4 มี.ค. 2021 เวลา 12:58 • ท่องเที่ยว
8/11/2019
ไปเที่ยวลาวกันเถอะ (วังเวียง) part II
แม้ผมจะยังมีอาการปวดหัวจากการดื่มเมื่อคืนพอสมควร
แต่อากาศตอนเช้าของสองริมฝั่งโขงตอนนี้ ก็ดีเกินกว่าที่จะเสียเวลานอนต่อในโรงแรม
ผมตัดสินใจลุกตอนตี 5.30 เพื่อออกมาเดินเล่น รับอากาศที่กำลังหนาวเย็นยะเยือก ใกล้ๆโรงแรมซึ่งติดริมแม่น้ำโขง
อาา. เช้าวันใหม่มันต้องเริ่มด้วยอะไรแบบนี้ มันช่างเย็นสะใจดีแท้
บรรยากาศริมโขง หนาวจั๊ด เดือนพฤศจิกายน
หลังจากวิ่งออกกำลังกายไปซักพัก
สลับกับเดินดู อากง อาม่า รำไทเก็ก
ณ ริมฝั่งโขง จนสาแก่ใจแล้ว
ผมก็เร่งเดินทางไปที่ ตม หนองคาย
by รถตุ๊กๆ ตามเวลานัดหมายกับเพื่อนฝูงทันที
นัดกันราวๆ 8 โมงเช้า
ทุกคนมารอผมกันก่อนอยู่แล้ว
เราทักทายกันพอหอมปากหอมคอ เราเริ่มถกกันเรื่องแผนการเดิน นู้นนี่นั่น
โดยทางทีมเลือกที่จะไปเช่ารถตู้ที่ฝั่งลาวเนื่องจากได้ราคาที่ถูกกว่าหากให้มารับในฝั่งไทยค่อนข้างเยอะ
พอตกลงรายละเอียดกันลงตัว พวกเราก็เริ่มทยอยออกเดินทาง ซึ่งหลังจากพวกเราผ่านกรรมวิธี หลุดจาก ตม ไทยแลนด์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราต้องนั่งรถทัวกันต่อเพื่อข้ามสะพานไทยลาวไปที่ ตม ประเทศลาว
ซึ่งก็รวดเร็วทันใจ ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็ถึง
พอไปถึง ตม ประเทศลาว เราก็กรอกๆเอกสาร กรอกๆข้อมูล กรอกบลาๆๆ จนผ่านเข้าไปประเทศเค้าได้จนสำเร็จ
เราแลกเงิน ซื้อซิมโทรศัพท์ ขึ้นรถตู้ตรง ตม ลาวนี่หล่ะ(ติดต่อรถไว้แล้ว)
ใช้เวลาไม่นานสำหรับพิธีกรรมที่จะข้ามไปยังลาว
เนื่องจากได้ราคาค่อนข้างดี แถมง่ายและสะดวกอีกต่างหาก
ทาด๊า ลืมบอกไป…..
จุดหมายปลายทางของพวกเราในทริปนี้คือวังเวียงนะจ๊ะ
เมืองแห่งขุนเขา สายน้ำ และ เกาหลี
(ซึ่งเราแอบเป็นติ่งซีรี่ย์อยู่เนืองๆ) 55555555+
แถมวันนี้ยังเป็นวันศุกร์ซะด้วย
เอ้.....วันศุกร์ทำไมหราา มีอะไรเด็ดๆ ที่วังเวียง ??
คืองี้ๆๆ จากที่เราทำการศึกษา ค้นคว้าข้อมูลก่อนมาเที่ยววังเวียงนั้น ได้สรุปใจความสำคัญว่างี้
คือมันมีสถานที่เที่ยวที่หนึ่ง ซึ่งเปิดเฉพาะคืนวันศุกร์เท่านั้น ย้ำ!! เฉพาะคืนวันศุกร์เท่านั้น
สถานที่แห่งนั้นก็คือ The Jungle บาร์น้อยในป่าใหญ่ นั่นเอง, อะฮู๊ อะฮู๊ อะฮู๊
ซึ่งจะเปิดต่อจาก SAKURA BAR ที่สถานที่ท่องเที่ยวอันโด่งดังของวังเวียงที่ปิดเวลา 0.00 a.m. จ๊ะ
ทีนี้อยากให้ทุกคนลองจินตนาการถึงวังเวียง ซึ่งเป็นเมืองแห่งขุนเขาและสายน้ำ และดันมีสถานที่ปาตี้สุด exclusive ที่เปิดเฉพาะ คืนวันศุกร์แค่วันเดียว
แค่พูดก็พลาดไม่ได้แล้วใช่มะ
มันจะตกแต่งร้านแบบไหนน้า
และทำไมต้องเปิดวันศุกร์วันเดียว
ผมนี่แทบอยากจะรํู้ใจจะขาด
แค่จินตนาการก็แทบจะเตรียมชุดทาร์ซาน
พกเถาวัลส่วนตัวเตรียมไปห้อยโหนที่ Jungle bar ด้วยเลยครัช โฮวฮี้ โฮวววว 555555555555+
กลับมาที่รถตู้กันก่อน เรื่องของคืนวันศุกร์ the jungle นี้ดูเหมือนยังอีกยาวไกล
เรานั่งรถตู้กันประมาณ 3-4 ชั่วโมงจาก ตม ลาว ถึง วังเวียง จอดแวะถ่ายรูปตรงประตูชัยลาว กินนู้นนี่นั่น
ประตูชัย ลาวจร้าา
และเราก็มาถึงวังเวียงเกือบ 3 โมงเย็น, เราแยกย้ายกันเข้าห้องพัก ทำธุระ แล้วนัดเจอกันหน้าที่พักเวลา 4 โมงเย็นเพื่อที่จะไปดูพระอาทิตย์ตก ณ ผาหนามไซ
เราออกเดินไปตามถนนหนทาง เพื่อจะหาเหมารถสองแถวไปผาหนามไซ ระหว่างเดินหารถ ก็ได้ชมวิวทิวทัศน์บ้านเมืองเค้าก็ตื่นเต้นดีนะ
ผมเคยได้ยินหลายๆคนบอกว่าวังเวียงเหมือนประเทศไทย
ซึ่งโดยส่วนตัวผมว่าฟิลลิ่งต่างกันมากเลยทีเดียว
ซึ่งมันชิวกว่ามากกกกกก
ชิวจนต้องเดินไปด้วย กระดกขวดเบียไปด้วย อะไรแบบนี้เลยนะ รู้สึกรีแลค ผ่อนคลาย เย็นสบาย คือแม่งฟินมากกกกกก
(ที่ประเทศไทยผมไม่กล้าเดินกระดกขวดเบียกลางถนนหลอก ไม่เคย อาย เดี๋ยวมีคนเดินมาค่อนขอด ไอ้ขี้เมาเอ้ย 5555555+)
หลังจากตกลงราคาเรื่องรถได้ ก็ได้เหมารถสองแถวนั่งกันไปที่ผาหนามไซ (เตรียมตัวกันมาหน่อยนะ ขนาดผมฟิตประดุจกวางหนุ่ม นี่ลงเขามา ขายังสั่นพับๆ คือเขามันชันม๊ากกกกก)
เส้นทางกว่าจะไปถึงผานั้นทุลักทุเลมาก แต่ก็แลกมาด้วยวิวสองข้างทางที่เป็นภูเขาสลับกับทุ่งนา สวยดี เพลินตาดี
ทันที่รถมาถึงตีนผา ผมเร่งเพื่อนๆ ให้รีบๆขึ้นเขา
รีบๆถ่ายรูป รีบๆลงเขา เพราะผมจะรีบไปแต่งตัวหล่อ
รอไปปาตี้ที่ The jungle 555555555+
ทางไปลำบาก ดินกระเด็นเต็มหัว แต่ก็นั่นหล่ะ สนุกชะมัด
กิจกรรมชมธรรมชาติของพวกเราก็เลยเป็นไปอย่างฉุกละหุก ฉุกเฉินและเร่งรีบ (555555+)
เหนื่อยจัดๆ ขานี่สั่นพับๆ
แต่นั่นก็ยัง Take time ไปพอสมควร
หลังจากที่ผมเข็นทุกคนกลับเข้าที่พักได้สำเร็จ
และแยกย้ายกันพักผ่อนตามอัฐยาศัย
และแล้ว………..ฟรีไทม์ มายไทม์ก็คัมมิ่ง
ฮ่ะฮ่าๆๆๆ ตื่นเต้นหว่ะ
ผมรีบ อาบน้ำ แต่งตัว
(เอาทักซิโด้ ออกมารีด อันนี้เว่อๆ 55555+)
 
นัดแนะกับเพื่อนที่อยากออกไปเปิดหูเปิดตาทั้งหลาย
เจอกันที่ SAKURA bar สถานที่เที่ยวอันเลื่องชื่อของวังเวียง เวลา 21.00 น.
20.30 ผมไปรอที่ร้านก่อนเพราะกลัวไม่มีโต๊ะ ซึ่งก็ไปได้โต๊ะ ตัวสุดท้ายพอดี
คนแน่นมากกกก ขนาดสองทุ่ม
ซึ่งลักษณะของร้าน SAKURA bar ออกแนวเพิงๆ ง่ายๆ ทึบๆ มีแสงไฟ สีแมงดาคล้ายซุ้มยาดอง ที่คอยให้ความสว่างเพียงน้อยนิด (ม่วงๆ มืดๆ)
และมีดีเจเปิดเพลง(เกาหลี)สุดมัน ตลอดทั้งคืน
มีฟลอยกสูง(มาก)อยู่กลางร้าน ซึ่งซัก 4 ทุ่มฟลอที่ว่านี้ ก็จะเบียดแน่นไปด้วยมนุษย์หลายเชื้อชาติ หลายภาษา พลัดกันขึ้นมาโชวสเตปเฉพาะของแต่ละเชื้อชาติ
ซึ่งมันเบียดกันอยู่กลางร้านนั่นหล่ะ
ขณะที่นั่งรอเพื่อน ผมได้ฝาดสายตาไปทั่วร้านพบว่า
60% เป็นชาวเกาหลี, 30% เป็นฝรั่งและ10%เป็นคนไทยและเจ้าถิ่น ซึ่งคนแน่นขนัดร้านมาก มากจริงๆ มันดูมั่วไปหมด
โดยรวมก็มองเพลินๆดีครับ ให้ความรู้สึกแปลกใหม่
แต่ติดตรงไม่มีดนตรีสดและเปิดเพลงเกาหลีทั้งอัลบัมนี่หล่ะครับ (ติ่งยังเอียน คิดดู)
หลังจากเพื่อนๆผมทยอยมาจนครบกันแล้ว
เราก็สั่งเบียมาดื่มกันอย่างสนุก
นอกจากเหล้าเบียแล้ว ที่นี่ยังมีลูกโป่งที่ใส่แก๊สอะไรไม่รู้ข้างใน
ผมเห็นคนในร้านเอาลูกโป่งมาดูดกันหลายโต๊ะเลย
ส่วนผมไม่กล้าสั่งอ่ะ ใจไม่กล้าพอ
อ่อ เครื่องดื่มมึนเมาที่นี่ราคาถูกมากเลยนะ
ดื่มกันเกือบตาย หารกันคนละไม่กี่ร้อยครับ อันนี้ดีถึงดีมาก 555555555+
มาถึงเรื่องที่จะไม่พูดก็ไม่ได้….
สาวๆเกาหลีนั้น เค้าน่ารักมากจริงๆ ชอบอ่ะ
หน้าตาแบบหมวยๆ เฉี่ยวๆ
(เพียงแต่เราจะจำเค้าไม่ค่อยได้ หน้าตาสวยคล้ายๆกันหมด)
แต่ก็นั่นหล่ะ ไม่เฟรนลี่เลย รู้สึกไม่ค่อยชอบ แฮะๆๆ
ส่วนสาวๆฝรั่ง ไนท์กว่ามากๆ speak English กันจนเมื่อยมือไปหมดดื่มไป เม้าไป ชนกันไป ชนกันมา สนุกดี
และแล้ว......ช่วงเวลาที่พวกเรารอคอยก็มาถึง
ขณะนี้เวลา 0.00 น. ตามเวลานัดพบพอดี
ผมกับเพื่อนๆ ก็ลากสังขาร โซซัด โซเซออกมาหน้าร้าน SAKURA bar เพื่อหาทางไปต่อ the Jungle
แต่แทบไม่ต้องหาทางไปให้เสียเวลา
รถสองแถวที่จอดกันพรึบหน้าร้าน SAKURA bar
ก็กวักมือเรียกพวกเรากันหรอยๆ
Jungle here, Jungle here
อ้าวววววว.....รออะไรหล่ะครับ
ลุ้ยยยยยยยยยยยย 555555+
หลังจากที่พวกเราแบกตัวเองขึ้นรถสองแถวกันได้สำเร็จ
ก็พากันตั้งสติกันบนรถ นับคน เชคของ
เรียกสต่ง เรียกสติ
นั่งรถไปพักใหญ่ 15 นาทีได้มั้ง ก็ถึง the Jungle
เวลาประมาณ 0.30 น.ส่วนข้างใน The Jungle หนะหรา
หนักมากกกก พูดเลยยย
อะฮู๊ อะฮู๊ อะฮู๊ จุ๊กกรู๊
ปาตี้กันหนักมากกกกกกกกกกก
จากนั้นจำไรไม่ได้แล้วอ่ะ กลับถึงที่พักตี 4 มั้ง
บาดเจ็บจน ถึงเย็นวัดถัดไป ไม่ได้ออกไปไหนทั้งวัน
ขยาดกันไปอีกนานเลยทีเดียว
 
สม.....ซ่ากันดีนัก 5555555555+
โฆษณา