7 มี.ค. 2021 เวลา 03:25 • ท่องเที่ยว
KOH SICHANG - เกาะแห่งความรัก
สวัสดี! ท่านทั้งหลาย... และนี่คือบันทึกการเดินทางของข้าพเจ้าที่เกิดจากความตั้งใจที่จะออกเดินทางท่องเที่ยวให้ครบทั้ง 77 จังหวัด ของประเทศไทย! และด้วยเหตุนี้เอง ข้าพเจ้าจึงไม่สามารถที่จะเก็บเรื่องราวการเดินทางของข้าพเจ้าเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว ดังเช่นประโยคหนึ่งจากหนังเรื่อง "Into The Wild" ที่ได้กล่าวเอาไว้ว่า
"Happiness only real when shared - ความสุขจะมีความหมายก็ต่อเมื่อได้แบ่งปัน" ไอ้ย่ะ! ประโยคนี้แหละที่ยังคงติดตรึงอยู่ในใจของข้าพเจ้ามาจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นข้าพเจ้าอยากจะขอแบ่งปันเรื่องราวการเดินทางอันแสนสุขเหล่านี้ให้แกท่านทั้งหลายได้รับชมและรับฟังผ่านตัวหนังสือภาพถ่ายดังจะกล่าวเป็นลำดับถัดไปนี้แล...
สำหรับสถานที่แรกที่ข้าพเจ้าอยากจะแชร์เรื่องราวให้ท่านทั้งหลายผ่านตัวอักษรเหล่านี้ นั่นก็คือสถานที่ที่เรียกได้ว่าเป็น "เมืองแห่งชายทะเลอันอุดมสมบูรณ์" อย่างจังหวัดชลบุรีนั่นเอง โดยการเดินทางในครั้งนี้ข้าพเจ้าเลือกที่จะเดินทางไปยังเกาะที่ถูกขนานนามว่าเป็น "เกาะแห่งความรัก" >< หรือ "เกาะสีชัง" ที่ท่านทั้งหลายน่าจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
Bangkok - Koh Sichang, Chonburi (28 NOV 2020) - ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อที่จะได้ใช้เวลาเรื่อยเปื่อยบนบนเกาะสีชังให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ข้าพเจ้าดันตื่นสาย! แต่ยังไม่สายเกินแก้! ฮ่าๆ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องรีบทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จแบบลวกๆ และออกเดินทางไปยังท่ารถตู้ทันทีทันใด แต่แล้วปัญหาก็
เกิด! เนื่องจากก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าได้ทำการศึกษาข้อมูลการเดินทางไปยังท่ารถตู้ที่จะเดินทางไปยังท่าเรือเกาะลอยแล้วได้ความว่า สามารถไปขึ้นรถตู้ได้ที่สถานีขนส่งเอกมัย อนุสาวรีย์ฯ และสถานีขนส่งหมอชิต โดยข้าพเจ้าได้เลือกเส้นทางที่ใกล้ที่สุดนั่นก็คืออนุสาวรีย์ฯ แต่เมื่อไปถึงและได้สอบถามที่วินรถตู้ข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่า ณ ตอนนี้ไม่มีรถตู้จากอนุสาวรีย์ฯ ไปยังท่าเรือเกาะลอยแล้ว ถ้าจะไปขึ้นรถตู้ต้องไปขึ้นที่สถานีขนส่งเอกมัย หรือสถานีขนส่งหมอชิต จากนั้นให้ลงรถที่ท่ารถตู้โรบินสันศรีราชาแล้วค่อยต่อวินมอเตอร์ไซค์หรือตุุ๊กตุ๊กไปที่ท่าเรือเกาะลอย ด้วยเหตุนี้ทำให้ข้าพเจ้าเสียเวลาไปอีกพักใหญ่ๆ ในการเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเดินทางไปยังสถานีขนส่งเอกมัย :) ยิ้มอ่อน
สำหรับแผนการเดินทางของข้าพเจ้าก็ไม่มีอะไรมากมาย โดยก่อนหน้าที่จะเดินทางไปยังเกาะแห่งความรักนี้ ข้าพเจ้าก็ได้ทำการศึกษาข้อมูลผ่านการเดินทางของหลายๆ ท่าน และได้ข้อสรุปเป็นแผนการเดินทางเอาไว้ดังนี้คือ เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปถึงเกาะสีชังแล้ว ข้าพเจ้าจะเช่ารถ
สกายแลปเที่ยว (สกายแลป คือ ตุ๊กตุ๊ก นั่นแหละจ้า) และให้สกายแลปนำพาข้าพเจ้าไปยังร้านข้าวก่อนเป็นลำดับแรก ฮ่าๆ จากนั้นก็แล้วแต่ว่า
สกายแลปจะนำพาข้าพเจ้าไปยังแห่งหนใดบ้าง แต่ที่สำคัญคือต้องพาตัวข้าพเจ้ามาส่งที่ท่าเรือให้ทันเวลาเป็นพอจ้า
ข้าพเจ้าใช้เวลาสักพักในการเดินทางไปยังสถานีขนส่งเอกมัย และข้าพเจ้าก็ได้ทำการซื้อตั๋วเป็นที่เรียบร้อยในราคา 120 บาท จากนั้นข้าพเจ้าก็ขึ้นรถและใช้เวลาเพียงไม่นานนักข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงท่ารถตู้โรบินสันศรีราชา ซึ่งหลังจากที่ข้าพเจ้าลงจากรถตู้แล้วข้าพเจ้าก็ได้แต่มองหาเมล์เครื่อง ("เมล์เครื่อง" แปลว่า "วินมอเตอร์
ไซต์" เป็นภาษาท้องถิ่นของชาวราชบุรีจ้า ^^) เพื่อที่จะเดินทางไปยังท่าเรือเกาะลอย แต่มองแล้วมองอีกก็ไม่มีเมล์เครื่องเลยสักคัน มีเพียงแค่รถตุ๊กตุ๊กจอดเรียงรายกันอยู่ ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจใช้บริการตุ๊กตุ๊กแทนในราคา 80 บาท (ถ้ามาหลายคนหารกันราคาก็จะถูกลงไปอีกจ้า) เพื่อเดินทางไปยังท่าเรือเกาะลอย ^^
แต่พริบตาเดียวเท่านั้น! ข้าพเจ้าก็เดินทางมาถึงท่าเรือเกาะลอยแล้ว เย้! และข้าพเจ้าช่างโชคดีเป็นยิ่งนัก เพราะข้าพเจ้ามาทันเวลาเรือออกพอดี ณ เวลา 12.00 น. ซึ่งหากข้าพเจ้าขึ้นเรือไม่ทันเรือเที่ยวนี้ ข้าพเจ้าจะต้องขึ้นเรือในรอบถัดไปเวลา 16.00 น. กันเลยทีเดียว โอ้วว... ข้าพเจ้าช่างโชคดียิ่งนัก! ฮ่าๆ และต้องขออภัยท่านทั้งหลาย เนื่องจากข้าพเจ้ามัวแต่จ้องจะขึ้นเรือเลยมิทันได้ถ่ายรูปบริเวณท่าเรือเอาไว้ให้ท่านทั้งหลายได้ชมกัน
สำหรับตารางเวลาเดินเรือของบริษัทนาวาโชคนำทรัพย์ตามด้านล่างเลยจ้า
(อัตราค่าโดยสาร 50 บาท/เที่ยว)
-ศรีราชา (ท่าเรือเกาะลอย) > 09.00, 12.00, 16.00, 18.00
-เกาะสีชัง > 06.45, 10.00, 15.00, 18.00
"สกายแลป แบบคูลๆ"
ในที่สุด! การเดินทางอันแสนยาวนานของข้าพเจ้าก็ได้สิ้นสุดลง ฮ่าๆ ถึงแล้ว! "เกาะสีชัง" สำหรับการนั่งเรือจากท่าเรือเกาะลอยมายังเกาะสีชังนั้นใช้เวลาเพียง 45 นาที เท่านั้นเองจ้า โดยระหว่างทางข้าพเจ้าหลับ! ฮ่าๆ เลยมิได้ชื่นชมวิวแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็คงมิสามารถชมวิวอันใดได้ เนื่องจากที่นั่งของข้าพเจ้านั้นอยู่ชั้นล่าง
จึงทำให้ไม่สามารถมองเห็นวิวใดๆ ได้ทั้งสิ้น ฮาา แต่ก็ไม่เป็นไรจ้า ขากลับก็ได้ ^^
หลังจากเดินขึ้นเรือมาแล้วข้าพเจ้าก็รีบเดินตรงดิ่งไปหารถเช่าสกายแลปทันทีทันใด
เนื่องจากข้าพเจ้าหิวข้าวมากๆ แบบมากถึงมากที่สุด! ^^!
สำหรับใครที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวยังเกาะสีชังนั้น ก็มีวิธีการท่องเที่ยวภายในเกาะอยู่ 2 วิธี ด้วยกันดังนี้จ้า
1.การเช่ารถมอเตอร์ไซต์ - ราคา 250 - 300 บาท/วัน > เหมาะกับใครก็ตามที่รักอิสระ ต้องการใช้เวลาในการละเลียดไปกับบรรยกาศรอบๆ เกาะ
2.การเหมารถสกายแลปเที่ยวภายในเกาะ
-ราคา 250 บาท/วัน - เหมาเที่ยว 4 สถานที่หลักๆ บนเกาะ ได้แก่ ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่, จุดชมวิวช่องเขาขาด หรือช่องอิศริยาภรณ์, สะพานอัษฎางค์ และหาดถ้ำพัง เป็นต้น > เหมาะสำหรับคนที่ขับมอเตอร์ไซต์ไม่ค่อยแข็งแรงเช่นตัวข้าพเจ้า >< หรือคนที่ไม่อยากตากแดด และมีเวลาน้อยก็สามารถท่องเที่ยวและเพลิดเพลินได้กับสถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ ภายในเกาะสีชังแห่งนี้จ้า บอกเลยว่าการนั่งสกายแลปเที่ยวก็ชิวไปอีกแบบนะจ๊ะ นั่งเพลินๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ ช่างสุขสำราญเป็นยิ่งนัก :)
-ราคา 300 บาท/วัน - เหมาเที่ยวรอบเกาะ >เหมาะสำหรับคนที่มีเวลาเยอะ และอยากจะเที่ยวให้คุ้มที่สุด นานๆ จะมีโอกาศได้มาติดเกาะสักทีก็ขอเที่ยวให้คุ้มหน่อยแล้วกันวะ! ^^
หลังจากข้าพเจ้าทำการเช่าสกายแลปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ให้พี่สกายแลป
นำพาข้าพเจ้าไปยังสถานที่แรกของวันนี้นั่นก็คือ "ร้านข้าว" เนื่องจากข้าพเจ้าหิวข้าวมากมาย ฮ่าๆ โดยพี่สกายแลปพาข้าพเจ้ามาปล่อยไว้ที่ร้านข้าวแล้วกล่าวว่า หากกินข้าวเสร็จเรียบร้อยและพร้อมออกเดินทางก็โทรมาโลด.... พร้อมทั้งทิ้งเบอร์เอาไว้ให้จ้า
"ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่"
ข้าพเจ้าใช้เวลาเพียงไม่นานในการละเลียดข้าวที่อยู่บนจานจนอิ่มหนำสำราญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ทำการต่อสายตรงถึงพี่สกายแลปให้มารับข้าพเจ้าทันที เพียงไม่นานนักพี่สกาย
แลปก็มาถึงร้านข้าวและนำพาข้าพเจ้าเดินทางไปยังสถานที่แรกตามโปรแกรมนั่นก็คือ "ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่" โดยศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองของผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะสีชังแห่งนี้ หากใครที่มีโอกาศได้เดินทางมาท่องเที่ยวบนเกาะสีชังแล้วก็สามารถเดินทางมาสักการะบูชาเจ้าพ่อเขาใหญ่กันได้เลย นอกจากนั้นยังมีความเชื่อว่าหากใครได้มากราบไหว้ขอพรติดต่อกัน 3 ปี ท่านจะสมปราถนาในสิ่งที่ขอนั่นเอง! ข้าพเจ้าขอไปหลายเรื่องกันเลยทีเดียว ^^
"ช่องเขาขาด หรือ "ช่องอิศริยาภรณ์"
"ช่องเขาขาด หรือ "ช่องอิศริยาภรณ์"
หลังจากสักการะบูชาเจ้าพ่อเขาใหญ่ และดื่มด่ำกับวิวทิวทัศน์อันสวยงามเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้เวลาเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป นั่นคือ "ช่องเขาขาด หรือ "ช่องอิศริยาภรณ์" ซึ่งที่นี่จะมีลักษณะเป็นช่องเขาที่ขาดแยกออกจากกันตั้งอยู่
ด้านหลังเกาะทางทิศตะวันตกติดกับแหลม
มหาวชิราวุธ โดยหากใครที่ได้มาที่นี่ตอนเย็นๆ ท่านจะได้ชื่นชมกับวิวอันแสนงดงามของพระอาทิตย์ตกดินอย่างแน่นอน! แต่หากใครมาช่วงบ่ายแก่ๆ เช่นข้าพเจ้าแล้วละก็ท่านจะได้อาบแสงแดดอันร้อนแรงและรับวิตามินดีๆ จากพระอาทิตย์เป็นแน่แท้ ฮ่าๆ ที่สำคัญคืออย่าลืมทาครีมกันแดดมากันน้า
"สะพานอัษฎางค์"
หลังจากข้าพเจ้าได้อาบแดดจนไหม้เกรียมแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอไปเดินเล่นที่ "พระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน" ที่ซึ่งมี "สะพานอัษฎางค์" ที่ถูกสร้างเอาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนบนเกาะแห่งนี้ โดยเมื่อก่อนที่เกาะสีชังตอนเวลาที่น้ำลงนั้น ชาวบ้านไม่สามารถนำเรือเข้ามาจอดเทียบถึงชายหาดได้ ทำให้ต้องเดินลุยน้ำขึ้นลงเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่งนัก! แถมยังถูกเปลือกหอยบาดเข้าไปอี๊ก! ทำให้รัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานแห่งนี้ขึ้นเพื่ออำนวยความ
สะดวกให้แก่ราษฎรที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้นั่นเองจ้า
หากจะกล่าวถึงผู้คนที่อาศัยอยู่บนเกาะแห่งนี้แล้วนั้น ข้าพเจ้าบอกเลยว่ามีความเป็นมาอันยาว
นานมากๆ โดยในช่วงยุคต้นๆ ของสมัยรัตนโกสินทร์นั้นก็ได้มีการมาอยู่อาศัยของผู้คนแล้ว ซึ่งในแรกเริ่มเดิมทีที่เกาะแห่งนี้ยังเป็นเพียงชุมชนเล็กๆ มีผู้คนอาศัยอยู่เพียงไม่กี่หลังคาเรือนเท่านั้น โดยอาชีพหลักๆ ของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็คืออาชีพประมงและเกษตรกรรมนั่นเอง ซึ่ง ณ ตอนนั้นผู้คนบนเกาะแห่งนี้ทำอาชีพการประมงเพื่อยังชีพเท่านั้น หากวันใดหาปลาปูมาได้เยอะจนเหลือและทานไม่หมดก็จะถูกแบ่งเอาไปให้เพื่อนบ้าน และนอกจากนั้นยังมีการแลกเปลี่ยนพวกเครื่องนุ่งห่มกันอีกด้วย ซึ่งหลังจากที่สยามประเทศได้มีการติดต่อค้าขายสินค้าต่างๆ กับประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอาชีพของผู้คนที่นี่ จากเดิมที่ทำ
การประมงและการเกษตรเพื่อยังชีพก็ปรับเปลี่ยนมาเป็นการค้าขายเชิงพาณิชย์กันมากขึ้นนั่นเองจ้า
"เรือนไม้ริมน้ำ"
นอกจากนั้น ณ สถานที่แห่งนี้ ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมกับความสวยงามของวิวทิวทัศน์รอบๆ พระราชวังอีกด้วย บอกได้เลยว่าสถานที่แห่งนี้ช่างโรแมนติกเป็นยิ่งนักแล… ข้าพเจ้าเดินชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้พบกับเรือนไม้สีเขียวหลังหนึ่งที่มีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมอันงดงามยิ่งนัก ซึ่งเรือนไม้แห่งนี้ก็คือ "เรือนไม้ริม
น้ำ" หรือเรียกอีกชื่อว่า "เรือนขนมปังผิง" ที่ซึ่งได้มีการสันนิษฐานเอาไว้ว่าน่าจะเป็นที่พักตากอากาศของชาวดัทช์หรือชาวฮอลันดามาก่อน โดยต่อมารัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงและใช้เป็นที่ประทับแรมของพระราชวงศ์นั่นเองจ้า
"เรือนวัฒนา"
ข้าพเจ้าเดินมาไม่ไกลมากนักก็แลเห็นเรือนไม้อีกหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเล อยู่ใกล้ๆ กับเรือนไม้ริมน้ำนั่นก็คือ "เรือนวัฒนา" ซึ่งเรือนไม้หลังนี้ รัชกาลที่ 5 ท่านทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่พักสำหรับผู้ป่วยที่เดินทางมารักษาตัวที่เกาะสีชังแห่งนี้นั่นเองจ้า
ต่อจากนี้... ข้าพเจ้าขอนำพาทุกท่านเดินเยี่ยมชมบรรยากาศรอบๆ พระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน และข้าพเจ้าขอบอกเลยว่า ณ สถานที่แห่งนี้บรรยากาศดีมากๆ :)
"บรรยากาศโดยรอบ พระราชวังพระจุฑาธุชราชฐาน"
หลังจากข้าพเจ้าเดินเล่นอยู่พักหนึ่งก็ได้เวลาอันสมควรแล้ว โดยข้าพเจ้าตั้งใจที่จะไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ "หาดถ้ำพัง" หรือ "อ่าวอัษฎางค์" เพราะที่นี่เป็นอีกหนึ่งจุดในการชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง! โดยที่มาของชื่อหาดถ้ำพังคือ ที่นี่เคยมีถ้ำพังตัวลงมา ณ บริเวณชายหาดทำให้ชาวบ้านเรียกที่นี่ว่าหาดถ้ำพังนั่นเอง นอกจากนั้นที่นี่ยังเป็นหาดที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับการเล่นน้ำอีกด้วยนะจ๊ะ
"จุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ณ หาดถ้ำพัง"
เป็นเวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว และก็ได้เวลาอันสมควรของข้าพเจ้าที่จะต้องขึ้นเรือเที่ยวสุดท้ายเพื่อเดินทางออกจากเกาะแห่งความรักเสียแล้ว ><
"บริเวณท่าเรือ ณ เกาะสีชัง"
ข้าพเจ้าขอบอกว่าขากลับข้าพเจ้าได้นั่งเรือชั้นบนนะจ๊ะ :) และวิวก็ช่างงดงามเป็นยิ่งนักแล…
"แสงสุดท้ายของวัน ณ เกาะสีชัง"
อ้างอิง
http://digital_collect.lib.buu.ac.th/dcms/files/56920814.pdf
โฆษณา