ 1-0
เกมต่อมา เจอบาเยิร์น มิวนิค ใช้แผน 4-4-2 แบบไดอามอนด์ อย่างระมัดระวัง ใช้โอบาเมย็องยืนหน้าคู่กับรอยส์ เอาคากาวะเป็นหัวเหลี่ยมเพชร สุดท้ายแพ้ 2-1
ไม่ว่าจะทำอย่างไร เปลี่ยนแผน เปลี่ยนตัว ทำอย่างไรก็ไม่ชนะ คล็อปป์เองก็มืดแปดด้านไปหมดแล้ว เขาใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีในฐานะเฮดโค้ชแล้ว แต่ในบางครั้ง เวลาคนมันจะดวงตก มันก็จมดิ่งไปซะทุกอย่าง
3
เมื่อทีมแพ้รัวๆ จนอยู่บ๊วยของตาราง บุคลิกของคล็อปป์ก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
เขาเริ่มอารมณ์เสียง่ายขึ้น มีการทะเลาะกับสื่อมวลชนหลายต่อหลายครั้ง โดยหลังเกมกับไปเยือนพาเดอร์บอร์น นักข่าวถามคล็อปป์ว่า ที่ทีมไม่ชนะ เพราะโดนคู่แข่งจับทางได้แล้วหรือเปล่า ซึ่งคล็อปป์ตอบว่า "เป็นคำถามที่งี่เง่าดีนะ แต่ผมจะตอบมัน ถ้าคุณบอกว่าคู่แข่งจับทางได้แล้ว แต่เราเล่นแผนนี้มาหลายปีแล้วนะ ทำไมพวกเขาไม่จับทางเราได้ตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อนล่ะ พวกเขาเพิ่งจะอยากมาศึกษาวิธีการเล่นของเราในปีนี้หรือไง"
1
อารมณ์คล็อปป์ไปแรง จนปีเตอร์ คราเวียตซ์ ต้องเตือนคล็อปป์ว่า สื่อก็ต้องถามตามหน้าที่ของเขา จะเอาอารมณ์เสียไปลงแบบนั้นทำไม ซึ่งในช่วงนั้น ความสัมพันธ์ของคล็อปป์กับสื่อ เริ่มมีรอยแตกร้าวอย่างชัดเจนจริงๆ
สิ่งที่หายไปจากตัวคล็อปป์คืออารมณ์ขัน ปกติเขาเป็นคนสบายๆ มีการหยอกล้อกับสื่ออยู่เสมอ แต่ตอนนี้มันเหลือเพียงแค่ความหงุดหงิดและความก้าวร้าว ณ เวลานั้น คล็อปป์เองก็ไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกอย่างไรเหมือนกัน
หลังเกมนัดที่ 13 ที่แพ้แฟรงค์เฟิร์ต คล็อปป์มีตารางคิวงานต้องไปเป็น speaker ในงานการกุศลของสเวน มุลเลอร์ โดยคนที่เข้ามาฟังก็คาดหวังว่า จะได้แรงบันดาลใจดีๆจากคล็อปป์ แต่คล็อปป์มาพูดด้วยอารมณ์ที่ไม่จอยอย่างยิ่ง เขาขึ้นเวที แล้วกล่าวว่า "สำหรับพวกคุณ การได้เห็นใครสักคนที่รู้สึกแย่มากๆ แบบนี้ คงทำให้ตัวเองสบายใจ เพราะคิดว่ามีคนอื่นทุกข์ใจมากกว่าคุณ อย่างนั้นใช่หรือเปล่าล่ะ"
1
ไม่รู้ว่าคล็อปป์พูดแค่ขำๆหรือไม่ แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงสภาพจิตใจของคล็อปป์ ที่ไม่มั่นคงเหมือนที่ผ่านๆมา
1
ดอร์ทมุนด์ยังคงจมดิ่งต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาแพ้ เสมอ แพ้ เสมอ วนไปวนมา และจุดพีกที่สุด เกิดขึ้นหลังเกมนัดที่ 19 ของซีซั่นเมื่อแพ้เอาส์บวร์กที่เหลือ 10 คน คาบ้าน 1-0 ทีมจมอยู่บ๊วยของตารางแบบไม่เห็นแสงสว่าง
19 นัด ดอร์ทมุนด์มี 16 แต้ม นี่เป็นการทำแต้มที่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร ยิ่งไปกว่านั้น ผ่านเกมที่ 19 แปลว่าเลยครึ่งทางของฤดูกาลมาแล้ว แต่ดอร์ทมุนด์ยังอยู่บ๊วย ซึ่งถ้าทุกอย่างยังเป็นแบบนี้ โอกาสที่ทีมจะตกชั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่น
ผลงานในลีกก็แย่ แต่ความหวังเดียวของดอร์ทมุนด์ ที่ยังเหลืออยู่คือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ก็จบแบบเจ็บๆอีก เพราะแพ้ยูเวนตุส จากอิตาลีแบบเละเทะในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ด้วยสกอร์รวม 5-1 กลายเป็นปีที่ล้มเหลวอย่างสมบูรณ์แบบ
2
แม้จะเป็นบ๊วยของลีก และตกรอบบอลยุโรป แต่สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือ คล็อปป์ยังไม่ตำหนินักเตะในทีมออกสื่อแม้แต่ครั้งเดียว เขายังออกตัวปกป้องลูกทีมมาตลอด อย่างไรก็ตาม แม้คล็อปป์จะปกป้องยังไงก็เถอะ แฟนดอร์ทมุนด์ก็เห็นกันอยู่ ว่านักเตะเล่นกันแบบซังกะตาย ดังนั้นหลังจากเกมแพ้เอาส์บวร์กคาบ้าน กลุ่มแฟนๆ เยลโลว์วอลล์ ตะโกนด่านักเตะอย่างรุนแรง บรรยากาศในสนามมาคุมาก จนซีเนียร์ของทีม ทั้งฮุมเมิลส์ และ ไวเดนเฟลเลอร์ ต้องไปคุยกับแฟนบอลที่อัฒจันทร์เพื่อระงับเหตุการณ์ให้เบาลง
3
มาจนถึงจุดนี้ ผู้เล่นในทีมก็เริ่มรู้แล้วว่า ถ้ายังไม่กลับมาชนะเร็วๆนี้ ทีมอาจจะตกชั้น นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ดังนั้นนักเตะจึงรวมพลังฮึด และสุดท้ายก็เริ่มเก็บชัยชนะได้
1
7 เกมต่อมา (นัดที่ 20-26) ดอร์ทมุนด์เอาชนะได้ 5 เกม เสมอ 2 โมเมนตั้มกลับมาดีอย่างเหลือเชื่อ
แต่จากนั้นในเกมที่ 27 ดอร์ทมุนด์แพ้บาเยิร์น 1-0 ตามด้วยเกมที่ 28 แพ้กลัดบัค 3-1 โอเคว่าอันดับในตารางคะแนนอยู่ที่ 10 คงจะไม่ตกชั้นแล้วล่ะ แต่ตัวคล็อปป์กลับรู้สึกในใจว่า เขาไม่สามารถพาทีมไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
1
เนเว่น ซูโบติช อธิบายว่า "สิ่งที่เกิดขึ้น มันดูดพลังของเจอร์เก้นไปหมด ถ้าสโมสรแห่งนี้เป็นรถบัส เขาก็คิดว่าตัวเองคือคนขับ เมื่อเขามองว่าสโมสรไม่สามารถเดินหน้าไปได้อย่างถูกทาง คนที่ควรรับผิดชอบก็คือคนขับรถ ตั้งแต่ผมรู้จักเขามา ไม่เคยเห็นเขาเครียด และดูอ่อนล้าขนาดนี้มาก่อน"
1
เช่นเดียวกับ ฮุมเมิลส์ ที่กล่าวว่า "โค้ชเป็นคนที่มีอารมณ์ร่วมกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เวลามีความสุข เขาก็มีความสุขมาก เวลาทีมพ่ายแพ้เขาก็เสียใจมาก และมันส่งผลกระทบต่อเขาอย่างจัง"
จริงๆแล้ว วัตซ์เค่ยืนยันมาตลอดว่า เขาไม่มีวันปลดคล็อปป์ออกจากตำแหน่ง เพราะมันก็แค่ฟอร์มหลุดซีซั่นเดียว เดี๋ยวก็กลับมาได้ แต่ตัวคล็อปป์เอง เขารู้สึกว่าดอร์ทมุนด์ภายใต้การดูแลของเขา ไม่สามารถไปต่อได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
1
ในซีซั่นนี้ คล็อปป์ใช้กลวิธีทั้งหมดที่ทำได้ แต่ทีมก็ไม่ชนะ ซึ่งเขาไม่สามารถโทษใครได้จริงๆ นอกจากตัวเอง
1
"ในการเปลี่ยนแปลงทีมให้ดีขึ้น มีอยู่สองวิธี คือเปลี่ยนนักเตะ กับเปลี่ยนโค้ช" ปีเตอร์ คราเวียตซ์เผย "แต่ด้วยความที่เราไม่สามารถไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกในซีซั่นหน้าได้แน่ๆ เราก็จะไม่มีเงินที่จะซื้อซูเปอร์สตาร์ตัวเปลี่ยนเกมเข้ามาได้ ดังนั้นวิธีเดียวที่ง่ายที่สุด คือการเปลี่ยนผู้จัดการทีม ซึ่งคล็อปป์เข้าใจสถานการณ์ดี เขามองว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดเพื่อสโมสร"
4
หลังจากแพ้กลัดบัค คล็อปป์ วัตซ์เค่ และมิชาเอล ซอร์ค ผู้อำนวยการกีฬาของสโมสร ได้ประชุมร่วมกันเพื่อหาข้อสรุป ซึ่งคล็อปป์เป็นคนพูดขึ้นมาเองว่า "เอาล่ะ ฟังนะ ผมคิดว่าเราทุกคนต่างคิดเหมือนกัน ว่าเราควรทำอะไรในสถานการณ์นี้ ซึ่งผมจะสรุปให้เลยละกัน ว่าผมจะเป็นคนลาออกจากสโมสรเอง"
2
มันเป็นการแยกทางที่คล็อปป์ตัดสินใจเอง ในซีซั่นนี้เขาทำทุกอย่างแล้ว ใช้แท็กติกทั้งหมดที่มี กระตุ้นลูกทีมทุกวิถีทาง แต่ช่องว่างระหว่างดอร์ทมุนด์ กับทีมแชมป์อย่างบาเยิร์น ก็ยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าเขาบอกว่ารักดอร์ทมุนด์จริง และอยากให้สโมสรก้าวไปข้างหน้า เขาก็ควรเอาตัวออกมา ให้ทีมได้เดินหน้าต่อไปกับโค้ชคนใหม่
15 เมษายน 2015 ดอร์ทมุนด์เรียกสื่อมวลชน เพื่อรับฟังการแถลงการณ์ครั้งสำคัญ ซึ่งวัตซ์เค่ เป็นคนแจ้งข่าวก่อน ว่าคล็อปป์ตัดสินใจลาออกจากสโมสร โดยจะไม่รับเงินชดเชยใดๆ ทั้งๆที่เขาเหลือสัญญากับทีมอีกถึง 3 ปี
คล็อปป์กล่าวว่า "ผมไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหรอกนะ แม้ท่าทางผมจะเป็นอย่างนั้น แต่ผมไม่ได้เหนื่อย และผมยืนยันว่า ยังไม่ได้คุยกับทีมอื่นทั้งนั้น เหตุผลที่ผมต้องลาออก เพราะผมเคยพูดว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ผมไม่ใช่โค้ชที่สมบูรณ์แบบ สำหรับสโมสรที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ ผมจะขอลาออกเอง"
"ผมคิดเรื่องนี้มา 2-3 สัปดาห์แล้ว แต่เพราะความผูกพันที่มีกับสโมสร มันไม่ง่ายนะที่จะพูด แน่นอน สโมสรไม่คิดที่จะปลดผมออก แต่เพราะความเชื่อใจที่ทุกคนมีให้ขนาดนั้น ทำให้ต้องเป็นผมเอง ที่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น"
5
หลังจากที่คล็อปป์ประกาศลาออก เนเว่น ซูโบติชเล่าว่า นักเตะในทีมรู้สึกละอายใจว่าเพราะผลงานของตัวเอง ทำให้โค้ชต้องลาออก ทุกคนจึงรวมใจสู้อย่างเต็มที่ ในอีก 6 เกมที่เหลือของฤดูกาล ซึ่งปรากฎว่า ดอร์ทมุนด์เก็บได้ถึง 13 แต้ม (ชนะ 4 เสมอ 1 แพ้ 1) พลิกขึ้นมาอยู่อันดับ 7 ของตาราง ได้สิทธิ์ไปเล่นยูโรป้าลีกเฉยเลย
2
จากอันดับ 18 ของตาราง ในเกมที่ 19 แต่ตอนจบคล็อปป์พาทีมจบอันดับ 7 ได้ ก็ถือว่าเป็นการส่งท้ายที่ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้แล้ว
เกมสุดท้ายของคล็อปป์ กับดอร์ทมุนด์ คือเดเอฟเบ โพคาล นัดชิงชนะเลิศกับโวล์ฟสบวร์ก ซึ่งบทสรุปคือดอร์ทมุนด์แพ้ 3-1 คล็อปป์พลาดการได้แชมป์สุดท้าย เป็นการปิดฉากช่วงเวลาของตัวเองกับดอร์ทมุนด์
1
อิลคาย กุนโดกัน เดินมาขอโทษคล็อปป์หลังจบเกม บอกว่า "มันน่าอายจริงๆที่เราแพ้ คุณสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ในเกมส่งท้ายแบบนี้" ซึ่งคล็อปป์ตอบไปว่า "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าชนะในเกมนี้ มันดูเหมือนบทหนังฮอลลีวู้ด มันจะอเมริกันเกินไปหน่อย" เขาพยายามจะทำให้นักเตะไม่รู้สึกแย่ เพราะจะยังไงเกมมันก็จบไปแล้ว
5
คล็อปป์กล่าวถึงเกมสุดท้ายของเขากับสโมสรว่า ที่เขาเสียใจไม่ใช่เพราะแพ้ แต่เป็นเพราะจะต้องแยกทางกับดอร์ทมุนด์แล้วจริงๆ "ความเจ็บมันพุ่งเข้าหาผม มันเจ็บปวดมากๆ ทุกครั้งที่ผมสวมกอดผู้เล่น ผมก็รู้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่เราจะได้ทำแบบนี้ในฐานะโค้ช และน้ำตาผมก็ไหลออกมา"
หลังเกมแพ้โวล์ฟบวร์ก ที่เบอร์ลิน คล็อปป์กลับมาที่ดอร์ทมุนด์เพื่อเก็บข้าวของส่วนตัวที่สโมสร และทำในสิ่งสุดท้าย นั่นคือนัดไปดื่มเบียร์ กับกลุ่มอุลตร้าของสโมสร คล็อปป์ใช้เวลา 4 ชั่วโมง นั่งคุยกับแฟนบอล และขอให้ทุกคนสนับสนุนทีมอย่างเต็มที่ต่อไป แม้จะไม่มีเขาแล้วก็ตาม
การแยกจากกันด้วยดี ทำให้ความสัมพันธ์ของคล็อปป์กับดอร์ทมุนด์ยังคงแข็งแกร่งเสมอ มิชาเอล ซอร์คกล่าวว่า คล็อปป์จะถูกจดจำตลอดไป ในฐานะโค้ชที่สร้างรากฐานความสำเร็จให้กับสโมสร
จริงๆแล้ว ถ้าคล็อปป์จะคุมต่อ แน่นอนเขาก็ยังคุมได้สบายมาก เพราะแฟนบอลก็ยังศรัทธา ผู้บริหารทีมก็ยังมั่นใจ ขณะที่สัญญาก็มีถึงปี 2018 อีกตั้ง 3 ปีกว่าจะหมดสัญญากัน
แต่คล็อปป์เลือกจะไป เพราะเขามองว่า ตัวเองไม่สามารถทำทีมให้ก้าวหน้าไปกว่านี้ได้อีกแล้ว สโมสรสมควรได้คนที่เหมาะสมกว่าเข้ามาสานงานต่อ
พื้นฐานของคล็อปป์ เป็นคนที่มีความใจสู้ เขาจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตัวเองมี ในการพาทีมประสบความสำเร็จให้ได้ ต่อให้ทีมฟอร์มร่วงแค่ไหน เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ต้องหาหนทางคัมแบ็กกลับมาให้ได้
อย่างไรก็ตาม ถ้าวันหนึ่งตัวคล็อปป์รู้ว่า เขาคือปัญหาของสโมสรที่ทำให้ทีมตกต่ำแล้วล่ะก็ คล็อปป์จะลาออกเอง เงินทองอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น ไม่ต้องให้ใครมาไล่หรอก เขาเองนี่แหละ ที่จะเป็นคนขอไปเอง
.
#KLOPP
โฆษณา