21 ก.พ. 2021 เวลา 01:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
ในน้ำอัดลม 1 ขวด มีอะไรบ้าง?
1
สมัยเป็นเด็กน้อย ผู้ใหญ่บอกว่า "กินน้ำอัดลม มันไม่ดีนาา กินแล้ว ฟันผุ อ้วน เตี้ย มีแต่น้ำตาล"
พอเริ่มโตขึ้นมาหน่อย เริ่มรู้ละว่าไม่ดีต่อสุขภาพเพราะมีน้ำตาล ก็เลยเบาๆเรื่องดื่มน้ำอัดลมลงบ้าง แต่พอโต เริ่มใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เริ่มสงสัย เริ่มไฝ่หาความรู้มากขึ้น ถึงได้รู้ว่า...มันไม่ได้มีแค่น้ำตาล😂
2
#ส่วนประกอบในน้ำอัดลม
1. น้ำ : เนื่องจากในร่างกายเรามีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณ 60-70% เมื่อดื่มน้ำจะทำให้เรารู้สึกสดชื่น อีกทั้งน้ำมีส่วนช่วยในการรักษาสมดุลของร่างกาย ช่วยละลายสารอาหารต่างๆ เช่น วิตามินและแร่ธาตุ ช่วยในระบบขับถ่าย รวมถึงเจือจางสารพิษที่ร่างกายได้รับ แต่..น้ำไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกาย
2
2. น้ำตาล : เป็นสารอาหารชนิดเดียวที่อยู่ในน้ำอัดลม เพราะเป็นสารให้ความหวานและพลังงาน ซึ่งน้ำตาลที่อยู่ในน้ำอัดลม คือ ซูโครส ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรีต่อกรัม
ในน้ำอัดลมมีน้ำตาลประมาณ 10% ปัจจุบันมีการใช้น้ำเชื่อมฟรุกโตสความเข้มข้นสูงแทนน้ำตาลกันมากขึ้น เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการผลิต
1
ในน้ำอัดลมขนาด 100 มิลลิลิตร จะมีน้ำตาลประมาณ 10.6 กรัม ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของน้ำอัดลม ดังนั้นในน้ำอัดลม 100 มิลลิลิตร จะให้พลังงานประมาณ 42.4 กิโลแคลอรี และถ้าเราดื่มน้ำอัดลม 1 ลิตร จะให้พลังงาน 424 กิโลแคลอรี ในขณะที่ปกติร่างกายจะต้องการพลังงานวันละประมาณ 2000-2500 กิโลแคลอรี
2
การที่มีน้ำตาลในกระแสเลือดมากกว่าที่ร่างกายต้องการ อินซูลินจะทำงานหนัก เพื่อเก็บน้ำตาลที่มากเกินพอในกระแสเลือด ในรูปของไกลโคเจนและไขมันใต้ผิวหนัง เป็นเหตุให้น้ำหนักเราเพิ่มขึ้นและอ้วนขึ้น
**ถ้าดื่มน้ำอัดลมมากๆ จะทำให้อิ่มและทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งอาจทำให้ขาดสมดุลทางโภชนาการ
5
แต่ก็มีเครื่องดื่มบางชนิดที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล (สามารถดูได้ข้างขวดผลิตภัณฑ์นั้นๆ) สารนี้จะให้ความหวาน แต่ไม่ให้พลังงาน สารให้ความหวานแทนน้ำตาลนี้ ระวังไว้บ้างก็ดีนะคะ เพราะสารบางตัวจะเป็นพิษต่อร่างกาย
3
ถ้าจะดื่มน้ำอัดลมก็อ่านที่ข้างขวดกันสักนิดนะคะ
1
3. กรดคาร์บอนิก : กรดนี้ทำให้น้ำอัดลมซ่า มีฟอง และมีรสเปรี้ยวนิดๆ
กรดคาร์บอกเกิดจากปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยใช้ความดันสูงอัดให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำปฏิกิริยากับน้ำให้ได้ เนื่องจากในสภาะวะปกติ คาร์บอนไดออกไซด์แทบจะไม่ทำปฏิกิริยากับน้ำเลย ซึ่งกรดคาร์บอนิกจะสลายตัวได้ง่ายในสภาวะความดันปกติ ยิ่งถ้ามีความร้อน ก็จะเป็นการเร่งให้กรดคาร์บอนิกสลายตัวเร็วขึ้น โดยกรดคาร์บอนิก เมื่อสลายตัวแล้วจะได้ "น้ำ" กับ "ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์"
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเก็บน้ำอัดลมภายใต้ความดัน ก่อนถึงมือผู้บริโภค
5
**ความดันเฉลี่ยของน้ำอัดลมแช่เย็นอยู่ที่ 200-300 กิโลปาสคาล หรือประมาณ 2-3 atm
1
ดังนั้น เราจึงเรียกเครื่องดื่มนี้ว่า "น้ำอัดลม" เพราะเมื่อเปิดขวด ความดันสูงในขวดก็จะลดลงเท่ากับความดันปกติ จึงทำให้กรดคาร์บอนิกสลายออกมา ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้เกิดฟองนั่นเอง
4. กรดฟอสฟอริก : มีความเป็นกรดสูงมาก ทำให้รสชาติของน้ำอัดลมเข้มข้นขึ้น แต่..มีผลเสียทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร นอนหลับยาก ฟันผุ และอาจทำให้กระดูกพรุน เนื่องจากฟอสเหสไปดึงแคลเซียมออกมาจากกระดูกและฟัน เช่นเดียวกันกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถย่อยสลายหินปูนได้ จึงสามารถกัดกร่อนกระดูกและฟันได้
3
5. คาเฟอีน : เป็นสารที่มีกลิ่นหอม เป็นสารกระตุ้นประสาท มีฤทธิ์กระตุ้นประสาทส่วนกลาง ทำให้ร่างกายเกิดความตื่นตัว แต่ถ้าหากดื่มน้ำอัดลมมากจนเกินไปอาจนำไปสู่ภาวะการเสพติดคาเฟอีนได้ ซึ่งจะมีอาการ กระสับกระส่าย (ถ้าไม่ได้กินแล้วเหมือนจะตาย😂) กล้ามเนื้อกระตุก นอนไม่หลับ ใจสั่น หรือเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
2
6. สารกันบูด/วัตถุกันเสีย : ใส่เพื่อให้สามารถเก็บน้ำอัดลมไว้ได้นาน ซึ่งนิยมใช้ "กรดซิตริก" (ที่เป็นกรดที่อยู่ในน้ำมะนาว) สามารถป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและยีสต์ได้ดี แต่..เป็นกรดที่ค่อนข้างแรง อาจทำให้ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร
2
ส่วนสี กลิ่นและรส เป็นสารเคมีที่สังเคราะห์ขึ้น สารเหล่านี้เป็นสารก่อมะเร็ง ถ้าได้รับมากจนเกินไป ก็อาจจะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งได้
ดังนั้น จะดื่มน้ำอัดลม..ดื่มได้ค่ะ แต่อย่าดื่มเยอะ ดื่มแค่พอรู้สึกสดชื่นก็พอค่ะ
1
ขอบคุณที่อ่านจนจบ😊🙏

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา