ริโอ วิดิช ความแตกต่างที่ลงตัว
หากพูดถึงคู่หูในโลกฟุตบอล หลายๆคนคงจะนึกถึง ชาบี และ อินเนียสต้า คู่หูแดนกลางประจำทีมบาร์เซโลน่าที่มี การเล่นที่เข้าคู่กัน มีเซนส์บอลที่ตามกันทัน จนกลายเป็น คู่หูที่ทำให้แดนกลางของ เจ้าบุญท่มชุดนั่นแข็งแกร่งมาก
หรือ อาจจะนึกถึง ริบเบอร์รี่ กับ อาเย็น ร็อบเบ็น คู่หูต่างชาติที่สร้างชื่อเสียงในดินแดนเยอรมัน ทั้งคู่เล่นปีกซ้าย-ขวา มีการเล่นลากเลื้อยกินตัวทีเหมือนๆกัน แต่ละคนก็จะมี ท่าไม้ตายเป็นของตัวเอง
แต่ ริโอ และ วิดิช นั้นไม่ใช่
ย้อนกลับไป ใน ปี 2000 หลังจากในฤดูกาลก่อนหน้า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สามารถคว้าชัยเหนือ บาเยิร์นมิวนิคได้ แต่งานลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ทัพปีศาจแดง เข้าสู่ช่วงการเปลี่ยนถ่ายเลือด อีกครั้ง โดยครั้งนี้ นำทัพมาโดย พอล สโคล ไรอัน กิ๊ก และสองดาวรุ่งแห่งยุค เวย์น รูนี่ย์ และ คริสเตียนโน่ โรนัลโด้
แต่ตลอดสามฤดูกาลหลังจากนั้น พวกเขาคว้าน้ำเหลว ไม่สามารถจับถ้วยแชมป์ ลีกได้อีก จนเกิดคำถามขึ้นมาว่า หรือนี่จะเป็นยุคสิ้นสุดของ เซอร์ อเล็ก กันแล้ว ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ฟอร์มของพวกเขาแกว่งไปมา นั่นมาจาก คู่ เซ็นเตอร์ แบ็ค ที่ไม่ลงตัว
หลังจาการจากไป ของ ยาป สตัม ในปี 2002 ริโอ เฟอร์ดินาน ไม่มีคู่หูที่ดีอีกต่อไป การมาของ โลร็อง บล็องค์ ที่แก่เกินกว่าจะมาทำตามสั่ง เวสต์ บราวน์ และ จอห์น โอเชียร์ ก็ ธรรมดาไปสำหรับการจะเป็นกองหลังที่ดี
ท่าน เซอร์ จึงจิ้มไปที่ ชายที่ชื่อว่า เนมันยา วิดิช
ณ เวลานั้น สื่อหลายสื่อ ประโคมโหมกระหน่ำ เข้าใส่ดีลนี้ ว่าเป็นดีลที่ล้มเหลว เพราะ วิดิช มีสไตล์การเล่นที่ โผงผาง โฉ่งฉ่าง และได้รับใบแดงหลายครั้ง ซึ่งนัดแรกที่ได้ลงเล่น ร่วมกับ ริโอ พวกเขาโดนคู่แข็งยำใหญ่ ไป 4-0
ไม่ใช่ แค่สื่อ หรือ แฟนบอล แต่รวมถึงตัวริโอ เองด้วยที่ก็เริ่มสงสัยในคู่หูของเขา ว่านี่เหรอคนที่นายใหญ่ของเขาเลือก มันจะไหวจริงๆเหรอ ความสามารถของเขามากพอ ที่จะมายืนเคียงข้างเรา นั้นมีเพียงพอเหรอ
แต่สิ่งที่ ริโอทำไม่ใช่การต่อต้าน หรือ ขยะแขยง รุ่นน้องของเขาแต่อย่างใด เขากลับเป็นเหมือนโค้ชส่วนตัว ให้กลับ วิดิช ติวเข้ม แบบเต็มพิกัด เป็นคู่หู กันทั้งในและนอกสนาม
ความพยายาม อยู่ที่ไหน ความสำเร็จ อยู่ที่นั่น
ในปี 2006 พวกเขาทั้งสองทำสถิติ เสียประตูน้อยที่สุด เป็นอันดับ 2 ของลีก เป็นรองแค่ จอห์น เทอรืรี และ คาร์วัลโญ่ ของเชลซีเท่านั้น แต่ อย่าลืมไปว่า แมนยูเป็นทีม สไตล์ บอลบุก เดินหน้าและ ฆ่ามัน แต่ เชลซีเป็นสไตล์บอลอุด การที่พวกเขาทั้งสอง เสียประตู แค่นี้ถือเป็นความสำเร็จมากๆแล้ว
สร้าง ปรากฏการณ์
ผ่านมาอีก สามฤดูกาล พวกเขาสร้างสถิติ เสียประตูน้อยที่สุด ตลอด สามฤดูกาล และกลายเป็นหนึ่ง ในคู่เซ็นเตอร์แบ็ค ที่ดีที่สุดในโลก และมีส่วนช่วยให้ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ กลายเป็นผู้รักษาประตู ที่เก็บคลีนชีทได้มากที่สุด
อะไรที่ทำให้พวกเขาทั้งสอง เข้าขากัน
ริโอ เป็นกองหลังที่ไม่ได้แข็งแกร่ง เลยแม้แต่น้อย เขาเป็นจำพวกชอบ รอ ไม่เข้าปะทะ จนบางครั้งเป็นเหตุของการเสียประตู แต่เขามีความฉลาดมากๆ เรียกได้ว่า ริโอ อาจเป็นคนที่มีความฉลาดมากที่สุด คนหนึ่งในศาสตร์ของโลกฟุตบอล เขาสามารถมองทุกอย่างได้ทะลุปรุโปร่ง คอยบัญชาการเกมรับ มีความเป็นผู้นำที่ดี และแบกรับภาระการเป็นดั่งปราการด่านสุดท้าย ให้กับเพื่อนร่วมทีม และส่วนสำคัญมากๆ และเป็นรากฐานของ กองหลังในยุคปัจจุบัน คือ การเล่นฟุตบอล กับเท้าได้อย่างยอดเยี่ยม
การออกบอล ยาวสั้น ของเขาช่วยกำหนดทิศทางเกมรุกให้ของทีมได้อย่างดี
ในส่วน ของ วิดิช เขาเปรียบ เสมือนเครื่องหมายการค้า ของแนวรับ เขามีหน้าที่ เข้าสกัด แบบหนักหน่วง การเล่นแบบถึงลูกถึงคน เอาชีวิตเข้าแลก นำมาซึ่งความดุดัน เกรี้ยวกราด และสร้างความหวาดกลัวให้กับแนวรุกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี แต่จุดอ่อนของเขา คือความโผงผางและไม่รอบคอบ ทำให้ตัวเขากลายเป็นต้นเหตุของความผิดพลาดในหลายๆครั้ง แต่จุดอ่อนนั้น ก็ถูกปกปิดโดยคู่หูของเขานั่นเอง ในขณะเดียวกันเขาใช้ความแข็งแกร่ง เพื่อปกปิดจุดอ่อน ให้กับ ริโอเช่นกัน
ถ้าเปรียบเทียบ ริโอสมือน ขงเบ้ง ที่คอยบัญชาการและระวังหลัง ส่วน วิดิชคล้ายกับ ลิโป้ ที่ใช้พละกำลังกายเข้าฟาดฟันอีกฝ่าย รับศึกแนวหน้าให้กับทีม ก็คงจะเป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงแต่อย่างใด
ท้ายที่สุดการทำงานหรือการทำบางสิ่งเราอาจไม่ได้ต้องการ คู่หู หรือ เพื่อนร่วมงานที่คิดแบบเดียวกับเรา หากแต่เราต้องการคนที่มีเป้าหมายเดียวกับเรา และส่วนสำคัญที่สุดคือมิตรภาพ การช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทุกๆอย่าง กลบจุดอ่อนของเพื่อนด้วยจุดแข็งของตัวเอง และนี่แหล่ะครับคือ หนึ่งในการทำงานของ สองสุดยอดกองหลัง
ริโอ เฟอร์ดินาน และ เนมันยา วิดิช
บทความ By อู๋ FL