9 มี.ค. 2021 เวลา 14:39 • นิยาย เรื่องสั้น
#ตอนที่ ๘ [วัยรุ่นคะนองกรุง]
#หนึ่งบวกหนึ่ง
ปฏิกิริยาของบรรดาหนุ่มเจ้าถิ่นที่แสดงออกถึงความเป็นปรปักษ์อย่างแจ้งชัด ไม่ได้ทำให้นักบู๊จากตรอดสาเกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ก่อนมาเขาก็ประเมินสถานการณ์และอ่านขาดไว้ล่วงหน้าว่ามันจะต้องเป็นรูปนี้!
นอกจากจะไม่แปลกใจและไม่แสดงอาการหวาดไหวพรั่นพรึง เจ้าของฉายาระเบิดขวดยังปั้นยิ้มซื่อให้กับสายตาดุดันของฝ่ายตรงข้าม ที่พากันจ้องมองราวจะกินเลือดกินเนื้อก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
"ไม่ต้องตื่นเต้นกันไปหรอก เรามาดี!"
#ปุ๊กรุงเกษม จอมกรี๊ดตัวซ่าซึ่งเป็นหัวหน้าทีม เบะปากยักไหล่พรืด!
"ใครเชื่อวะ! นายข้ามฝั่งมาทีไรก็เห็นเล่นพวกเราอานทีนั้น ไม่ว่าจะเป็นที่ร้านสัมพันธ์หรือในตรอกสารภี แล้วนี่จะมาเล่นใครอีกล่ะ?"
"เรามาหานาย"
"ได้! เพื่อไม่ให้หมวยจูต้องพลอยเดือดร้อนข้าวของแตกหักเสียหาย เราเจอกันข้างนอกตัวต่อตัว เดี๋ยวนี้เลย!"
จอมลุยแห่งย่านวงเวียนเล็กสรุปรวบรัดฉับไวประสาคนเลือดร้อนใจถึง และขยับจะก้าวผละจากโต๊ะ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อหนุ่มต่างถิ่นชิงยกมือห้าม
"ไม่นะ! เราต้องการพูดคุยปรับความเข้าใจกัน ไม่ได้คิดจะมารบ!"
"เอ๊ะ....?!"
"ไม่สังเกตมั่งรึว่าเรามาคนเดียว ไม่มีใครติดสอยห้อยตามเลย"
หัวโจกเจ้าถิ่นหรี่ตามองดูคู่อริอย่างไม่วางใจ
"นายจะเอาไงแน่....?"
"ก็บอกแต่แรกแล้วว่าเรามาดี มีธุระปะปังที่จะเจรจากะนายอย่างสันติ"
"งั้นก็ว่าไป"
"ขอคุยเป็นส่วนตัวได้มั้ย? ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไรหรอก เพียงแต่เราต้องการโอกาสชี้แจงกะนาย โดยไม่มีใครอื่นมาคอยสอดแทรกให้เสียจังหวะ"
ปุ๊ กรุงเกษม ขบริมฝีปากนิ่งตรองอยู่ไม่กี่วินาทีก็พยักหน้าหงึก หมุนตัวเดินไปจ่อมก้นลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะเล็กก้นร้าน ห่างจากโต๊ะกลางพอสมควร #เจตน์หลังวัง กับพรรคพวกยอบนั่งลงที่เก่าเมื่อรูปการณ์ส่อเค้าว่าไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง ดาวมฤตยูตรอกสาเกระบายลมหายใจแผ่วสืบเท้าตามไปทรุดนั่งลงตรงข้ามกับจอมกรี๊ด แล้วเริ่มต้นใช้ลิ้นการฑูต
"คืองี้นะปุ๊ ไอ้ที่แล้ว ๆ มาเราอยากให้นายลืมมันซะ" เจ้าถิ่นเลิกคิ้ว
“แปลว่านายจะขอดีกะเรา....?"
"กะพรรคพวกนายทุกคนด้วย มันไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเป็นศัตรูกัน"
"แน่ใจรึเปล่าล่ะ?"
"ยิ่งกว่าแน่!"
"เอาละ เมื่อนายดีมาเราก็โอเค ลูกผู้ชายไม่จำเป็นต้องพูดกันหลายคำ"
"ขอบใจ นอกจากนี้.....เรายังมีความคิดเห็นบางอย่างเป็นข้อเสนอแนะที่ไม่น่าจะมองข้าม"
"เรอะ ก็ลองว่ามาสิ"
#ปุ๊ระเบิดขวด ยืดอกอัดลมเข้าปอดลึกๆ แล้ววางมาดขรึมเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังเป็นการเป็นงาน
"ในบรรดาตัวเจ็บฝั่งนี้ ต้องนับว่านายเป็นหนึ่ง ขณะเดียวกัน...เราก็หนึ่งอยู่ทางฝั่งโน้น"
หัวโจกเจ้าถิ่นผงกศรีษะ
"ข้อนี้เราเชื่อ"
"ซึ่งเมื่อใดที่หนึ่งกับหนึ่งมารวมกัน ใครก็ยากที่จะขวาง ถูกมั้ย?"
"ก็ถูก"
"ถ้าเริ่มต้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่ช้า....เราทั้งคู่ก็อาจจะสร้างบารมีแผ่อิทธิพลครอบคลุมวงนักเลงไว้ได้ทั้งหมด!"
จอมซ่าแห่งฝั่งธนฯ เบิกตาวาว!
"เฮะ! นี่หมายความว่า.....?"
นักบู๊จากตรอกสาเกแผ่วหัวเราะลึกๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
"เราต้องการนายเป็นเพื่อนเดินลุยด้วยกันรวมสองปุ๊เป็นหนึ่งเดียว!"
ปุ๊ กรุงเกษม จอมซ่าไร้เทียมทานแห่งวงเวียนเล็ก จ้องสบตานักบู๊เจ้าของฉายาระเบิดขวดนิ่งอั้นอยู่เป็นครู่ ถึงได้เบือนหน้าไปเหมื่อมอง เจตน์ หลังวัง กับบรรดาสมาชิกร่วมทีมวัยรุ่นฝั่งธนฯ ซึ่งนั่งแยกกันคนละโต๊ะอย่างครุ่นคิดใคร่ครวญ นับตั้งแต่เกิดศึกร็อคละเลงเลือดในวัน ‘เจมส์ ดีน รำลึก’ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๐๓ เจตน์ ซึ่งได้รับบาดเจ็บค่อนข้างสาหัสไม่บันเบาด้วยคมปังตอของเสือร้ายสะพานขาว ก็ออกจะเริ่มล้าและมีทีท่าเบื่อหน่ายระทดท้อต่อการผาดโผนในยุทธจักร
ความกระเหี้ยมกระหือฮึกเหิมที่เคยมี ถอยถดลดราลงเห็นได้ชัด! ผิดกับเขาซึ่งดีกรีความซ่ากลับเพิ่มทวีขึ้นไม่หยุดยั้ง! เจตน์ หลังวัง ดูคล้ายอยากจะวางมือ และปุ๊เองก็ไม่ต้องการเหนี่ยวรั้งฉุดดึงเจตน์หรือใครอื่นในถิ่นเดียวกันให้ร่วมดันทุรังโลดแล่นอยู่บนเส้นทางแห่งความรุนแรงอีกต่อไป เพราะเหตุการณ์ที่โรงภาพยนต์กรุงเกษมคราวนั้น มันคอยตอกย้ำให้รู้สึกผิดในหัวใจอยู่เสมอว่าตัวเองเป็นคนพาเพื่อนไปประสบเคราะห์กรรมบาดเจ็บแทบล้มประดาตาย แต่ก็อีกนั่นแหละ! หากเขายังเดินกร่างอยู่ในละแวกนี้ทุกคนก็คงเกาะกลุ่มเฮไหนด้วยเหมือนเดิม! จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่มีทางที่จะกีดกันผลักไสพวกพ้องให้หลุดออกไปจากวังวนอันล่อแหลมต่อความเลวร้าย วิธีเดียวที่จะทำให้แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ก็คือเป็นฝ่ายปลีกตัวไปเสียเอง!
ซึ่งบัดนี้ก็ถึงเวลาและโอกาสอันเหมาะยิ่ง เขาควรจะข้ามเจ้าพระยาไปร่วมวงไพบูลย์กับ ปุ๊ ระเบิดขวด ปล่อยให้ผองเพื่อนฝั่งนี้ได้อยู่กันอย่างเรียบง่ายและสงบสุข ตามปกติวิสัยของใครของมัน และส่วนใหญ่น่าจะพบทางเลือกที่ดีกว่าไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อไม่มีหัวโจกเป็นตัวนำคอยชักพาเข้ารกเข้าพง แต่ละคนย่อมต้องเลือกเดินในเส้นทางที่ไม่เสี่ยงกับขวากหนามแหลมคม ดาวดังฝั่งธนบุรีนิ่งตรองอยู่ในลักษณะนั้นนานโข จนกระทั่งนักบู๊ตรอกสาเกซึ่งรอฟังคำตอบด้วยความอึดอัดกระวนกระวาย เอ่ยถามขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้
"ไหงเงียบไปล่ะ ปุ๊? รึว่านายไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเรา?"
หนุ่มคะนองจอมกรี๊ดเบือนหน้ากลับมาสบตาคู่สนทนาพลางว่าเสียงขรึม
"เราเห็นด้วย แต่ก็ยังติดที่เพื่อนซี้ของนาย"
"นายหมายถึงใคร?"
"หล่อ ปังตอ!"
"อ้อ...."
"นายก็รู้ หล่อกะเราไม่ถูกกัน"
"แต่มันอยู่ในคุก"
"ติดคุกมีวันออกนะปุ๊ ถ้าหล่อออกมาเจอเราเดินกะนาย เชื่อได้เลยว่ายุ่งแน่"
เจ้าถิ่นบางลำภูโบกมือ
"ข้อนี้ไม่ต้องเป็นห่วง เราจะเคลียร์ให้"
"ยังมีอีกเรื่องนึง"
"เรื่องอะไร?"
"เพื่อนอีกน่ะแหละ!"
"เอ๊ะ...?"
"ถ้าเดินด้วยกัน เราพร้อมที่จะเดินเคียงบ่าเคียงไหล่นายชนกะหน้าไหนก็ได้ เว้นอยู่คนเดียว"
"ใครล่ะ ?"
"แดง ไบร์เลย์"
จอมวางแผนจากตรอกสาเกสะอึกอึ้ง ขบริมฝีปากเงียบงันอยู่ร่วมสิบวินาทีถึงได้เอ่ยเสียงเคร่ง
"ศัตรูหมายเลขหนึ่งของเรา ก็คือไอ้แดง"
หัวโจกวัยรุ่นฝั่งธนฯ ยืดอก เน้นเสียงหนักแน่นจริงจัง
"แต่เรากับมันเป็นเพื่อน!”
"แล้วเราล่ะ?"
"นายก็ไม่ใช่ศัตรู!"
"โอเค แค่ได้ยินนายพูดคำนี้เราก็พอใจเรื่องไอ้แดง เราไม่ให้นายยุ่งก็แล้วกัน"
จอมกรี๊ดแยกเขี้ยวยิ้มกว้าง
"งั้นก็ไม่มีปัญหา ต่อจากนี้....สองปุ๊จะรวมเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งบวกหนึ่ง....เป็นหนึ่ง!"
จบคำ ทั้งคู่ยันตัวลุกขึ้นยืนมือข้ามโต๊ะบีบกันแน่นกระชับ! มันยิ่งกว่าการเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร เพราะนั่นคือการประกาศสัจจะตามแบบฉบับลูกผู้ชาย! และพอทั้งสองฝ่ายคลายมือ ทูตสันถวไมตรีจากฝั่งกรุงเทพฯ ก็เอ่ยเสียงใส
"เรายินดีที่ได้เพื่อนอย่างนาย"
เจ้าถิ่นฝั่งธนฯ ผงกศรีษะ
"เช่นกัน"
"พรุ่งนี้เราจะไปเยี่ยมหล่อที่คลองเปรมนายต้องไปด้วยนะ จะได้พูดคุยปรับความเข้าใจกันให้หมดเรื่องหมดราวรึไง?"
"ก็ไม่เลวนี่ เวลาล่ะ?"
"สิบโมงเช้า จะให้เรามารับรึว่า....?"
"ไม่ต้องหรอก เจอกันที่หน้าคุกเลยดีกว่าข้ามไปข้ามมาเสียเวลาเปล่า"
"งั้น...เรากลับก่อน"
"โชคดี เพื่อน!"
ปุ๊ ระเบิดขวด หมุนตัวผละจากโต๊ะเจรจาทำสัญญาสันติภาพที่ไม่ต้องลงนาม โบกมือแย้มยิ้มให้ เจตน์ หลังวัง กับพวกพ้องอย่างมีไมตรี ก่อนเดินออกหน้าร้านหายลับ ส่วน ปุ๊ กรุงเกษม สาวเท้ากลับไปหาวงเหล้าจ่อมก้นลงบนเก้าอี้ตัวเก่าแล้วเอ่ยเรียบๆ
“ไอ้ปุ๊เขามาขอญาติดีกะพวกเรา"
เจตน์พยักหน้าเนือยๆ
"ข้ารู้ ถึงจะฟังไม่ค่อยถนัดก็ยังพอจับความประติดปะต่อกันได้มั่ง"
"ต่อไปนี้ไม่มีอะไรกันแล้ว ทุกคนสามารถเดินได้สบายทั้งสองฝั่ง โดยไม่ต้องคอยระวังระแวงว่าจะโดนเล่น"
"ไม่จำเป็นต้องบอกหรอก.....เพื่อน แค่เห็นเอ็งจับมือกันข้าก็อ่านรูปการณ์ได้ทะลุ"
ปุ๊ กรุงเกษม โคลงศรีษะยิ้มๆ
"เอ็งเข้าใจผิด ได้ที่จับมือน่ะมันอีกเรื่องหนึ่ง"
"เอ๊ะ?"
"นั่นเป็นการยืนยันว่าข้ากะไอ้ปุ๊ จะเดินด้วยกัน"
เจตน์ หลังวัง ซึ่งวางท่าขรึมไม่ยินดียินร้ายมาตั้งแต่ต้นถึงกับสะดุ้ง ตาเบิกวาว!
"เอ็งจะเดินคู่กะปุ๊ ระเบิดขวด?"
เขาตวัดเสียงตื่นๆ ก่อนที่คู่สนทนาจะพยักหน้ารับ
"ใช่ แต่ไม่ใช่มาซ่าแถวนี้นะ ข้าจะข้ามไปประกาศศักดาฝั่งโน้น"
"ให้ตายเถอะ! นี่เอ็งนึกยังไงขึ้นมา....?"
"ข้าอยากหาประสบการณ์ อยู่หยั่งงี้มันชักเซ็งว่ะ ไม่มีอะไรตื่นเต้น เอ็งคงไม่คิดว่าข้าทิ้งเพื่อน"
"ไม่เลย ข้าห่วงตัวของเอ็งตะหากล่ะ"
ดาวดังฝั่งธนฯทำหน้านิ่ว
"ไม่เห็นจะน่าห่วงตรงไหน"
"ปุ๊ ไอ้บ้านั่นมันตัวอันตรายชัดๆ"
"อันตรายยังไง?"
"ปัทโธ่! ใครๆเขาก็รู้กันทั่วไปว่า ปุ๊ ระเบิดขวดน่ะจอมหาเรื่อง วันๆ เอาแต่เที่ยวสร้างศัตรู!"
"ก็เรื่องของมัน"
เจตน์ หลังวัง ทำตาถลน!
"แต่เอ็งเดินกะมันนะโว้ย! มีเรื่องก็ต้องมีด้วยกัน ซักวันจะเจอดี!"
"ถึงไงตอนนี้ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ข้าตกปากรับคำไปแล้ว"
"ข้าเข้าใจ ไอ้ที่พูดก็เพียงจะเตือนเพื่อนให้ระวังตัวไว้บ้าง เท่านั้นเอง"
ปุ๊ กรุงเกษม สบตาคู่สนทนาแน่วนิ่ง ยิ้มลึกๆ ที่มุมปากก่อนเน้นเสียงแน่นหนัก
"ขอบใจเพื่อน ข้าจะระวัง!"
หล่อ ปังตอ ไม่เพียงแต่จะรู้สึกตื่นเต้นเท่านั้น เขายังนึกฉงนฉงายงุนงงอยู่ครามครันเมื่อได้ยินเสียงประกาศเรียกตัวไปห้องเยี่ยมญาติเนื่องจากมีญาติมาเยี่ยม หนุ่มหน้าจืดมองไม่เห็นว่าญาติโกโหติกาที่ไหนจะถ่อสังขารมาหาเขาถึงในคุก พ่อกับแม่นั้นเลิกคิดได้เลย! ทั้งสองท่านซึ่งปวดร้าวขมขื่น เสียอกเสียใจและผิดหวังอย่างรุนแรงกับพฤติกรรมของลูกชายที่เคยหมายจะได้ฝากผีฝากไข้ ไม่มาดูดำดูดีแน่นอน
จริงอยู่ ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ตัดลูกไม่ขาด แต่ตอนนี้ เขาเชื่อว่าท่านยังไม่หายโกรธ ซึ่งหล่อก็ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจ หรือนึกตำหนิติติงบุพการี เขามันไม่ดีเอง! เด็กหนุ่มครุ่นคิดพลางย่ำย่างปะปนไปกับบรรดาผู้ต้องขังกลุ่มใหญ่กว่ายี่สิบนาย ที่ได้ "เยี่ยมญาติ" พร้อมกัน พักเดียว ทั้งหมดก็ทะยอยกันก้าวผ่านเข้าประตูห้องแคบๆ ยางประมาณสิบเมตร กั้นด้านหน้าด้วยลูกกรงเหล็กแข็งแรง แบ่งนักโทษกับผู้มาเยี่ยมไว้คนละส่วน และนั่นแหละ คือห้องเยี่ยมญาติ! ทันทีที่ก้าวหลุดเข้าไป หูทั้งสองข้างก็แทบแตกด้วยเสียงผู้ต้องขังและคนมาเยี่ยมจำนวนทัดเทียมกัน แหกปากแหกคอตะโกนโต้ตอบกันดังเอ็ดอึง ฟังไม่ได้ศัพท! ทุกคนต้องตะเบ็งเสียงแข่งขันกันสุดฤทธิ์สุดเดช!
ขืนพิรี้พิไรออดอ้อนออเซาะเจ๊าะแจ๊ะ แบบนางเอกไปเยี่ยมพระเอกตอนติดคุกอย่างที่เคยเห็นในหนังไทย ไม่มีทางรู้เรื่องกันเด็ดขาด เพราะฉะนั้น ถ้าปากอมดอกพิกุลก็อย่าดันทะลึ่งไปเยี่ยมคนคุก! เสือร้ายสะพานขาวพยายามเบียดเสียดมุดแหวกเพื่อนนักโทษเข้าไปยืนชิดลูกกรงเหล็ก สอดส่ายสายตามองหาคนมาเยี่ยมซึ่งชุลมุนชุลเกโบกไม้โบกมือโหวกเหวกโวยวายอยู่ข้างนอก และแล้วก็มีเสียงตะโกนเรียกแผดลั่นขึ้นแทรกซ้อนเสียงผู้คนประดามีที่แหกปากปประสานกันอึงคะนึง
"เฮ้ย! หล่อ! ทางนี้โว้ย! หล่อ!"
เขาจำได้แม่นยำว่าเป็นเสียงนักบู๊ตรอกสาเก และพอฉวัดตามองเห็นก็ต้องร้อนวาบไปทั้งตัว! ปุ๊ ระเบิดขวด มาเยี่ยมเขาจริง แต่ที่มาด้วยและยืนเคียงข้างคือศัตรูตัวฉกาจที่เคยฟาดฟันกันอย่างถึงพริกถึงขิง! แน่ละ ย่อมเป็นปุ๊ กรุงเกษม!
หล่อ ปังตอ เหยียดนิ้วชี้หน้าเจ้าถิ่นบางลำภูและถลึงตาแผดตวาดอย่างดาลเดือด
"ไอ้ปุ๊! เอ็งเอาไอ้หมอนี่มาเดินด้วยได้ยังไงหา?"
"อย่าเพิ่งโมโห...." อีกฝ่ายตะเบ็งเสียงตอบ ".....ตอนนี้ข้ากะปุ๊เจิดไม่มีอะไรกันแล้ว ที่พามันมาเยี่ยมก็เพื่อเคลียร์กะเอ็งให้รู้เรื่องกัน"
"จำเป็นนักรึที่ต้องคบกะไอ้นี่?"
"หล่อ ข้ากำลังมีปัญหากะไอ้แดงนะ ถึงได้เอาปุ๊เจิดมาเป็นเพื่อนเดิน"
"ทำไมต้องเป็นมันด้วยวะ คนอื่นไม่มีแล้วเรอะ?"
"ข้ามองไม่เห็นใคร ว่าแต่เอ็งเถอะ จะได้ออกเมื่อไหร่ เร็วๆนี้รึเปล่า?"
หนุ่มหน้าจืดสั่นหัว
"ไม่ คงอีกเป็นปีหรืออาจจะนานกว่านั้น"
ตัวแสบจากตรอกสาเกทำตาโต
"เฮ้ย! ไหงงั้นน่ะ?"
"ข้ายังมีคดีเก่า ก็ไอ้เรื่องแทงคนที่พรานนกน่ะแหละ"
"อีกตั้งเป็นปีข้าจะรอได้ยังไง เอ็งต้องปล่อยให้ข้าเดินกะปุ๊เจิดแล้วล่ะ ลืมเรื่องเก่าซะดีกว่า แล้วหันมาคบกันเป็นเพื่อนฝูง"
"เมื่อเอ็งต้องการหยั่งงั้น....ก็ได้"
"แปลว่าเอ็งไม่ขัดข้อง?"
เสือร้ายสะพานขาวผงกศรีษะตะโกนบอกชัดคำ
"ปุ๊เจิดเป็นเพื่อนเอ็ง ข้าก็จะถือว่ามันเป็นเพื่อนเหมือนกัน"
นักเลงโตใจถึงมักคุยกันง่ายไม่เยิ่นเย้อยืดเยื้อ และได้ความหมายแน่นอนชัดเจน! หากยืนยันเป็นศัตรู ก็คือศัตรูเต็มตัว และเมื่อยอมรับเป็นเพื่อน ก็คือเพื่อนแท้จริงไม่มีหมกเม็ดซ่อนมีดไว้แทงทีหลัง ดังนั้น ปุ๊ ระเบิดขวด กับปุ๊ กรุงเกษม จึงอำลาหล่อ ปังตอ ออกจากเรือนจำคลองเปรมด้วยความปลอดโปร่งสบายใจ ไม่มีอะไรเป็นกังวลให้อึดอัดขัดข้อง
ทั้งคู่เร่เข้าวังบูรพา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากลหุโทษเตร็ดเตร่ตระเวรโชว์ตัวเหมือนจะประกาศให้ยุทธจักรวัยรุ่นได้รับรู้ว่าสองเสือจากคนละฟากฝั่งเจ้าพระยากลับกลายเป็นพันธมิตรมาเดินเคียงกัน พอตะวันคล้อยบ่าย นักบู๊ตรอกสาเกก็เริ่มออกลาย "จอมหางาน" ขณะนั่งละเลียดโอเลี้ยงอยู่ในร้านหรดีย่านหลังวัง
"กะเดี๋ยวไปธุระกันหน่อยนะ"
ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งกำลังนั่งคลึงแก้วเหม่อมองออกไปนอกร้าน หันมาขมวดคิ้ว
"ที่ไหน?"
"แถวหลังวัดมะกอก?"
"อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ?"
"ใช่"
"ไปทำอะไรล่ะ?"
ปุ๊ ระเบิดขวด แค่นยิ้มดุๆ ที่มุมปากก่อนบอก
"คิดบัญชีเก่า เรามีคู่แค้นที่ยังค้างชำระอยู่รายนึง!"
"ใคร?"
"ไอ้อ๊อด #อ๊อดสวนเงิน นายพร้อมที่จะไปกะเรารึเปล่า?"
"พร้อม!"
ไอ้รุ่นแสบแห่งย่านวงเวียนเล็กพยักหน้าตอบรับอย่างไม่อิดเอื้อน ทั้งๆที่เสียงท้วงติงของ เจตน์ หลังวัง ยังกังวานอยู่ในความทรงจำ
"....ใครๆ เขาก็รู้กันทั่วว่า ปุ๊ ระเบิดขวด น่ะจอมหาเรื่อง วันๆเอาแต่เที่ยวสร้างศัตรู!"
เขาก็ไม่เก็บมาคิดทบทวนให้เสียเวลา ทว่า แม้จะยังจดจำคำเตือนของเพื่อนติดหู ใจมันอยากจะซ่า และรักที่จะลุยระเบิดเถิดเทิงไปกับนักบู๊ตรอกสาเก!
ด้วยสภาพการจราจรที่ยังสะดวกราบรื่นไม่ติดขัดเหมือนกรุงเทพฯ ยุคปัจจุบัน เพียงไม่ถึงชั่วโมงให้หลัง สองหนุ่มอันตรายพร้อมด้วยลิ่วล้อติดตามอีกหนึ่งหน่อก็โดดลงจากรถประจำทางตรงป้ายจอดริมถนนพระรามที่ ๖ ใกล้ๆสี่แยกตึกชัย จากนั้นก็ข้ามถนนเดินเอ้อระเหยเข้าซอยสวนเงิน ซึ่งแน่นครึ่ดไปด้วยบ้านเล็กเรือนน้อยปลูกชิดติดต่อหลังคาก่ายเกยกันชนิดทีไก่บินไม่ตกพื้น ตามแบบฉบับของแหล่งเสื่อมโทรมหรือที่เรียกกันสั้นๆว่าสลัม
ซึ่งมันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในซอยสวนเงินเท่านั้น แต่ยังกินบริเวณด้านหลังโรงพยาบาลพระมงกุฎฯ กว้างไกลครอบคลุมไปถึงย่านหลังวัดมะกอก และมีเส้นทางซอกเล็กตรอกน้อยเชื่อมทะลุติดต่อกันหมด! ปุ๊ ระเบิดขวด เดินนำกลุ่มซอกซอนเข้าแยกโน้นแยกนี้คดเคี้ยววกวนไปอย่างคล่องแคล่วชำนาญทาง พักใหญ่ๆ เขาก็พาเลี้ยวเข้าร้านกาแฟซอมซ่อมุงหลังคาด้วยสังกะสีเขรอะสนิม ตั้งโต๊ะยาวเก่าคร่ำ ประกอบติดม้านั่งไว้เพียงตัวเดียว เจ้าของร้าน ซึ่งเป็นชายจีนวัยค่อนคนกำลังแกะซองบุหรี่นับขายปลีกให้ไอ้หนูวัยไม่เกินสิบขวบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่ามอมแมมขาดปุปะซึ่งยืนรออยู่ใกล้ๆ นักบู๊จากตรอกสาเกปราดเข้าไปยิงคำถามอย่างไม่รีรอ
"แปะ เห็นไอ้อ๊อดมั้ย?"
คนแก่เชื้อจีนหย่อนบุหรี่สิบมวนลงในซองพลาสติก ยื่นให้ลูกค้าตัวเล็กแล้วหันมาเลิกคิ้ว
"ลื้อมีธุระอะไรกะอีล่ะ?"
"อั๊วเป็นเพื่อนซี้ไอ้อ๊อด มันนัดให้มาหา"
"งั้นไปกะหนูซี...." เด็กชายตัวจ้อยสอดขึ้น "....นี่หนูก็มาซื้อบุหรี่ให้น้าอ๊อดเค้า"
ปุ๊ระเบิดขวด ทำตาโต ก้มลงตวัดเสียงถามเร็วปรื๋อ
"เรอะ มันทำอะไรอยู่ล่ะ?"
"เขย่าไฮโล!"
ไอ้หนูตอบสั้นๆ คว้าเชือกหิ้วกระป๋องโอเลี้ยงบนโต๊ะยาวแล้วก้าวปราดออกจากร้าน แน่นอน สองหนุ่มอันตรายกับอีกหนึ่งลิ่วล้อไหวตัวจ้ำตามทันควัน!
อ๊อด สวนเงิน วัยรุ่นตัวเจ็บแห่งย่านหลังวัดมะกอก บรรจงวางอุ้งมือขวาทาบลงบนก้นถ้วยครอบลูกไฮโลกางนิ้วเกาะขอบจานยกลอยขึ้นจากพื้น ท่ามกลางสายตาบรรดาขาแทงทั้งหัวหงอกหัวดำเจ็ดแปดคนที่จ้องมองกันอย่างไม่กระพริบตา! หมอขยับข้อมือ "ฝัด" เต๋าด้วยลีลานิ่มนวลก่อนวางจานรองลงบน "เสื่อ" ซี่งเป็นกระดาษแผ่นใหญ่ เขียนตารางวาดจุดวงกลมตั้งแต่เอี่ยวถึงหกไว้อย่างหยาบๆ ขาเล่นที่นั่งสุมหัวล้อมเสื่ออยู่เป็นวงกลางพุ่มพงรกเรื้อใต้เงาไม้ร่มครึ้ม ต่างทะยานกันโยนเงินลงในช่องที่ตัวเองกะเก็งไว้
หนึ่งในจำนวนนั้น เอื้อมมือหยิบจานและถ้วยไปเอียงรินฟังเสียงลูกเต๋าไหลแล้ววางเงินสิบบาทลงแทงโต๊ดหกสูง มันเป็นขณะเดียวกันกับที่เด็กชายตัวเล็กกระจ้อยร่อย เบียดแซะเข้ามาวางกระป๋องโอเลี้ยงและซองพลาสติกใส่บุหรี่ลงข้างเข่าขวาของเจ้ามือและบอกเสียงใส
"น้าอ๊อด มีคนมาหา!"
ตอนท้าย ไอ้หนูว่าพลางบิดหัวแม่มือขวาชี้เฉียงขึ้นสูง เจ้ามือไฮโลแหงะหน้าเอียงขึ้นมองตามแล้วกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น! เพราะที่ยืนอยู่ด้านหลังขาแทงนอกวงพนันคือ ปุ๊ กรุงเกษม กับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันซึ่งมันไม่เคยรู้จักมาก่อน
"หาเราเรอะ?"
เจ้าถิ่นหลังวัดมะกอกตวัดเสียงคลางแคลงก่อนที่อีกฝ่ายจะย้อนถาม
"นายชื่ออ๊อดรึเปล่าล่ะ?"
"ใช่ เรานี่แหละอ๊อด สวนเงิน!"
"งั้นก็ไม่ผิดตัว"
"นายมีธุระอะไร?"
จอมกรี๊ดจากวงเวียนเล็กไม่ตอบคำถามนั้น เขากวาดตามองวงพนันพลางเอ่ยเสียงเคร่ง
"โทษทีนะ เงินใครที่วางแทงในเสื่อเก็บขึ้นไปก่อน ไฮโลวงนี้หยุดชั่วคราว"
เหล่าขาแทงเงยขวับขึ้นมองคนพูดอย่างงุนงง ขณะที่เจ้ามือกระชากเสียงเกรี้ยว!
"นายหมายความว่าไง?"
"ก็ให้เลิกเล่นกันก่อน เพราะเจ้ามือมีคนมาทวงหนี้เก่าที่ติดค้างไว้"
"เอ๊ะ ? เรากะนายไม่เคยมีอะไรติดค้างกันนี่หว่า"
"แต่นายมีกะเพื่อนเรา"
"ใคร?"
แทบไม่ทันขาดคำ ร่างหนึ่งเคลื่อนจากด้านหลังดาวดังฝั่งธนฯ สืบเท้าขึ้นมายืนเคียงข้างขวา อ๊อด สวนเงิน สะดุ้งเฮือกตาเบิกโพลงปากหลุดอุทานเอ็ดอึง!
"ไอ้ปุ๊! ปุ๊ ระเบิดขวด!!"
ชื่อชั้นและฉายาที่ได้ยินจากปากเจ้ามือไฮโลทำเอานักเล่นสะดุ้งผวากันเป็นระนาว! ต่างลนลานเก็บเงินของใครของมัน ผละออกห่างอย่างไม่โอ้เอ้ ไม่กี่วินาทีให้หลัง ข้างเสื่อก็เหลือเพียงอ๊อด สวนเงินกับเพื่อนคู่หูอีกหนึ่งหน่อ แต่คู่หูไม่ใช่คู่ซี้ หมอนั่นเหลียวซ้ายแลขวาทำหน้าเลิ่กลั่กอยู่ชั่วขณะ ก็พรวดลุกขึ้นเผ่นหนีเอาดื้อๆ และเมื่อรูปการณ์เป็นแบบนั้น นักบู๊ตรอกสาเกก็ลากแขนสมุนปลายแถวถอยหลังพลางร้องบอก
"ปุ๊ เจิดแสดงเองก็แล้วกัน ยำมันเลย!"
เกือบจะพร้อมคำท้าย วัยรุ่นเจ้าถิ่นฉวยกระป๋องโอเลี้ยงเหวี่ยงขวับ! นักลุยจากวงเวียนเล็กต้องผงะเบี่ยงตัวหลบปล่อยให้กระป๋องปลิวผ่านไปโดยมีน้ำสีฝาดคล้ำสาดตามเป็นทาง แต่แม้จะเสียจังหวะ เขาก็ยังไวพอที่จะตวัดแขนซ้ายขึ้นตั้งรับ เมื่อฝ่ายตรงข้ามซึ่งฉวยโอกาสถลันลุกและโดดเข้าเตะขวาเต็มเหนี่ยว
ผัวะ...!!!
แข้งดุ้นนั้นตะบันรวบต้นแขนและไหล่ซ้ายดังสนั่น! พริบตาติดต่อกัน ปุ๊ กรุงเกษม ก็สะอึกสวนเข้าประชิดจ้วงด้วยขวาตรงสุดลิ่มทิ่มประตู
โฉะ...!!!
กำปั้นแข็งๆ จวกปากครึ่งจมูกเต็มรัก! เลือดปนน้ำลายกระเซ็นว่อน อ๊อด สวนเงิน ถึงกับหมุนคว้าง ถลาร่อนข้ามเสื่อไฮโลไปคว่ำลงไปพงรกดังกราวก่อนจะเด้งตัวลุกขึ้นและหันกลับมาอย่างฉับไว! คราวนี้ ในมือขวาของมันมีมีดสั้นปลายแหลมเฉียบเหมือนคมขาววับ!
โปรดติดตามตอนต่อไป
#นักเลงโต
ปล.กดไลค์&กดแชร์=กำลังใจ😎
โฆษณา