Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Alone Time
•
ติดตาม
21 ก.พ. 2021 เวลา 05:23 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
** รีวิวหนังเก่า **
Back to the Future เจาะเวลาหาอดีต
(1985-1990)
1
คำเตือน : บทความนี้จะมีการสปอยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future แต่ผมจะพยายามสปอยให้ได้น้อยที่สุดนะครับ จะเล่าทิศทางของหนังให้พอเห็นภาพ ถ้ายังไม่เคยดู พออ่านจบก็สามารถไปดูได้โดยที่ไม่งง แต่จะไม่สปอยตอนจบนะครับ ^^
ถ้าพูดถึงหนังเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงจะนึกถึงหนังสุดคลาสสิคเรื่องนี้อย่างแน่นอน เพราะมันคือหนึ่งในหนัง Sci-fi ในตำนานของยุค 80 เลยทีเดียว อาจจะมีเด็กรุ่นใหม่หลายๆคนที่ไม่เคยดูหนังเรื่องนี้มาก่อน ส่วนตัวผมเองก็เพิ่งได้ดูมาไม่นานนี้เอง เพราะเห็นว่าเขาเอามาลงใน Netflix ทั้ง 3 ภาค เพราะงั้นรีวิวในครั้งนี้ผมก็จะรีวิวในมุมมองของเด็กยุคปัจจุบันแล้วกัน ^^
เรื่องนี้เป็นหนัง Sci-fi ก็จริง แต่ตัวเนื้อเรื่องกลับดูง่ายกว่าที่คิด บทเข้าใจง่าย คนที่ไม่มีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์ก็สามารถดูได้ แล้วตัวหนังก็เน้นคอมเมดี้มากพอสมควร จะบอกว่าเป็นหนัง Sci-fi ก็พูดได้ไม่เต็มปาก แล้วเนื้อเรื่องทั้ง 3 ภาคก็ต่อกันเลย ทำให้เราดูจบไป 1 ภาคก็จะรู้สึกอยากดูต่ออีก 2 ภาคที่เหลือไปด้วย เพราะมันจะทิ้งปมไว้ตอนจบเรื่อง
ภาค 1 (1985) ในภาคแรก จะเริ่มด้วยเรื่องราวของ Marty McFly เด็กม.ปลายธรรมดาๆ ที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นไปวันๆ เขาก็ได้ไปรู้จักและสนิทกับนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ชื่อ Doc Brown ซึ่งเป็นคนที่ชอบประดิษฐ์ของแปลกๆ แล้วในคืนหนึ่งด็อกก็ให้มาร์ตี้ดูสิ่งประดิษฐ์ชิ้นใหม่ของเขา ซึ่งมันก็คือรถ Time Machine สุดเท่ หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุบางอย่าง ทำให้มาร์ตี้เผลอย้อนเวลาไปในปี 1955 ซึ่งคือช่วงเวลาที่พ่อแม่ของเขายังเป็นวัยรุ่นอยู่นั่นเอง แล้วเขาก็ดันไปเผลอแก้อดีตโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันส่งผลทำให้พ่อกับแม่เขาไม่ได้รักกัน ซึ่งมันจะทำให้เขาไม่ได้เกิดนั่นเอง
เนื้อเรื่องในภาคแรกจะไม่ซับซ้อนมาก มาร์ตี้จะต้องทำทุกวิถีทางให้พ่อกับแม่เขาได้รักกัน แต่ก็เจออุปสรรคมากมายระหว่างแผนการ เช่น ลอเลน แม่ของมาร์ตี้ดันไปตกหลุมรักมาร์ตี้เข้าจนได้ แล้วก็ยังมีศัตรูหัวใจที่ชื่อบิฟ ซึ่งเป็นตัวละครที่ชอบบูลลี่พ่อของมาร์ตี้ตั้งแต่เด็กยันโต ระหว่างภารกิจเขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากด็อกในปี 1955 ด้วย ให้เขาช่วยซ่อม Time Machine ให้มาร์ตี้กลับไปอนาคตได้นั่นเอง ในภาคนี้ดำเนินเรื่องสนุกมาก มีอะไรให้ลุ้นให้ฮาอยู่ตลอด แล้วแต่ละการกระทำของตัวละครก็จะส่งผลกระทบต่อเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นด้วย หนังเรื่องนี้ใช้ Visual effects ค่อนข้างน้อย จะเน้นไปที่การเล่าเรื่องภารกิจของพระเอกที่ต้องทำให้สำเร็จ และต้องหาทางกลับอนาคตให้ได้ มีมุขตลกสอดแทรกมาตลอด ถึงแม้ว่าบางมุขเด็กสมัยนี้อาจจะไม่เก็ทก็ตาม แต่ก็ทำให้ขำได้ แล้วในฉากจบก็เป็นการจบแบบปลายเปิด ซึ่งสามารถทำภาคต่อหรือไม่ทำก็ได้เช่นกัน แต่เขาก็เลือกที่จะทำ
สำหรับ Back to the Future ภาค 1 ผมให้คะแนน 9.5 / 10 ผมชอบการเล่าเรื่องแบบนี้มากๆ แล้วมันก็เล่าเข้าใจง่ายมากๆ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนเหมือนหนัง Sci-fi เรื่องอื่นๆ มุมกล้องก็ดีใช้ได้ แอคติ้งนักแสดงก็เข้ากับตัวละครได้ดีมาก แต่อาจจะติดที่มุกตลกมันเยอะเกินไปหน่อย ซึ่งหลายคนอาจจะชอบ แต่ผมว่ามันเยอะไปแค่นั้นเอง.. ผมชอบฉากที่พระเอกเล่นสเก็ตบอร์ดมากๆ มันเท่สุดๆ แล้วผมก็ชอบมิตรภาพระหว่างมาร์ตี้กับด็อก ถึงมันจะไม่ได้ขยี้มาก แต่มันก็ทำให้รู้ว่าเขาทั้งสองคนสนิทกันมากจริงๆ
1
ภาพบางฉากใน Back to the Future Part 1
ภาค 2 (1989) ในส่วนของภาค 2 เนื้อเรื่องจะต่อจากภาคแรกเลย เนื้อเรื่องภาคนี้จะซับซ้อนกว่าภาคแรกนิดหน่อย ภาคแรกจะเป็นการย้อนอดีตล้วนๆ แต่ในภาคนี้จะมีการเดินทางไปในอนาคตด้วย! (อนาคตในเรื่องคือปี 2015 ซึ่งมันคืออดีตของพวกเราในตอนนี้) การเดินทางไปในอนาคตครั้งนี้ก็เพื่อไปช่วยลูกของมาร์ตี้ไม่ให้ติดคุกนั่นเอง แต่ถึงแม้ว่าภาคนี้จะมีการไปอนาคต แต่ฉากในอนาคตจริงๆก็แค่นิดเดียวเอง.. แล้วภารกิจช่วยลูกมันก็ดูจบง่ายมาก.. ประเด็นของภาคนี้คือ มาร์ตี้ดันไปซื้อหนังสือสถิติผลการแข่งกีฬาในอดีต เพื่อพอกลับไปโลกปัจจุบันของพวกเขา มาร์ตี้จะเอาไปใช้เล่นพนันนั่นเอง ถึงยังไงเขาก็ชนะ เพราะเขามีหนังสือที่รู้อนาคตอยู่ในมือ.. (หวังรวยทางลัดโคตร..) แต่ด็อกก็ห้ามไว้ทัน แต่เขาดันพลาด เพราะบิฟในอนาคตดันไปได้ยินเรื่อง Time Machine ของพวกเขาเข้าจนได้.. แล้วก็ไปเก็บหนังสือสถิตินั่นมาด้วย! บิฟใช้เวลาช่วงที่ทั้งสองคนไปช่วยแฟนของมาร์ตี้ แอบนั่ง Time Machine กลับไปในปี 1955 แล้วเอาหนังสือสถิติกีฬาไปให้ตัวเขาในอดีต พอด็อกกับมาร์ตี้กลับไปในปี 1985 ก็พบว่าโลกของเขาเปลี่ยนไป เพราะบิฟได้กลายเป็นมหาเศรษฐี แล้วมาร์ตี้ก็กลายเป็นลูกบุญธรรมของบิฟ.. มาร์ตี้เลยต้องย้อนเวลาไปในปี 1955 อีกครั้ง เพื่อไปชิงหนังสือสถิติกีฬากลับมา ซึ่งมันคือช่วงเวลาในตอนที่มาร์ตี้ย้อนเวลาไปในภาคแรกนั่นเอง
ภาคนี้มีความซับซ้อนกว่าภาคแรก แต่ก็ยังคงความเข้าใจง่ายอยู่เหมือนเดิม ในภาคนี้เนื้อเรื่องจะเริ่มจริงจังขึ้น ส่วนความสนุกก็ยังคงเดิม
เรื่องของ visual effect ในภาคนี้ค่อนข้างจะดูดีและเนียนตากว่าในภาคแรก ตัวละครก็ดูมีมิติขึ้น แต่บทในภาคนี้อาจจะมีบ้างที่ไม่ค่อยสมเหตุสมผล อย่างตอนไปอนาคต ผมรู้สึกว่าเหตุผลที่ต้องไปมันดูฟังไม่ค่อยขึ้น.. แต่ฉากในอนาคตปี 2015 ค่อนข้างทำออกมาดีเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่เหมือนปัจจุบันเลยก็ตาม (ต้องเข้าใจอ่ะนะ นี่มันหนังเก่า) แล้วของใช้ในอนาคตในหนังเรื่องนี้ บางอย่างก็มีจริงแล้วในยุคนี้ด้วย แต่บางอย่างก็ดูเกินจริง เช่น รถบินได้ บางอย่างก็ล้าสมัยกว่าในยุคปัจจุบันของเรา เช่น เทคโนโลยี 3 มิติ ในปัจจุบันมันดูสมจริงและล้ำกว่าเยอะ แต่ก็นั่นแหละ หนังมันเก่าแล้ว..
เห็นในภาคนี้มีการเปลี่ยนตัวนักแสดงจากภาคแรกบ้างนิดหน่อย แต่ก็เอาคนใหม่เข้ามาแทนคนเก่าได้ค่อนข้างเนียน ถ้าไม่สังเกตก็คงดูไม่ออก แล้วก็เช่นเคย ฉากจบในภาคนี้มันทิ้งปมไว้เพื่อไปต่อภาค 3
สำหรับภาคนี้ผมให้คะแนน 9.5 / 10 เท่าภาคแรก ถึงแม้ว่าบทมันจะสู้ภาคแรกไม่ได้ แต่มันก็ยังสนุกอยู่ดี
2
ภาพบางฉากใน Back to the Future Part 2
ภาค 3 (1990) ในฉากจบของภาค 2 มันทิ้งปมบางอย่างไว้ให้ติดตามกันต่อ ในภาค 3 นี้ มาร์ตี้จะต้องย้อนเวลากลับไปในยุคคาวบอยเพื่อไปช่วยด็อก ภาคนี้เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก ในเรื่องจะอยู่ในยุคคาวบอยเป็นหลัก แต่บอกตามตรงว่าภาคนี้ผมค่อนข้างผิดหวัง.. ถึงแม้ว่าจะเป็นการปิดไตรภาคที่ดีก็ตาม เนื้อเรื่องภาคนี้ไม่ได้ดูซับซ้อนเหมือนภาค 2 ในภาคนี้เราจะได้เห็นเหล่าบรรพบุรุษของตระกูล McFly และตระกูล Tannen (นิสัยแย่ตั้งแต่บรรพบุรุษเลย..) แต่ส่วนตัวผมมองว่าตัวร้ายในภาคนี้มันดูกำจัดง่ายไปหน่อย.. ทั้งๆที่ปูเรื่องมาว่ามันชั่วร้ายสุดๆ.. แต่ถามว่าภาคนี้สนุกไหม ก็ต้องบอกว่าสนุกเหมือนเดิม ใครที่ชอบหนังแนวคาวบอยก็น่าจะชอบ แต่ผมไม่อินกับคาวบอยเท่าไหร่ เลยเฉยๆกับภาคนี้.. ภาคนี้ด็อกได้มีคนรักด้วยนะ.. ชื่อคลาร่า หญิงสาวในยุคคาวบอยซึ่งด็อกตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เป็นอะไรที่น่ารักดี ถึงผมจะรู้สึกว่ารักกันง่ายเกินไปหน่อยก็ตาม.. ยิ่งในฉากจบของภาคนี้ก็ค่อนข้างประทับใจ แต่ก็ยังจบแบบปลายเปิดอยู่ดี.. แต่ทุกอย่างก็ Happy Ending
สิ่งที่ผมชอบในภาคนี้คือการสร้างบรรยากาศในยุคคาวบอย ถึงผมจะไม่ได้อินกับยุคนี้ แต่ตัวหนังก็ทำให้ผมรู้สึกอินขึ้นมาได้ แล้วภาคนี้ฉากต่อสู้ก็ค่อนข้างโอเคเลย ทำออกมาค่อนข้างสมจริงในระดับนึง ด้านของ visual effects ก็ยังคงดีเหมือนเดิม ถ้าคุณดูภาคนี้จบแล้วก็คงจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แต่ก็แอบใจหายนิดหน่อยที่มันจะจบแล้วจริงๆ.. สำหรับภาคนี้ผมให้คะแนน 8.5 / 10 ที่แอบหักไปเพราะว่ามีบางช่วงของหนังค่อนข้างน่าเบื่อ.. และบางอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่ดีมากเลยทีเดียว
3
ภาพบางฉากใน Back to the Future Part 3
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง Back to the Future ที่ถูกสร้างมาแล้วกว่า 30 ปี ผมยืนยันว่าถ้านำมาดูในยุคนี้ก็ยังรู้สึกสนุก ขนาดผมที่เกิดปี 2002 ก็ยังรู้สึกอินได้ เป็นภาพยนตร์แนว Sci-fi ที่ดูไม่ยาก เข้าใจง่าย และไม่เครียด ตัวหนังจะเน้นแนวคอมเมดี้เยอะมาก ถ้าดูแบบขำๆไม่คิดอะไรก็ดูได้แบบสบายๆ ใครที่ยังไม่เคยดูก็แนะนำให้ไปหาดูได้นะครับ ถ้าใครอ่านรีวิวของผมแล้วอยากดูตามก็สามารถไปดูได้แล้วที่ Netflix นะครับ ตอนนี้มีให้ดูครบทั้ง 3 ภาคเลย ดูแบบถูกลิขสิทธิ์ดีกว่าเนาะ ☺️
4
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรีวิวหนังเก่า พอดีว่าช่วงนี้ผมชอบหาหนังเก่ามาดู บางอย่างผมก็ยอมรับว่าอาจจะไม่เก็ท ก็ผมพึ่งอายุ 19 เองอ่ะนะ.. 😂 หนังหลายๆเรื่องที่หาดูในช่วงนี้ผมเกิดไม่ทันแน่นอน ถ้าผมรีวิวอะไรผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยนะครับ และถ้าทำให้ใครไม่พอใจก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ พิมพ์คอมเม้นติชมได้เลยครับ แล้วผมจะนำไปปรับปรุงในบทความหน้า ขอบคุณที่อ่านนะครับ ☺️🙏
4
Twitter : @time_6348
บันทึก
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
รีวิวหนัง / ซีรีย์
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย