19 ก.พ. 2021 เวลา 10:24 • ปรัชญา
•ใครเปนใครในโป๊ยเซียน ท่านผู้สำเร็จทั้ง 8•
วิธีดูว่าใครเปนใคร ให้ดูที่ของวิเศษ
1. คนถือกระบี่ชื่อ ลื่อทงปิน
กระบี่คาดหลัง ท่านลื่อทงปิน
ลื่อตงปิน หรือลื่อโจ้ว เกิดสมัยราชวงศ์ถัง เป็นคนตัวใหญ่สูงแปดฟุตกับสองนิ้ว ความจำดี เฉลียวฉลาด แต่สอบจิ้นซื่อจะเปนจอหงวนตก 2 ครั้ง
ในวัย 64 ท่องเที่ยวพเนจร ได้พบเซียนฮั่นจงหลี สนทนาธรรมกันถูกอัธยาศัย ลื่อตงปินถอนใจว่าชีวิตช่างอาภัพ สอบจิ้นซื่อไม่ได้สักครั้ง ฮั่นจงหลีจึงให้หมอนใบหนึ่งไปนอนหนุน กล่าวว่าจะทำให้สมหวัง
ท่านลื่อตงปินหนุนหมอนหลับไป ฝันเห็นชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เปลี่ยนแปลงมากมาย สอบได้จิ้นซื่อ เป็นนายอำเภอ เลื่อนตำแหน่งหลายครั้ง เป็นแม่ทัพ มีอำนาจวาสนา มั่งมีศรีสุข เป็นอัครมหาเสนาบดี ต่อมาถูกปลดจากตำแหน่ง ตกระกำลำบาก
เซียนฮั่นจงหลีว่า ชีวิตหนอ แม้ประสบสุขก็ไม่น่ายินดี ประสบทุกข์ก็ไม่น่าเสียใจ
ท่านลื่อตงปินปลงตก ละกิเลส ปวารณาเป็นศิษย์ตามไปบำเพ็ญเพียรที่เขานกกระเรียนจนสำเร็จเปนเซียน
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของความเด็ดเดี่ยว กระบี่ฟาดฟันอุปสรรค เดชอำนาจ ปราบยุกเข็ญ และทรัพย์เนืองนอง
เหตุที่ท่านหงุดหงิดเรื่องการสอบไม่ได้นั้น ด้วยว่าท่านกำเนิดในภพนั้นเป็นถึงบุตรของเจ้าเมืองไฮจิ่ว มีบิดาเปนขุนนางแต่ตนเองกลับสอบไม่ผ่าน ทำให้กังวลว่าอาจไม่กตัญญู
แท้แล้วในอดีตชาติท่านเป็นอาจารย์ชื่อ ตังหัวจินหยิน ที่กลับชาติมาเกิด มีผู้ซึ่งบุพกรรมผูกพันกันได้รื้อสัญญาความจำเก่าและสอนการบำเพ็ญธรรมสืบวิชาใช้ไฟธาตุหลอมสิ่งของต่างๆ กลายเป็นทองให้
ท่านได้รับกระบี่วิเศษจากเซียนฮั่นเจ็งหลีฝากไว้ให้ ได้ออกช่วยเหลือประชาชนปราบมังกรยักษ์ด้วยกระบี้วิเศษนี้
บางคราวท่านปลอมตัวเป็นคนหาบน้ำมันขาย ผู้ใดที่ซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถมก็จะอุปถัมภ์ ปรากฏว่ามีหญิงชรามาขอซื้อน้ำมันแล้วไม่ขอแถม อีกทั้งยังเอื้อเฟื้อให้อาหารแก่ลื่อทงปิน ท่านจึงเอาข้าวสุกโปรยลงในบ่อน้ำและเสกให้เป็นสุราอย่างดี เพื่อหญิงชราและลูกชายตักขายได้จนร่ำรวย
วันหนึ่งลื่อทงปินท่านไปกินอาหารร้านนางซินสี และไม่ได้จ่ายเงินอยู่ 4 วัน นางซินสีก็ไม่ทวงถาม ลื่อทงปินจึงเอาเปลือกส้มมาเสก เป็นนกกระเรียนติดไว้กับผนังร้าน เพื่อให้นางซินสีเรียกนกกระเรียนมาเต้นรำให้ผู้กินอาหารดู ทำให้มีผู้มากินอาหารมากมายจนนางซินสีร่ำรวย
อยู่มาวันหนึ่งได้พบกับฮั่นเจ็งหลีเซียนองค์ที่สอง ฮั่นเจ็งหลีจึงชวนไปบำเพ็ญตบะที่ภูเขาเฮาะฮง ท่านรับคำแล้วเดินทางแวะไปหาหญิงชราและลูกชายที่เคยเสกน้ำในบ่อให้เป็นสุรา ลูกชายหญิงชราพูดจายโสไม่ให้ความเคารพ ลื่อทงปินจึงเรียกเอาเมล็ดข้าวขึ้นมา ทำให้สุราในบ่อกลายจึงเป็นน้ำตามเดิม
จากนั้นได้แวะไปหานางซินสี นางซินสีได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ลื่อทงปินได้ขอนกกระเรียนจากผนังร้านคืนและบอกนางซินสีว่า ถ้าอยากร่ำรวยก็ให้จุดธูปบูชาถึงตน จากนั้นก็ขี่นกกระเรียนไปเป็นเซียนองค์ที่สาม
2. ถือป้ายอาญาสิทธิชื่อ เช่าก๊กกู๋
ป้ายคู่อาญาสิทธิ์ ท่านเช่าก๊กกู๋
ท่านเช่าก๊กกู๋เป็นพระราชนิกูลน้องชายของฮองไทเฮาแห่งราชวงศ์ซ่ง กำเนิดวัน 15 ค่ำ เดือน 7 เป็นคนเที่ยงตรง มีเมตตา รักสงบ อนาถใจเห็นญาติผู้ใหญ่ใช้สิทธิเกินส่วนอ้างความเปนราชนิกูลข่มเหงผู้คนแสวงประโยชน์เข้าตัว
ท่านขึ้นเขาบำเพ็ญเพียร คอยช่วยผู้ตกทุกข์ ได้พบเซียนฮั่นจงหลีและท่านลื่อตงปิน ท่านลื่อตงปินถามว่า
ทำความเพียรเพื่อประโยชน์ใด
เชาก๊กกู๋ตอบว่า ต้องการญาณตบะวิเศษ
ลื่อตงปินถามต่อ ธรรมที่ท่านบำเพ็ญอยู่ที่ใด
เชาก๊กกู๋ชี้นิ้วขึ้นฟ้า
ลื่อตงปินถามว่า ฟ้าอยู่ที่ใด
เชาก๊กกู๋ชี้ที่หัวใจ
ฮั่นจงหลีจึงว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ใจคือตบะ ตบะคือใจ บัดนี้ท่านค้นพบแล้ว จากนั้นเซียนทั้งสองจึงถ่ายทอดมรรควิธีให้กระทั่งเช่าก๊กกู๊สำเร็จเป็นเซียน
ป้ายคู่นี้เปนอาญาสิทธิ์ เข้าเฝ้าฮ่องเต้เมื่อไรก็ได้ ทั้งยังปรบเข้าด้วยกันเปนเสียงกัมปนาทกึกก้อง
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของผู้มั่งคั่งสละทรัพย์แสวง วิเวก ภูตผีปีศาจละอายเมื่อเจอท่าน
3. คนถือดอกบัวคือ ฮ่อเซียงจื่อ
ดอกบัว ฮ่อเซียงจื่อ
ท่านกำเนิดในสมัยราชวงศ์ถัง เปนสตรีอ่อนโยน รักสงบ ใจบุญ ฉลาด วันหนึ่งได้กินผลท้อที่ท่านลื่อตงปินให้แล้วไม่หิวอีกเลย เปนต้นทางสู่วิถีเซียน
ท่านมีสมาบัติพิเศษทำนายโชคชะตาผู้คนแม่นยำ
วันหนึ่งทิก้วยลี้กับหลันไฉ่เหอมาแนะนำวิธีปฏิบัติสมาธิ บำเพ็ญเพียร ตลอดจนเวทมนตร์ต่างๆ จากนั้นนางขึ้นเขาลงเขาไปกลับรวดเร็วแบบเซียน และเก็บผลไม้ฝากมารดาทุกครั้ง ท่านสำเร็จได้ญาณเซียนเมื่ออายุ 14 ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากด้วยมนต์และคำพยากรณ์ เสียงกล่าวขานถึงความเป็นผู้วิเศษร่ำลือไปถึงในวัง พระนางบูเช็กเทียนส่งคนไปเชิญมาเฝ้า แต่ระหว่างทางท่านหายตัวไป ภายหลังมีผู้พบเห็นท่านเข้าสู่เซียนภาวะลอยขึ้นไปขี่เมฆอยู่บนฟากฟ้า
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของความกตัญญู และ ความเมตตา ดวงชะตา และอนาคต
4. ถือน้ำเต้าคือ ทิกวยลี้
น้ำเต้าแขวนอยู่หลังเสื้อท่านทิกวยลี้
ท่านทิก๊วยลี้ เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 200 เดิมชื่อ หลีเหียน เปนหนุ่มกำพร้ารูปงาม รักสันโดษ มีความสนใจในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะ ไม่ส้องเสพเนื้อสัตว์ ต่อมาได้ละเคหสถาน ออกมาพำนักรักษาศีลตามโรงเจ เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ
ต่อมาได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์ของ อาจารย์ใหญ่ เล่าลี่กุน พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จ มีผู้นับถือและสมัครเป็นศิษย์มากมาย
มีศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งชื่อ เอี้ยวจื้อ อยู่มาวันหนึ่งหลีเหียนได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาอาจารย์ โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา พอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก และเอี้ยวจื้อคิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว จึงเผาร่างอาจารย์และรีบเดินทางไปหามารดา ทว่ามารดาก็ได้ตายลงเสียก่อนไปถึง
ท่านหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้วอาจารย์ใหญ่ได้พาไปศึกษาวิชาเซียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน พบแต่กองขี้เถ้า วิญญาณหลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัย เมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้าและถุงข้าวสารอยู่ข้างๆ จึงเข้าไปอาศัยร่างและได้เสกไม้เท้าเป็นไม้เท้าเหล็ก เสกถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสกเป็นยารักษาโรค และได้เรียกตนเองว่า ทิก๊วยลี้ จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้น แล้วก็กลับไปอยู่สำนักท่านอาจารย์ใหญ่ กลายเปนเซียนองค์ที่หนึ่ง
ผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึง เซียนท่านนี้
ส่วนน้ำเต้านี้เป็นน้ำเต้าวิเศษที่สามารถดลบันดาลสุขให้แก่มนุษย์ ภายในจะมีค้างคาวห้าตัวโบยบินออกมาจากน้ำเต้า อันหมายถึง ความสุขห้าประการของมนุษย์
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของการรักษาโรค และยา
5. ถือลำไผ่กระบอกเครื่องดนตรีท่านเจียงกั๋วเล้า
ท่านเจียงกั้วะเล้า
ท่านเปนผู้เอาชนะความแก่ เดิมทีเสวยชาติเปนค้างคาวเผือกจำศีลบำเพ็ญโดยการกินแสงเดือนแสงตะวัน ต่อมาเสวยชาติเปนนักพรต ไปไหนมาไหนขี่ลาเผือกกลับหลังโดยหันหน้าไปทางหางลา
ลาของเจียงกั๋วเล้าเปนลาเสก ยามไม่ใช้เก็บพับได้ดังกระดาษ เมื่อจะขี่ก็เอาน้ำพ่นเป็นลาตัวเป็นๆ ดังเดิม
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของ เมตตามหานิยม
เจียงกั๊วเล้าท่านแม้จะมีอายุมากกว่าร้อยปีแล้วแต่ก็ยังดูหนุ่มแน่นเมื่อพระนางบูเช็กเทียนทรงทราบ จึงทรงให้นางข้าหลวงไปเชิญท่านเข้าวัง แต่ท่านไม่ไปแกล้งทำเป็นลมชักสลบไป มีหนอนขึ้นตาม จมูก ปาก และหู ทำให้ทุกคนเชื่อว่าตายไปแล้ว
แต่ต่อมาศพก็ได้หายไป จนกระทั่งในสมัยของพระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ มีผู้พบเห็นท่านอีก ฮ่องเต้ได้ทรงให้ข้าหลวงไปเชิญท่านเข้าเฝ้า ท่านก็แกล้งทำเป็นตายอีก พวกข้าหลวงได้พร่ำอ้อนวอนจนท่านใจอ่อน จึงฟื้นขึ้นและยอมเข้าวัง
พระเจ้าเม่งจงฮ่องเต้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ต่อมาท่านเบื่อหน่ายที่จะอยู่ในรั้วราชวัง จึงทูลพระเจ้าเม่งจงขอกลับไปอยู่ตามป่าเขา ฮ่องเต้ก็ทรงอนุญาตและพระราชทานสิ่งของและจัดรถลากให้ โดยมีคนลากคนหนึ่งและคนเข็นหลังรถอีกคนหนึ่ง เมื่อเดินทางถึงเมืองเฮ่งจิว ท่านก็ให้คนทั้งสองกลับไปแต่ คนลากคือ หลีแซ ไม่ยอมกลับ และมีความเลื่อมใสในตัวของท่าน จึงขอเป็นศิษย์ติดตามรับใช้ ถือศีลกินเจ เรียนมนต์คาถาและศึกษาธรรมจากท่าน
วันหนึ่งหลีแซได้มากราบทูลพระเจ้าเม่งจงว่าท่านเป็นไข้ป่าตายเสียแล้ว จึงรับสั่งให้จัดโลงศพทองคำพร้อมกับทำฮวงซุ้ยบรรจุศพอย่างดี แต่พอเปิดโลงศพออกไม่พบศพ มีแต่กระดาษเขียนทูลลาว่าต้องไปเป็นเซียนองค์ที่สี่
ท่านคณะเซียน
6. ตะกร้าดอกบานไม่รู้โรยของ หลันไฉ่เหอ
หลันไฉ่เหอเปนเซียนแห่งบุปผชาติ ความอุดมสมบูรณ์ กำเนิดสมัยราชวงศ์ถังตอนต้น เมื่ออายุได้ 14 รับประทานผลไม้วิเศษทำให้หน้าตาผิวพรรณคงอยู่แบบนั้นตลอดกาล ชอบใส่เสื้อผ้าขาด รองเท้าข้างเดียว ถือกรับเที่ยวร้อง เพลงสุภาษิตเตือนใจคนขอทานเรื่อยไป ได้เงินก็เอามาร้อยเป็นพวงลากไป เชือกขาดเงินหลุดหายก็ไม่นำพา เงินเหลือกินนำไปแจกจ่ายคนจน หน้าร้อนใส่เสื้อหนา หน้าหนาวใส่เสื้อตัวเดียวนอนบนหิมะ
เปนผู้ประพฤฒิตนมีรหัสนัย
ต่อมาท่านทิก้วยลี้มาชวนไปบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเซียน
ท่านเปนบุคคลาธิษฐาน ฝ่ายความไม่ยี่หระต่อสิ่งรอบกาย การหมุนเวียน และขับเคลื่อน
ถือตะกร้าดอกไม้บานไม่รู้โรย หลั่นไชหัว หยุดเวลา
7. ขลุ่ย ของ ฮั่นเซียงจื่อ
ขลุ่ย
เสียงอันไพเราะของขลุ่ยวิเศษหันเซี่ยงจื่อ ไม่เพียงแต่บรรเลงด้วยท่วงทำนองอันไพเราะเสนาะหู แต่ยังสามารถสะกดวิญญาณของผู้ฟังให้ชะงักได้ทันที เมื่อเยาว์กำพร้าพ่อแม่มาอยู่กับหันอวี้ ผู้เป็นอาซึ่งเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ นิสัยรักสันโดษ ชอบปลีกวิเวก นั่งสมาธิบำเพ็ญเพียร ไม่ยินดียินร้ายกับตำแหน่งหน้าที่ราชการอย่างคนอื่นในตระกูล วันหนึ่งท่านลื่อตงปินมาโปรดจนบำเพ็ญสำเร็จเป็นเซียน
ครั้งหนึ่งพระเจ้าเต็กจงฮ่องเต้ให้อาของท่านทำพิธีของฝน ถ้าฝนไม่ตกภายในเจ็ดวัน ก็จะถอดถอนออกจากตำแหน่ง แต่ถ้าฝนตกก็จะเลื่อนตำแหน่งให้เป็นเสนาบดี อาได้ทำพิธีอยู่หกวันฝนก็ไม่ตก ท่านจึงปลอมตัวเป็นโยคีมาช่วย โดยอาให้สัญญาว่าถ้าทำให้ฝนตกได้จะยกทรัพย์สมบัติให้ทั้งหมด ท่านจึงได้นั่งบริกรรมขอฝนจนกระทั่งฝนตกใหญ่สามวันสามคืน แต่สุดท้ายอากลับไม่ยอมยกทรัพย์สินให้ตามที่สัญญา
ท่านจึงคืนร่างจากกลับเปนเซียนและบอกกับอาว่าตนไม่ต้องการทรัพย์สินใดๆ เพียงแต่จะลองใจดูเท่านั้น ต่อมาอาถูกถอดยศและริบทรัพย์สิน สักหน้าแล้วถูกเนรเทศให้ไปอยู่ชายแดน ไปที่แห่งใดก็ไม่มีใครต้อนรับ มีแต่ความลำบากหิวโหย ท่านจึงบอกให้อาไปบำเพ็ญพรตถือศีล ส่วนท่านได้ไปสำนักหลีเล่ากุนอาจารย์ใหญ่รับหน้าที่เป็นเซียนองค์ที่เจ็ด
ท่านเปนบุคคลาธิษฐาน ของ งานศิลปะ และความคิดสร้างสรรค์
8. พัดของฮั่นเจียงหลี
พัดเหลืองใบกล้วย
ฮั่นเจ็งหลี เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ. 340 ในสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นบุตรของเจ้าเมืองหุนตัง เดิมมีชื่อว่า เจ็งหลีกั๊ก ต่อมาได้เป็นแม่ทัพของกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น ได้ยกทัพไปรบกับ ปุดยู้ แม่ทัพโทวฮวน และได้ฆ่าฟันข้าศึกล้มตายเป็นจำนวนมาก หลีทิก๊วยเซียนองค์ที่หนึ่งเล็งด้วยญาณรู้ว่า เจ็งหลีกั๊กเดิมเป็นเซียนรักษาหอสมุดบนสวรรค์ แต่ได้ทำความผิดฐานทำหนังสือประวัติโหงวแป๊ะเซียน (เซียนห้าร้อยองค์) หาย จึงถูกลงโทษให้มาเกิดบนโลกมนุษย์ หลีทิก๊วยจึงคิดช่วยเจ็งหลีกั๊กให้ได้กลับเป็นเซียน จึงแนะอุบายให้ปุดยู้ใช้ทหารหญิงปลอมตัวไปส่งเสบียงให้ทหารของเจ็งหลีกั๊ก ทหารหญิงพวกนี้ได้มอมสุราทหารเจ็งหลีกั๊กจนเมามาย แล้วยกทัพเข้าตีทัพเจ็งหลีกั๊กจนแตกทัพ แต่เจ็งหลีกั๊กหนีรอดไปได้ และได้พบกับอาจารย์ ตังหัวจินหยิน อาจารย์ตังหัวจินหยินได้สอนธรรมะรวมทั้งสอนวิธีใช้ไฟธาตุในร่างกายหลอมสิ่งของต่างๆ ให้กลายเป็นทองและให้กั้นหยั่นวิเศษแก่เจ็งหลีกั๊ก ต่อมาเจ็งหลีกั๊กได้ลาอาจารย์เดินทางกลับบ้าน อาจารย์ตังหัวจินหยินได้บอกกับเจ็งหลีกั๊กว่าวันหนึ่งจะกลับไปเป็นศิษย์ เมื่อได้พบกับพี่ชายชื่อ เจ็งหลีกั้ง เจ็งหลีกั๊ก จึงชวนพี่ชายออกบำเพ็ญตบะ ได้ช่วยชาวบ้านฆ่าเสือและหลอมก้อนกรวดให้เป็นทองเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน ต่อมาวันหนึ่งหลีทิก๊วยได้มารับเจ็งหลีกั๊กไปเป็นเซียนองค์ที่สองของสำนักหลีเล่ากุน และให้ชื่อว่า ฮั่นเจ็งหลี เซียนฮั่นเจ็งหลีได้นำมนต์ใช้ไฟธาตุในตัวและกั้นหยั่นวิเศษมอบให้กับอาจารย์ ฮวยเหล็งจินหยิน เพื่อฝากคืนให้แก่อาจารย์ตังหัวจินหยิน พัดวิเศษของจงหลีเฉวียน สามารถโบกพัดคนตายให้กลับฟื้นคืนชีพได้ ดังั้นจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “พัดฟื้นคืนวิญญาณ” หรือ “พัดหวนคืนชีพ” (还魂扇)
ท่านเปนบุคคลาธิษฐานของ ความอาจหาญ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา