Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Investory
•
ติดตาม
17 ก.พ. 2021 เวลา 13:51 • หุ้น & เศรษฐกิจ
ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาผมเริ่มเห็นมีผู้เชี่ยวชาญและผู้รู้บางท่านในวงการที่เริ่มมีมากขึ้น เริ่มออกมาให้ความเห็นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่จากตลาดกระทิงในตอนนี้ บางท่านก็เริ่มมีการลด position ของตัวเองลงแล้วบางส่วน บางท่านก็มีการเตรียมการซื้อประกันในทางลงเอาไว้บ้าง
สิ่งนี้ทำให้ผมเริ่มเอะใจ จึงได้ลองพยายามเชคสัญญาณต่างๆที่อาจจะพอบอกเราได้ว่า ตอนนี้เราอยู่ตรงไหน และลูกหมีที่แอบอยู่มันจะโผล่มาเมื่อไหร่
เพราะดูเหมือนว่าหมีตัวใหญ่จะถูกยิงตายไปตั้งแต่โดนกระสุน infinity QE ของ FED เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้วมาจนถึงตอนนี้
การตามกลิ่นที่เรียกว่า “leading indicator” ทั้งหลาย ซึ่งตรงนี้อาจจะต้องอาศัยการอ่านและตีความจากภาพใหญ่ หรือ macro ประกอบด้วย เหตุเพราะว่า fund flow และ momentum ของตลาดจะสะท้อนออกมาจากสิ่งเหล่านี้ก่อนเสมอ เวลาที่จะเริ่มมีการกลับทิศทางจากทางหนึ่งไปอีกทางหนึ่ง
หลายๆคนอาจจะบอกว่า นี่ไง ยอดติดเชื้อ COVID ทั้งโลกลดลงมาจากจุดพีคตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคมที่หลายๆประเทศเริ่มมีการแจกจ่ายวัคซีนกันในช่วงต้นปี ซึ่งดูเหมือนว่าเริ่มจะเห็นผลแล้ว
แปลว่าเศรษฐกิจกำลงจะกลับมาดีแล้วสิ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนควรจะต้องดีขึ้น คนตกงานน้อยลง การเดินทางจะเริ่มกลับมา ใช่ครับ…มาพร้อมกับเงินเฟ้อด้วย
2
หากมองไปที่ราคา commodity ในตอนนี้จะเห็นว่า ราคาได้กลับขึ้นมาเลยระดับก่อนที่จะเกิด COVID ในปีที่แล้วไปแล้ว ยิ่งโดยเฉพาะราคาน้ำมัน ซึ่งตอนนี้เป็น backwardation mode หรือราคาของสัญญาที่หมดอายุใกล้ มีราคาสูงกว่าสัญญาที่หมดอายุไกล ซึ่งอาจตีความได้ว่ามี demand ในระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น หรือไม่ก็ความเสี่ยงว่า supply short ในช่วงสั้นๆ
พูดถึง”กลิ่น” ที่เราพอจะเอามาดูเป็น leading indicator ในทิศทางของตลาดภาพรวม ในเบื้องต้นเราอาจจะดูได้จาก
Put/Call ratio คือสัดส่วนของสัญญาสถานะที่เปิดอยู่ระหว่างจำนวนสัญญา optionที่มองตลาดลงต่อจำนวนสัญญาที่มองตลาดขึ้น ถ้ามากกว่า 1 คือมีคนมองลงมากกว่าขึ้น
1
Option Premium หรือค่าเบี้ยประกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ค่าเบี้ยประกันของสัญญา option ในทางใดทางหนึ่งเริ่มแพงขึ้น โดยปกติแล้ว ค่า premium จะแพงขึ้นตาม volatility หรือความผันผวนที่เพิ่มขึ้นของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
Yield gap หรือส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของสินทรัพย์นั้นผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล โดยปกติเราจะเทียบกับอายุ 10 ปี ตอนนี้ CBOE 10YR Treasury Note ขึ้นมาระดับ 1.3% แล้ว
Fear and greed index หรือดัชนีความโลภความกลัวของคน
เมื่อไหร่ที่ค่าเกิน 80 หรือต่ำกว่า 20 คือตลาดอาจจะมีแนวโน้มเปลี่ยนทางในระยะเวลาอันใกล้ได้ ช่วงนี้กลับมาเป็นโหมด greed ระดับ 71 อีกแล้ว หลังจากวูบไปช่วงนึงเมื่อปลายดือนที่แล้วตอนตลาดตกลงมาราวๆ 5%
ดูได้ที่
https://money.cnn.com/data/fear-and-greed/
CBOE Volatility Index (VIX) หรือดัชนีความผันผวน ณ วันนี้ยังดูปกติ อยู่ที่ 21 แต่เมื่อไหร่ที่ VIX เริ่มดีดเกิน 40 นี่ควรต้องเริ่มระวังตัว
Market cap to GDP ratio หรือบางคนเรียก Buffet Indicator
ตัวนี้เป็นตัวที่บอกว่าราคาตลาดโดยรวมมันถูกหรือแพงโดยเอาไปเทียบกับ productivity ของประเทศในช่วงเวลานั้นๆ ดูเผินๆเหมือนจะเป็น indicator ที่ดีตัวนึง
แต่ตัวมันเองก็มีข้อเสียอยู่บางอย่าง ข้อสังเกตนึงคือตั้งแต่เริ่มมีการใช้ QE1 มาตอนปี 2009 จนถึงปัจจุบัน ratio นี้มันก็พุ่งขึ้นมาตลอดจนเกือบจะถึง 2.0 แล้ว ณ วันนี้ ความหมายคือ financial market กับ real economy (GDP) มันแยกตัวออกจากกันชัดเจนตั้งแต่ที่ FED ใช้ playbook เล่มใหม่
2
ถ้าใครไปยึดเอาค่าดัชนีนี้ที่ยอดเดิมตอนปี 2000 หรือ 2007 มาเป็นเกณฑ์ว่าต้องออกจากตลาด ไม่ถือไม่ซื้อหุ้น ก็กลายเป็นว่าคุณเสียโอกาสใน bull cycle รอบใหญ่นี้ไปแล้ว 6 ปี ส่วนตัวผมถึงคิดว่า index นี้อาจจะล้าสมัยไปแล้ว
Velocity of money
ตัวนี้จะเป็นตัวบอกถึงสัญญาณเงินเฟ้อหรือเงินฝืด ซึ่งเงินเฟ้อมันมีผลที่ตามมาคือการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกที
ซึ่งอัตราดอกเบี้ยนโยบายก็มีผลที่ตามมาคือ yield gap อีก step ซึ่ง yield gap มันมีผลกับ fund flow ว่าควรจะวิ่งเข้าตลาด หรือวิ่งเข้าพันธบัตรมากกว่ากัน ยิ่งแคบเท่าไหร่ ผลตอบแทนของการเอาเงินไปลงในตลาดก็ยิ่งไม่น่าสนใจถ้าเทียบกับความเสี่ยง
ลืมพูดถึงตัวสุดท้ายไป ตัวนี้น่าจะทันสมัยสุด และอาจจะสำคัญที่สุดในยุคนี้ คือการคอยติดตาม balance sheet ของ FED เพราะมันหมายถึง liquidity ของตลาด
1
ทั้งหมดทั้งมวลนี้เราพูดมันเป็นเพียงแค่ความน่าจะเป็นจากปัจจัยในภาพใหญ่เพียงแค่เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ได้ลงลึกไปในราย sector หรือหุ้นรายตัวแต่อย่างใด
1
เพราะในทุกๆสภาวะตลาด ก็มีทั้งหุ้นที่ดีและหุ้นที่แย่ได้หมด แต่ fund flow กับ momentum มันจะเป็นตัวบอกว่าประชากรหุ้นส่วนใหญ่จะไปทิศทางไหนเท่านั้นเอง
1
การคาดการณ์แนวโน้มเปรียบเสมือนลายแทงให้เดิน แต่ถ้าเราไม่ได้สร้างแผนและทำตาม ต่อให้คาดการณ์ถูกไปก็ไม่ได้อะไร สำคัญที่สุดคือมีแผนและ action ตามแผนนั้นด้วยครับ
11 บันทึก
26
2
10
11
26
2
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย