Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มูลนิธิสืบนาคะเสถียร
•
ติดตาม
9 มี.ค. 2021 เวลา 01:30 • สิ่งแวดล้อม
นักธรณีวิทยาผู้เชี่ยวชาญเรื่องการลำดับชั้นหินจากมหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ชื่อ ยาน ซาราซีวิกซ์ พานักหนังสือพิมพ์ผู้สนใจค้นคว้าเรื่องการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 (ผู้เขียนหนังสือการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 อลิซาเบธ โคลเบิร์ท) ไปดูชั้นหินยุคออร์โดวิเชียน
ซึ่งเป็นยุคที่โลกเริ่มมีสิ่งมีชีวิตที่ดูจากซากฟอสซิลแล้วก็คือบรรพบุรุษของสิ่งมีชีวิตในทะเลในปัจจุบันนี้นี่เอง นั่นก็คือ พวกเม่นทะเล ดาวทะเล หอยทาก หอยงวงช้าง และสัตว์อื่นๆ เช่น ไทรโลไบต์ที่คล้ายแมงดาทะเล โคโนดอนต์ที่คล้ายๆ ปลาไหล หอยตลับโบราณ หรือแมงป่องทะเลยักษ์ที่เป็นสัตว์ประหลาดน่ากลัว
ยุคออร์โดวิเชียน เมื่อราว 500 ล้านปี เป็นช่วงเวลาทางธรณีวิทยาที่ปรากฏการแพร่กระจายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมาก อาจจะนับได้ว่าหลังจากค้นพบหลักฐานสิ่งมีชีวิตบนโลกเมื่อกว่า 600 ล้านปีที่แล้วในช่วงเวลานี้แหละที่มีการแพร่กระจายพันธุ์มากขึ้นเป็นครั้งแรก
นอกจากสัตว์ต่างๆ ที่ว่ามาแล้วหลักฐานทาง “ระบบนิเวศ” ก็ชัดเจนว่ามีแนวปะการังแนวแรก นอกจากนี้ยังมีชั้นหินที่มีหลักฐานของพืชชนิดแรกๆ บนผืนดิน เป็นพวกมอสยุคต้นๆ หรือ ลิเวอร์เวิร์ต
ซาราซีวิกส์ พาโคลเบิร์ท ผู้ติดตามเรื่องการสูญพันธุ์และเรียนรู้เรื่องการชนปะทะของดาวเคราะห์น้อยที่ทำให้เกิดการสูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้วมาดูการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่พบหลักฐานในลำดับชั้นหินที่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เรียกว่าแกรบโตไลต์ซึ่งน่าจะคล้ายๆ พวกแพลงก์ตอนที่ล่องลอยไปทั่วมหาสมุทรในยุคออร์โดวิเชียน
ซึ่งนักธรณีวิทยาใช้ในการระบุอายุของชั้นหินที่มีจำนวนมากมายหลายชนิด ที่จู่ๆ ก็หายไปอย่างกะทันหันจาก 600 กว่าสายพันธุ์ที่จำแนกได้ ก็หายวับไปในหินชั้นลำดับถัดขึ้นมาแทบจะ “ทันที”
มีสัตว์อื่นๆ ที่หายไปในช่วงอายุ 444 ล้านปี พร้อมๆ แกรบโตไลต์คือ โคโนดอนต์ หอยตะเกียง พวกดาวทะเล และเม่นทะเลหลายชนิด รวมถึงพวกไทรโลไบต์
นักธรณีวิทยาไม่พบลักษณะที่จะบ่งชี้ได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรจากนอกโลกมาทำให้เกิดการหายไปของชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตจำนวนมากในยุคไซลูเลียน ที่เป็นยุคทางธรณีวิทยาถัดขึ้นมา
เช่นเดียวกับชั้นหินในอีกยุคหนึ่ง คือยุคเพอร์เมียน เมื่อราวๆ 300 ล้านปี ที่สิ่งมีชีวิตกลับมาแพร่กระจายมากกว่ายุคออร์โดวิเชียนเสียอีก แล้วจู่ๆ ก็หายวับไปเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีหลักฐานการชนปะทะใดๆ
ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่าการสูญพันธุ์น่าจะเกิดจากปัจจัยความเปลี่ยนแปลงในโลกนี้เอง
ในหนังสือเรื่องการสูญพันธุ์ครั้งที่ 6 ไม่มีการอธิบายรายละเอียดของการสูญพันธุ์ในช่วงยุคดีโวเนียนและยุคไทรแอสสิค ซึ่งมีหลักฐานการหายไปของชนิดพันธุ์สิ่งมีชีวิตที่เป็นฟอสซิลในลักษณะเดียวกัน
โดยการสูญพันธุ์ในสองยุคนี้ จะอยู่ระหว่างยุคออร์โดวิเชียนครั้งที่ 1 และต่อจากยุคเพอร์เมียนที่ว่ามาอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะถึงการชนปะทะในยุคครีเตเชียสเมื่อหกสิบห้าล้านปี หากแบ่งยุคของการสูญพันธ์ุสามารถแบ่งได้ดังนี้
ซาราซีวิกส์ ผู้มีบทบาทเป็นถึงประธานคณะกรรมการการลำดับชั้นหินของสมาคมธรณีวิทยาลอนดอน เล่าให้โคลเบิร์ธฟังข้อสันนิษฐานทางธรณีวิทยาว่า การสูญพันธุ์เมื่อสิ้นสุดยุคเพอร์เมียน และออร์โดวิเชียนน่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเอง
เพราะนักวิทยาศาสตร์สามารถประมาณการคาร์บอนไดออกไซด์ในช่วงอายุต่างๆ ของโลกได้
โดยในช่วงยุคเพอร์เมียนเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อ 252 ล้านปีที่แล้วมากเสียจนยากจะจินตนาการว่ามาจากไหน ทำให้โลกร้อนและอุณหภูมิสูงขึ้นราวๆ 18 องศา!
