1 มี.ค. 2021 เวลา 17:30 • ความคิดเห็น
สิ่งใหม่ในชีวิตหลังเรียนจบ ep.1 "ธุรกิจเบอร์เกอร์"
ฉันขอย้อนกลับไปหลังเรียนจบในช่วงเดือนเมษายน 2563
ตอนนั้นฉันตัดสินใจ ที่จะยังไม่สมัครงาน
ด้วยเงินเก็บเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่
ฉันจึงอยากลองสานฝันการทำธุรกิจอาหารสักครั้ง
เบอร์เกอร์หมูดับเบิ้ลชีส ซอสบาบีคิว ฉ่ำๆ ในราคา 99.-
ตอนนั้นฉันเช่าบ้านอยู่กับเพื่อน 4 คน
ค่าเช่าราคาสบายกระเป๋า เพียง 2,700.-
ได้ทั้งห้องแอร์ สวนย่อมหน้าบ้าน ลานจอดรถ ครัว เครื่องซักผ้า มุมตากผ้า ดาดฟ้า และค่าน้ำค่าไฟแสนประหยัด รวมถึงสภาพบ้านที่ใหม่และสะอาดมาก
นั่นทำให้ฉันตัดสินใจได้ไม่ยากที่จะลองทำอาหารขายออนไลน์ในช่วงโควิด เพราะสภาพบ้านพร้อมรับมือมากกับการเปิดครัว และยังอยู่ใน landmark สำคัญ คือ ตั้งอยู่หลังมหาวิทยาลัย
มันจึงทำให้การเจาะกลุ่มเป้าหมายอย่างนักศึกษา
เป็นเรื่องที่ง่ายมาก สะดวกทั้งการจัดส่ง และการยิง Ad
เมนูง่าย ๆ ที่ฉันลองทำกินเองแล้วรู้สึกอร่อย รวมไปถึงเพื่อนที่ได้ลองชิมก็บอกว่าอร่อย นั่นจึงทำให้ฉัน ลองขายอาหารออนไลน์เป็นครั้งแรกในชีวิต "แฮมเบอร์เกอร์"
แฮมเบอร์เกอร์หมูไม่ใส่ชีส ฉ่ำซอสบาบีคิวในราคา 49.-
ฉันชวนเพื่อนคนหนึ่ง เป็นเพื่อนในกลุ่มที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ปี 1 เป็นเพื่อนที่ทำตัววิจัยจบด้วยกัน และเป็นเพื่อนที่อยู่บ้านเช่าด้วยกัน มาลองทำเบอร์เกอร์ขาย
เราวางเงินกันไว้คนละ 500.- เพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์ วัตถุดิบในการทำขาย
ฉันกับเพื่อนใช้เวลาเพียงวันเดียวในการวางแผนง่าย ๆ
และเริ่มที่จะลงมือทันที
ช่วงแรกที่ประกาศขาย มีเพียงเพื่อนของฉันบางส่วน และเพื่อนของเพื่อนที่ช่วยกันอุดหนุน
แต่หลังจากนั้น ฉันก็ลองนำโพสต์รูปภาพ ไปลงตามกลุ่มต่าง ๆ ที่เล็งเห็นว่ามีกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการอยู่
และใช่ เริ่มมีลูกค้าที่ไม่ใช่คนรู้จักสั่งซื้อ ตอนนั้นหัวใจฉันพองโตมาก .. ในหัวมีแต่ความใคร่รู้
"เขาจะคิดว่ามันอร่อยไหมนะ"
"เขาจะชอบรสชาติไหมนะ"
"ถ้าเกิดเขาติขึ้นมา จะแก้ไขยังไงได้บ้างนะ"
ซึ่งผลตอบรับกลับได้ผลดีเกินคาด..
ทำให้ฉันมีลูกค้าประจำถึง 2 คน ในระยะเวลาเพียง 2 อาทิตย์
ตอนอ่านข้อความของลูกค้าที่ส่งมาในแชทคือใจเราฟูมาก
เพื่อนเราที่รวมลงทุนก็ไปแคปตามคอมเมนท์ในโพสต์มาให้ ซึ่ง ทั้งเราทั้งเพื่อน ใจฟูไปตาม ๆ กัน
ซึ่งเงินที่วางไว้เป็นทุน เราสามารถคืนทุนได้ภายในอาทิตย์แรก
และใช้กำไรเป็นตัวหมุนธุรกิจนี้ต่อไป
แต่การทำเบอร์เกอร์ขายเองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสักทีเดียว
เพราะเป้าหมายของฉันคือการทำอาหารสดใหม่ให้แก่ลูกค้า
ฉันจึงเลือกที่จะไม่สต๊อกของ แต่เลือกที่จะเปิดรับออเดอร์และทำตามออเดอร์เท่านั้น มันจึงง่ายต่อการเลือกซื้อของให้พอดีกับจำนวนที่ต้องการขาย
นั่นจึงทำให้การตื่นเช้าเพื่อไปซื้อของ
กลายเป็นกิจวัตรประจำวัน
รวมไปถึงการล้างจานและคราบไขมันกองมหึมาในทุกเย็น
แต่สิ่งสำคัญในการขายของฉัน
คือการแสดงความขอบคุณลูกค้าอย่างจริงใจ
และตรงไปตรงมา ผ่านตัวหนังสือ ที่ฉันมักจะเขียนลงบนกล่องทุกครั้ง เพื่อแสดงถึงความรู้สึกขอบคุณให้แก่ลูกค้าทุกคน
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเพื่อนมาเข้าร่วมการทำธุรกิจนี้เพิ่มอีก 2 คน เรา 4 คนช่วยกันวางแผนธุรกิจกันอย่างจริงจัง
ไม่ว่าจะเป็นการขยายฐาน การวิเคราะห์ SWOT, 4P ต่าง ๆ มันกำลังไปได้ดีมากๆ
แต่หลังจากที่ฉันขายได้เพียงเดือนกว่า ๆ
ก็ต้องยุติธุรกิจเล็ก ๆ นี้ไป
เพราะแม้รายได้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
แต่ตอนนั้นครอบครัวฉันประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก
ตอนนั้นฉันเอาแต่เก็บตัวร้องไห้อยู่ในห้องเป็นวัน ๆ ของก็ไม่ได้ขาย เพราะฉันหาทางออกไม่ได้ ตอนนี้ฉันทำได้แค่หาเงินเลี้ยงตัวเองไปวัน ๆ แต่ฉันกลับไม่มีความสามารถมากพอที่จะแบกรับปัญหาทางบ้านได้
เพราะการที่ฉันไม่มีรายได้ที่แน่นอน
จึงทำให้ฉันไม่มีเงินมากพอจะส่งไปช่วยทางบ้าน
บ้ายบ่าย กระดานแห่งความทรงจำ
แต่อย่างน้อยครั้งหนึ่ง ฉันได้ลงมือทำไปแล้วกับความฝันเล็ก ๆ ที่อยากลองมาตลอด
"เมื่อฉันมีโอกาส ฉันไม่ลังเลที่จะลงมือทำ มันจึงเกิดสิ่งนั้นขึ้น
และมันทำให้ฉันรู้สึกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง "
ฉันจึงต้องตัดสินใจไปทำงานที่กรุงเทพ
และโชคที่เข้าข้าง ทำให้ฉันได้งานภายใน 3 วัน
(ฉันสัมภาษณ์งานผ่านออนไลน์)
และตัดสินใจย้ายออกจากบ้านเช่าแสนสุข
ภายใน 3 วันเช่นกัน เพื่อเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพทันที
และแล้วสิ่งใหม่หลังเรียนจบอย่างที่ 2 ก็เริ่มต้นขึ้น
กับบริษัทซอฟต์แวร์เฮ้าส์ ย่านอโศก
"สวัสดี กรุงเทพมหานครฯ"
โฆษณา