เปิดตัวแล้วสำหรับ Paramount Plus ที่อาจกลายเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Netflix, Disney+ ของ Disney และ HBO Max ของ Warner Bros. ในอนาคต โดยเป็นการรีแบรนด์จากบริการ CBS All Accessเพื่อให้สามารถรองรับเนื้อหาได้มากขึ้น รวมถึงหวังแย่งส่วนแบ่งตลาดสตรีมมิงทั่วโลกด้วย โดย Paramount Plus จะเริ่มให้บริการในวันที่ 4 มีนาคม 2021 นี้
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ Paramount Plus คือ จะร่วมเอาแฟรนไชส์และเนื้อหาจากทั้งผู้ผลิตเนื้อหาความบันเทิงระดับโลกอย่าง Viacom และ CBS ทั้งหมดมาไว้ด้วยกัน ซึ่งทำให้ Paramount Plus มีซีรีส์ทางโทรทัศน์ในครอบครองมากกว่า 30,000 ตอน, ภาพยนตร์กว่า 2,500 เรื่อง, ซีรีส์ต้นฉบับที่จะฉายทาง Paramount+ เป็นที่แรกอีกกว่า 50 เรื่อง และอีเวนต์ถ่ายทอดสดกีฬาอีกกว่า 1,000 อีเวนต์ ยกตัวอย่างเช่น NFL, PGA Tour และ UEFA Champion League เป็นต้น รวมถึงได้เข้าถึงเนื้อหาจำนวนมากของทั้ง MTV, Nickelodeon, และ Paramount Pictures ที่อยู่ในความดูแลของเครือข่าย ViacomCBS (Viacom และ CBS ได้ควบรวมกิจการไปเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา)
อีกหนึ่งความน่าสนใจของ Paramount Plus คือ จะนำภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของ Paramount Pictures มาฉายบนบริการสตรีมมิง Parmount Plus ภายหลังจากฉายในโรงภาพยนตร์ได้ 45 วัน ยกตัวอย่างเช่น A Quiet Place Part II, Snake Eyes (ภายแยกจาก G.I. Joe), Top Gun: Maverick และ Mission Impossible 7 เป็นต้น รวมถึงยังได้สิทธิในการฉายภาพยนตร์ของ MGM รวมถึงภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องล่าสุดอย่าง James Bond: No Time to Die และ Creed 3 ด้วยเช่นกัน
นโยบายนี้เป็นการแข่งขันกับสตูดิโออื่นอย่าง Warner Bros. ที่จะฉายภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์พร้อมกับทางบริการสตรีมมิง HBO Max ใววันเดียวกัน