แน่นอนว่าคุณสมบัติทางเคมีของมหาสมุทรและภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างอลหม่าน น้ำต้องกลายเป็นกรดเพราะคาร์บอนไดออกไซด์ละลายน้ำเป็นกรดคาร์บอนนิก ออกซิเจนก็จะต่ำมาก แนวปะการังทรุดทลาย
มีการประมาณการช่วงเวลาระหว่างการสูญพันธุ์ว่า น่าจะใช้เวลาไม่นานทางธรณีวิทยาแต่ก็อยู่ระดับแสนสองแสนปี และเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดประมาณ 90% ของชนิดพันธุ์ซากดึกดำบรรพ์ที่ปรากฏในชั้นหินยุคเพอร์เมียนก็หายไป
มีสมมติฐานหนึ่งกล่าวว่า มหาสมุทรที่ร้อนขึ้นเอื้อต่อแบคทีเรียที่ผลิตไฮโดรเจนซัลไฟด์ซึ่งเป็นพิษต่อสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ มันฆ่าสัตว์น้ำก่อนแล้วค่อยซึมสู่อากาศไปฆ่าสิ่งมีชีวิตบนบก
แบคทีเรียที่ดูดออกซิเจนจากสารประกอบซัลเฟตจะเปลี่ยนสีของมหาสมุทร และไฮโดรเจนซัลไฟด์จะเปลี่ยนสีของท้องฟ้า
มีนักเขียนแนววิทยาศาสตร์ชื่อ คาร์ล ซิมเมอร์ (Carl Zimmer) บรรยายโลกช่วงสิ้นยุคเพอร์เมียนว่าเป็นสถานที่ที่น่าเกลียดและพิสดารมาก เพราะมีทะเลสีม่วงใสปล่อยฟองพิษลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสีเขียวอ่อน
และนี่คือฉากการสูญพันธุ์ครั้งที่ 3 โดยมีสมติฐานว่าสาเหตุหลักน่าจะเกิดจากการระเบิดและปลดปล่อยก๊าซจากภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่
ส่วนการสูญพันธุ์ยุคออร์โดวิเชียน หรือการสูญพันธุ์ครั้งที่ 1 จะเป็นการกลับทิศทางกัน เพราะสภาพอากาศยุคออร์โดวิเชียนร้อนอยู่แล้วเป็นเรือนกระจกเลยทีเดียว
สิ่งมีชีวิตในตอนนั้นคงวิวัฒนาการเพื่ออยู่รอดในสภาพนี้ได้ แต่มีสมมติฐานว่าเกิดการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็ว จนมีธารน้ำแข็งเกิดขึ้นเต็มไปหมด
ทำให้มีหลักฐานด้านธรณีวิทยาแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงสภาพโดยธารน้ำแข็งน้ำทะเลลดระดับลง และสภาพแวดล้อมทางเคมีของมหาสมุทรเปลี่ยนแปลงไป
โดยมีสมมติฐานว่ามอสที่เกิดขึ้นดูดคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศจนลดลงทำให้อุณหภูมิโลกเย็นลง
เป็นไปได้ว่าการสูญพันธุ์ใหญ่ครั้งแรกของสัตว์ในทะเลเกิดจากพืช
มนุษย์เปลี่ยนแปลงสภาพทางเคมีของอากาศ และจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของทะเลคล้ายการสูญพันธุ์ในยุคเพอร์เมียน
จนทำให้สิ่งมีชีวิตปัจจุบันน่าจะสูญพันธุ์ไปจนมีสิ่งมีชีวิตที่เหลือรอดค่อยวิวัฒนาการจนเพิ่มชนิดพันธุ์ที่อาศัยอยู่ได้ในสภาวะเรือนกระจก
ซึ่งคงใช้เวลาอีกหลายล้านปี
…
ศศิน เฉลิมลาภ
1 บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
6th Extinction
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย