17 ก.พ. 2021 เวลา 06:17 • การตลาด
สรุปจาก ParinTalk สรุป Marketing 5.0 ใน 20 นาที
1
การสรุปอันนี้คุณ Parin กล่าวว่าจะเป็นการสรุปให้เห็นภาพรวมของหนังสือก่อนอ่าน 
(เป็นการสรุปจากความจำและ shortnote ของตัวคุณ Parin เอง)
Part แรกของหนังสือเป็นการปูภาพรวม

บทแรกของหนังสือจะพูดถึงเรื่อง Generation Gap
-Babyboomer ยึดติดแต่แบรนด์เดิมๆ ซื้อของเดิมๆ สามารถออกสินค้าใหม่แบรนด์เดิมก็ยังซื้อ
-Generation X เป็น sandwich gap ระหว่างยุคใหม่กับยุคเก่า, ชอบสปอยล์ลูก, เป็นคนปรับตัวได้ดี เพราะเกิดมาหลายยุค
-Generation Y ชื่อ วาย เพราะชอบถามว่า why why why, เกิดมายุคที่เริ่มมี internet, ถูกสปอยโดยพ่อแม่, เริ่มเป็น Senior/Manager, ชอบไปเที่ยว, ถ้ามีเทคโนโลยีก็ลองได้เรื่อยๆ, ต้องการหาความหมายของชีวิต, มีความนิยม YOLO (You Only Live Once)
-Generation Z เกิดมาตอนวิกฤติ hamburger, ต้องหาลงทุน ต้องมีเงิน ลองทุนในเทคโนโลยี
-Alpha ลูกของ Gen Y หรือ X ตอนปลาย, เกิดหลัง internet มาไกลมาก, ไม่เข้าใจเรื่องการ adpat เข้าสู่โลก internet เพราะเกิดมาก็มีอยู่แล้ว จะไม่เข้าใจ gen อื่นเลย เพราะยังเด็กและไม่เห็นรากตอนโลกยังไม่มี internet, ยังไม่เข้าสู่โลกทำงาน, ไม่รู้จะปรับตัวยังไง
ตัวหนังสือแต่ละ Gap เรียงตาม X,Y,Z,A เดาว่าตัวต่อไปน่าจะเป็น Belta (B)
1
ต่อไปไปจะโลกของโลกสองขั้วเพราะ internet mass เช่น กลุ่ม GMO/NON-GMO, ฉันชอบขาว จะไม่ชอบดำ ฉันชอบดำจะไม่ชอบขาว, ที่ว่างของความแตกต่างจะมากขึ้นๆ ลักษณะความแตกต่างจะมีเยอะขึ้น, คนที่อยู่กลางๆ ทุกอัน จะน้อยลงทุกที เพราะ internet
เราพร้อมหรือยัง Digital Readiness
ให้คุณดูมิติความพร้อมของลูกค้า, บริษัท, คู่แข่ง
Digital Readiness Matrix
แกนนอน ลูกค้า พร้อมไหม? ซ้าย: ไม่พร้อม / ขวา: พร้อม
แกนตั้ง company พร้อมไหม? ล่าง: ไม่พร้อม / บน: พร้อม
1. ลูกค้าไม่พร้อม บริษัทไม่พร้อม (Original) -> ex. healthcare, hotel
2. ลูกค้ายังไม่พร้อม บริษัทพร้อม (Onward) -> ex. retail online shopping store ที่ไม่มีคน
3. ลูกค้าพร้อม บริษัทยังไม่พร้อม (Organic) -> ex. automotive, น่าสนใจเป็น blue ocean, ทำไม tesla ถึงได้แชร์รถยนต์ไฟฟ้าไปเยอะ, เคสที่เราสามารถซื้อรถใน internet ได้ (เคส timo)
4. ลูกค้าพร้อม บริษัทพร้อม (Omni) -> Red Ocean
ในมุมมองของ tech ผู้บริหารขอให้มองสามมุม เทคจะช่วยให้คุณได้
-Personalize เฉพาะเจาะจงได้มากขึ้น
-Socialize เข้าหาลูกค้า พบปะได้ง่าย
-Experience = product+tech ลูกค้าเข้ามา คุณต้องตามไปด้วยและสร้างประสบการณ์
บริษัทอย่าไป tech อย่างเดียว เพราะ tech คือ cold (เย็น), ต้องใช้ human คือ warm (อุ่น) คู่กันไปด้วย, ส่วน customer คือ hot (ร้อน)
คนเราจะ Migrate technology ยังไง
1 Migrate Customer to Physical
2 Build Digital Capcality -> ทำยังไงให้คนข้างในพร้อม
3 Strengthen Digital Leadership -> ทำยังไงให้คุณแข็งแกร่ง
Part ที่สองพูดถึง How to
Marketing 5.0 พูดถึง The Next Tech หรือ The MarTech (Marketing Technology)
จะมี 6 ตัว
1. Internet
2. Cloud Computing
3. Mobile Device
4. Big Data
5. Computing Power - ชิปประมวลผลขนาดเล็ก น้ำหนักเบา กินไฟน้อย, ภาษา tech เรียกว่า edge computing, ตัวเล็กๆ เล็กกว่า smartphone, คำนวณในตัวเองได้, เป็นไส้ในของ IoT
6. Open Source Software - web/software as a service ex. Office 365
Leverage Next Tech to Customer (4Ps)
Promotion ยุคเก่าคือ Advertising, Direct Selling, Event, Sponsorship, PR
Advertising + Next Tech = more personalize
บริษัทชั้นนำทำ ad นึง จะมี 300 copies แล้วยิงผ่าน next tech แต่ละคนเลย บนสินค้าชิ้นเดียวกัน
พอเป็น personailize ลูกค้าจะโดนตกได้ง่ายมาก
Content Marketing + AI
แบบไหนได้ผลดีสุด, tool ที่ช่วยเราสร้าง content, ex. SEO ปัจจุบันมีเครื่องมือในการปั่นคีย์เวิร์ด
เช่น รับจ้างเขียน copy, อธิบายสินค้า, จะมีการปั้นๆๆ สินค้า มีมามากกว่าสิบปีละ, การที่ใช้ article เดิมอันเดียวแต่มีหลายรูปแบบการเขียนมากขึ้น
Direct marketing
ทั้งหมดคือ e-mail, chatbot, 1 on 1 chat จะมี direct recommendation สำหรับแต่ละคนเลย
CRM + Automation
เพื่อให้รู้จักลูกค้าเยอะขึ้นและลดต้นทุนในการทำโดยเฉพาะส่วนที่แทนคนได้ เช่น auto chatbot สำหรับสมาชิก ส่ง-แลกแต้มให้อัตโนมัติ, วิเคราะห์ลูกค้าให้รายคน
Distribution channel
Online Retail, Omnichannel Retail
การแมพ next tech ไปสู่ยุคใหม่
Kohler อธิบาย Customer Journey ในมุมใหม่
จาก funnel ที่คนทำ digital marketing รู้จักอยู่แล้ว Awareness -> Purchase
เพิ่มเติมเป็น Aware (เห็น) -> Appeal (สนใจ) -> Ask (หา) -> Act (ตัดสินใจ) ซื้อ, subscribe, ขอชมห้องตัวอย่าง -> Advocate (บอกต่อ)
Next Tech + รวมกับ Marketing 5.0 จะเข้าไปสู่การตลาดแบบใหม่
ในแต่ละ step มี tool อะไรบ้าง CMO สมัยใหม่จำเป็นจะต้องดู
บทที่ 8 พูดถึงภาพรวมของเล่มนี้
Marketing 5.0 คือสามคำ Tech+Data+Customer =Data Driven Marketing
เป็น buzz word, การเอา data มาทำ marketing, บริษัทต่อไปจะโน้มเอียงเข้าสู่ segmentation of one, ความหมายของคำว่า massive niche, มี AI ช่วยเข้าใจทุกคน แต่ละคนมี segment เป็นของตัวเอง, marketing จะไม่มี one fit all หรือ few fit all อีกต่อไป จะถูกซอยเล็กๆๆ เข้าไปแต่ละคน จะเป็นการเล่น big data กับ customer segment
ex. 7-eleven น้องคนนึงพบจากข้อมูลว่าทำไมเดือน กพ. สินค้าสีแดงขายดี (เพราะตรุษจีน) ความสามารถนี้ AI ทำได้สบาย, ทำให้ทุกคนไม่ต้องเก่ง genius แต่สามารถแสดงผลงาน genius, ถ้าคุณเก่งอยู่แล้วยิ่งติดปีก
บทที่ 9 Predictive Marketing:
การคาดเดาลูกค้าล่วงหน้า จาก context, predict CLV (Customer Lifetime Value) คาดว่าลูกค้าจะซื้อเรานานแค่ไหน, คาดเดาได้จาก Look a Like, ex. คนนี้น่าจะซื้อ 3,000 เราจะได้รู้ว่าเราต้องใช้เท่าไรตกเบ็ดถึงจะคุ้ม ยอมจ่าย 500 เพื่อให้ลูกค้ามาจ่าย 3,000 พวกเว็บออนไลน์ที่เราเห็นยิงได้เรื่อยๆ ที่ดูเหมือนจะขาดทุนแต่เขามีการคำนวณมาแล้ว
มีสิ่งใหม่ที่อยากเสนอคือการซื้อ lead และให้ลูกค้าจ่ายค่า ad ของตัวเอง, นักการตลาดล้ำๆ digital product เช่น เอาหนังสือมาแปลงเป็น e-book ไม่มีต้นทุน ต้นทุนคือค่าแอดในการยิงหาลูกค้า ให้ลูกค้าจ่าย 300 บาทเป็นค่าแอดที่ยิงไป
บทที่ 10 Contextual Marketing (Online to Offline):
making personal sense & making experience, เอา IoT มาประกบ เช่น smart mirror จับหน้าว่าเป็นลูกค้า VIP, ลูกค้าทั่วไป (Sense)+ AI ทำหน้าที่พอเห็นหน้าแล้ว ก็แสดงตามที่เห็นให้หลากหลาย, handle angry customer, super customer ก็โชว์ต่างกัน (Response)
ช่วยทำให้คนทำงานได้ดีขึ้น, คือเป็น Sense+Response
2
Augmented Marketing (Automation):
การใช้ระบบ AI ผสานการทำงานกับคน เพื่อให้ sales ทำเฉพาะงานที่ต้องทำจริงๆ ที่เป็นจุด critical คือ ต่อรองและปิดการขาย (ทุกวันนี้ sales ต้องทำหลายอย่าง โทร lead, ส่ง quotation, ปิดการขาย, ทำ sale report) เอาเครื่องมือ online ทั้งหมดมาช่วยใน ขั้นตอนอื่นๆ automate, ลดหน้าที่ sales ขยายศักยภาพในการขาย ex. Lead หา lead auto เปิดแอดยิงหาลูกค้า AI คัดกรองว่าลูกค้าจะซื้อจริงไหม, CRM ส่ง remind ให้ลูกค้าว่าเรามีระบบแบบนี้
1
Agile Marketing:
มีหนังสืออยู่เล่มนึงที่ popular มากในวงการ tech คือ Lean Startup -> Build, Measure, Learn จนขึ้นแก้ปัญหาที่ลูกค้าเจอได้ (ซึ่งคล้ายๆ สมัยก่อนเราคือ Plan, Do Check)
-Build ลองสร้างอะไรง่ายๆ เช่นจะทำ partion มันแพงมาก จะทำเอาอะไรดี กระดาษไม่ทน สร้างแล้ววัดๆๆ ออกมาจนเป็น produt ขายได้
Lean Startup บริษัทใหญ่ไม่ทำ ทำใหญ่ๆ KPI เท่าไร ไม่ขาดทุน
แต่ละ stage จะมี gate keeper
1. Build โปรดัก MVP (Minimal Viable Product) โปรดักขั้นพื้นฐานที่สามารถนำไปทดสอบได้
2. ยอมทำว่าลูกค้าจ่ายเงินไหม ปรับ feature,
3. ทำยังไงว่าจะสร้าง biz model ให้ขยายให้ใหญ่ได้ เสร็จแล้วถึงจะ scale ได้
Lazada ทำ Shopee ทำ เป็นเหตุผลที่ทำไมเขาถึงใหญ่ได้ แซงได้
Date: 17 FEB 2021 (11:00 - 11:30)
ผู้เข้าร่วมบรรยาย
@parinest Parin Songpracha Nasket
#clubhouse #clubhousethailand #marketing5 #marketing50 #philipkohler #kohler #marketing #thaimarketing #parin #parinest #parintalk #ecommerce #transformation #digitalreadiness #predictivemarketing #contextualmarketing #augmentedmarketing #agilemarketing #automation #agile #clubhousethaila #ClubhouseTH #todayinoteto #วันนี้สรุปมา
โฆษณา