10 มี.ค. 2021 เวลา 05:05 • หนังสือ
#18 เล่ม 2 บทที่ 7 หน้า 125 ~ 131
...
...
...
N : นี่เป็นคำอธิบายเรื่องทางเพศของมนุษย์ที่งดงามที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลยครับ
G : เธอจะเห็นความงดงามในที่ที่เธอปรารถนาที่จะเห็น และจะเห็นความน่าเกลียดในที่ที่เธอ`กลัว`ว่าจะได้เห็นความงดงาม
เธอจะประหลาดใจถ้าได้รู้ว่า มีคนมากมายแค่ไหนเห็นเรื่องที่ฉันพูดไปเมื่อครู่นี้ว่าน่าเกลียด
N : ไม่หรอกครับ เพราะผมได้เห็นแล้วว่าโลกได้ใส่ความน่าเกลียดน่ากลัวเข้าใปในเรื่องเซ็กซ์มากแค่ไหน แต่พระองค์ก็ทำให้เกิดคำถามอีกมากมายตามมา
G : ฉันอยู่นี่แล้วที่จะตอบคำถามทั้งหมดนั้น แต่ขอให้ฉันได้บรรยายที่ค้างเอาไว้ต่ออีกนิดก่อนที่เธอจะเริ่มโยนคำถามเหล่านั้นเข้าใส่ฉัน
N : เชิญครับ
G : การร่ายรำและการมีปฏิสัมพันธ์กันของพลังงานอย่างที่ฉันเพิ่งอธิบายให้เธอฟังไปนี้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา...🔸ในทุกๆสิ่งและกับทุกๆอย่าง🔸
พลังงานของเธอ (ที่แผ่ออกมาเหมือนลำแสงสีทอง) มีปฏิสัมพันธ์กับทุกสิ่งและกับทุกคนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งอยู่ใกล้กันมากแค่ไหนพลังงานก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งอยู่ห่างก็ยิ่งเบาบาง ทว่าเธอจะ ✴️ไม่มีวันถูกตัดขาดออกจากสิ่งใดอย่างสิ้นเชิง✴️
จะมีอยู่จุดหนึ่งระหว่างเธอกับทุกๆผู้คน สถานที่ หรือสิ่งใดๆก็ตามที่ดำรงอยู่...จุดนั้นเองที่พลังงานทั้งสองจะมาพบกันและก่อตัวขึ้นเป็นพลังงานที่สาม แม้หน่วยของพลังงานนี้จะไม่ได้หนาแน่นนักแต่ก็เป็นจริงไม่น้อยไปกว่าหน่วยที่หนาแน่นเลย
ทุกๆคนและทุกๆสิ่งที่อยู่บนโลกนี้ (และทุกๆคนและทุกๆสิ่งที่อยู่ในจักรวาล) กำลังแผ่พลังงานออกไปในทุกทิศทุกทาง ✴️พลังงานนี้จะหลอมรวมเข้ากับพลังงานอื่นที่มีอยู่ทั้งหมด พาดผ่านตัดไขว้กันในรูปแบบที่ซับซ้อนเกินกว่าสุดยอดคอมพิวเตอร์ของพวกเธอเครื่องไหนก็ตามจะวิเคราะห์ได้✴️
"พลังงาน" ที่พาดผ่านตัดไขว้ ผสมผสาน ถักทอเข้าด้วยกัน ✴️ซึ่งไหลเวียนอยู่ท่ามกลางทุกๆสิ่งที่พวกเธอเรียกว่าจักรวาลทางกายภาพนี้เอง คือสิ่งที่ค้ำจุนให้วัตถุธาตุทางกายภาพทั้งหมดดำรงอยู่ได้✴️
นี่คือเมทริกซ์ที่ฉันพูดถึง พวกเธอได้ส่งสัญญาณถึงกันและกันผ่านเมทริกซ์นี้ ไม่ว่าจะในรูปของถ้อยคำต่างๆ เจตจำนงทั้งหลาย กระบวนการรักษาตัวเองของร่างกายและอื่นๆทางกายภาพ★ต่างส่งผลกระทบต่อเมทริกซ์ ซึ่งในบางครั้งผลกระทบก็เกิดขึ้นจากคนเพียงคนเดียว แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของคนกลุ่มใหญ่
★เช่น การหายใจ การเต้นของหัวใจ การทำงานของสมอง ประสาทสัมผัสทั้ง 5 การทำงานของอวัยวะภายในต่างๆ เป็นต้น กระบวนการทำงานของสิ่งต่างๆเหล่านี้ต่างทำให้เกิดคลื่นความถี่และส่งสัญญาณออกมาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน —แอดมิน—
อย่างที่ฉันได้เคยอธิบายไปแล้วว่า พลังงานอันมากมายมหาศาลนี้จะถูกดึงดูดเข้าหากัน สิ่งนี้เรียกว่า "กฏแห่งแรงดึงดูด"
ภายใต้กฏนี้ 🔸สิ่งที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากัน🔸
✴️ความคิดที่เหมือนกันจะดึงดูดเข้าหากันผ่านเมทริกซ์ และเมื่อพลังงานที่เหมือนกันมา "รวมตัวกัน" จนมากพอ การสั่นสะเทือนของพวกมันก็จะรุนแรงขึ้น ความเร็วลดลง และบางส่วนก็กลายสภาพเป็นสสาร✴️
✴️ความคิดสามารถสร้างสิ่งที่เป็นรูปธรรมทางกายภาพขึ้นมาได้จริงๆ เมื่อคนจำนวนมากกำลัง "คิดในเรื่องเดียวกัน" ก็มีความเป็นไปได้สูงมากๆว่าความคิดเหล่านั้นจะกลายเป็นความจริงในที่สุด✴️
(นี่คือเหตุผลว่าทำไมคำว่า "เราจะสวดภาวนาให้คุณ" ถึงเป็นคำพูดที่มีพลังอำนาจมาก มีหลักฐานถึงอานุภาพของการสวดภาวนาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้จำนวนมากพอที่จะเอามาเขียนเป็นหนังสือได้ทั้งเล่ม)
ความคิดที่ไม่ได้มีลักษณะของการสวดภาวนาก็สามารถสร้าง "ผลกระทบ" ได้เหมือนกัน เช่น จิตสำนึกรวมหมู่ของ "ความกลัว" "ความโกรธแค้น" "ความขาดแคลน" หรือ "ความไม่พอ" 💢ของคนทั่วโลกสามารถสร้างประสบการณ์แบบนั้นขึ้นมาได้ทั้งในระดับโลกหรือในบริเวณที่แนวคิดรวมหมู่แบบนั้นมีพลังมากๆ💢
ตัวอย่างเช่น ประเทศที่เธอเรียกว่าสหรัฐฯ มีความเชื่อที่ยึดถือกันมาช้านานว่าเป็นประเทศที่ "เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่จะมอบอิสรภาพและความยุติธรรมให้กับทุกคน"
มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกที่ประเทศนี้จะทะยานขึ้นเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรื่องที่สุดในโลก และก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกด้วยเหมือนกันที่ประเทศเดียวกันนี้กำลังจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสร้างมาด้วยความเหนื่อยยากไปทีละน้อย เพราะประเทศนี้ดูเหมือนว่าจะหลงลืมวิสัยทัศน์ในตอนเริ่มต้นไปแล้ว
คำว่า "เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันภายใต้องค์พระผู้เป็นเจ้า" ความหมายก็ตรงตามนั้นเลย มันแสดงออกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันอันเป็นความจริงของจักรวาล (สัจจะสากล) ✴️'ความเป็นหนึ่ง' เป็นเมทริกซ์ที่ทำลายได้ยากมาก ๆ✴️ แต่เมริกซ์แห่งความเป็นหนึ่งนี้ก็ถูกทำให้อ่อนแอลงในช่วงเวลาที่ผ่านมา
เสรีภาพในการนับถือศาสนากลายเป็นความยึดมั่นถือมั่นทางความเชื่อจนใกล้จะกลายเป็นความไม่อดกลั้นทางศาสนาเข้าไปทุกที★ เสรีภาพส่วนบุคคลสูญหายเมื่อความรับผิดชอบส่วนบุคลเลือนหาย
★ทะเลาะกัน ฆ่ากัน ทำลายล้างกัน เพราะความยึดมั่นถือมั่นทางความเชื่อ — ต้องของข้าสิของจริง ของคนอื่นนั้นเป็นของปลอม —แอดมิน—
แนวคิดเรื่อง "ความรับผิดชอบส่วนบุคคล" ถูกบิดเบือนจนกลายเป็น "ทุกคนต้องทำเพื่อตัวเอง" นี่คือปรัชญาการใช้ชีวิตแบบใหม่ที่หลงคิดไปว่าตัวเองกำลังเดินตามวิถีปัจเจกนิยมอันเข้มแข็งแบบอเมริกันชนในยุคแรกเริ่ม
ทว่าความหมายดั้งเดิมของความรับผิดชอบส่วนบุคคลอันเป็นรากฐานของวิสัยทัศน์และภาพฝันของอเมริกันชนนั้น มีที่มาจาก "ความหมายขั้นลึกสุด" และ "การแสดงออกขั้นสูงสุด" ตาม 'แนวคิด' ที่ว่า ✨จงรักกันเหมือนพี่เหมือนน้องต่างหาก✨
สิ่งที่ทำให้อเมริกายิ่งใหญ่ขึ้นมานั้น ไม่ใช่เพราะทุกคนต่างดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ✨แต่เพราะทุกคนต่างยอมรับว่าจะมีความรับผิดชอบส่วนบุคคลที่จะทำให้ทุกๆคนต้องอยู่รอด✨
อเมริกาคือประเทศที่จะไม่หันหลังให้กับผู้อดอยากหิวโหย ไม่ปฏิเสธผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ อ้าแขนรับผู้อ่อนล้า ไร้ที่พักพิง และแบ่งปันความมั่งมีแก่โลก
ทว่าเมื่อยิ่งใหญ่แล้ว ชาวอเมริกันกลับถูกความโลภเข้าครอบงำ ไม่ใช่ทุกคนหรอกแต่ก็มาก และเมื่อเวลาผ่านไปก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ชาวอเมริกันเห็นว่ามันดีแค่ไหนที่ได้มีและได้ครอบครองในสิ่งต่างๆ พวกเขาก็พยายามที่จะมีให้มากขึ้น และวิธีเดียวที่จะมีให้มากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้นก็คือ ใครสักคนต้องมีให้น้อยลง น้อยลง และน้อยลง
เมื่อจิตวิญญาณของอเมริกันชนถูกความโลภเข้ามาแทนที่ความยิ่งใหญ่ ความกรุณาต่อผู้ทุกข์ยากจึงค่อยๆลดน้อยถอยลง ผู้ด้อยโอกาสถูกบอกว่า "มันเป็นความผิดของพวกเขาเอง" ที่พวกเขามีไม่มากพอ เพราะที่สุดแล้วอเมริกาก็เป็นประเทศแห่งโอกาสอยู่แล้วนี่ หรือว่าไม่ใช่❓
แต่ไม่มีใคร (ยกเว้นผู้ด้อยโอกาส) ที่จะยอมรับว่าโอกาสในประเทศอเมริกานั้นถูกจำกัดไว้ให้สำหรับคนที่ลืมตาอ้าปากได้แล้วเท่านั้น และโดยทั่วไปแล้วคนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้รวมเอาคนกลุ่มน้อยที่มีอยู่มากมายเข้าไปด้วย★ เช่นเดียวกันกับคนผิวสีหรือเพศบางเพศ
★เช่น ขอทาน คนไร้บ้าน คนตกงาน คนพิการ ฯลฯ เป็นต้น —แอดมิน—
อเมริกายังหยิ่งผยองในระดับระหว่างประเทศด้วย ขณะที่คนเป็นล้านๆทั่วโลกกำลังอดตาย แต่คนอเมริกันกลับทิ้งขว้างอาหารจำนวนมากพอที่จะเลี้ยงดูผู้อดอยากได้หลายประเทศในแต่ละวัน
จริงอยู่ที่อเมริกายังเอื้ออาทรกับบางประเทศ แต่นโยบายต่างประเทศก็ตั้งอยู่บนผลประโยชน์แอบแฝงของตัวเองมากขึ้นทุกที อเมริกาจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้อื่นก็ต่อเมื่อการช่วยเหลือนั้นเป็นประโยชน์ต่ออเมริกาเอง (นั่นคือเป็นประโยชน์ต่อโครงสร้างทางอำนาจของอเมริกา ต่อชนชั้นนำที่ร่ำรวยของอเมริกา ต่อยุทธภัณฑ์ทางการทหารที่มีไว้ปกป้องชนชั้นสูงและทรัพย์สินของคนกลุ่มนั้น)
ความรักฉันท์พี่น้องซึ่งเป็นอุดมคติในการก่อตั้งอเมริกาได้เสื่อมถอยผุพังลงไปมาก ตอนนี้ใครพูดเรื่อง "การดูแลเพื่อนมนุษย์" ขึ้นมา จะต้องเจอกับอเมริกันนิยมแบบใหม่ที่มีความคิดว่า ตนต้องเหนื่อยยากมากแค่ไหนกว่าจะได้สิ่งต่างๆมาครอบครอง พร้อมกับถ้อยคำอันเจ็บแสบที่สาดใส่ผู้ด้อยโอกาสที่กล้าร้องขอส่วนแบ่งที่เป็นธรรมและการปรับปรุงสภาพเงื่อนไขที่เลวร้ายของพวกตน
เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแต่ละคน "ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของตัวเอง" แต่อเมริกา (และโลกของเธอ) จะดำเนินต่อไปได้อย่างแท้จริง (โดยไม่ล่มสลาย) ก็ต่อเมื่อ ✴️ทุกคนเต็มใจยืนหยัดที่จะรับผิดชอบต่อมนุษย์ทุกคนในฐานะองค์รวม✴️
N : ฉะนั้นจิตสำนึกแบบรวมหมู่จึงก่อให้เกิดผลลัพธ์แบบรวมหมู่
G : ถูกต้อง เรื่องนี้ถูกแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดช่วงประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกไว้ของพวกเธอ
เมทริกซ์จะดึงดูดตัวเองเข้าหาตัวเอง แบบเดียวกันกับที่นักวิทยาศาสตร์ของพวกเธอได้อธิบายปรากฏการณ์ที่เรียกว่า 🔹หลุมดำ🔹★ มันจะดึงพลังงานที่เหมือนกันเข้าหากัน กระทั่งยังดึงดูดวัตถุธาตุทางกายภาพเข้าหากันอีกด้วย
★คลิปแรกนี้จะอธิบายถึงสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามที่จะถ่ายภาพหลุมดำให้ได้เพื่อที่จะศึกษาว่ามันเป็นไปตามทฤษฏีหรือไม่ เพราะภาพหลุมดำที่เราเห็นตามภาพยนต์หรือตามคลิปต่างๆถูกสร้างขึ้นมาตามทฤษฏีเท่านั้นและยังไม่เคยมีใครเห็นภาพของหลุมดำจริงๆ คลิปมีความยาวประมาณ 5 นาที มีซับไทย
คลิปที่สองนี้พยายามที่จะอธิบายว่าตามทฤษฏีแล้วถ้าเราเกิดตกลงไปในหลุมดำแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ความยาวประมาณ 5 นาที เช่นกัน มีซับอังกฤษ
—แอดมิน—
วัตถุธาตุเหล่านั้นจึงต้องผลักกันออกไป (เคลื่อนออกจากกัน) ไม่อย่างนั้นมันจะผนวกเข้าด้วยกันไปตลอดกาล ทำให้ไม่อาจคงรูปในปัจจุบันเอาไว้และจะก่อเกิดเป็นรูปใหม่★
★รูปใหม่ในที่นี้คือ วัตถุธาตุทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันเป็นสิ่งๆเดียว ไม่ใช่วัตถุธาตุอันนับไม่ถ้วนที่กระจายไปทั่วจักรวาลในปัจจุบัน —แอดมิน—
✴️รูปธรรมแห่งจิตวิญญาณทั้งหลาย (All beings of consciousness) จะหยั่งรู้ในเรื่องนี้ ฉะนั้นรูปธรรมแห่งจิตวิญญาณทั้งหลายจะ🔹ถอยออกจากการหลอมรวมชั่วนิรันดร์🔹 เพื่อจะยังคงความสัมพันธ์กับรูปธรรมชีวิตอื่น ๆเอาไว้ได้ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นพวกมันจะหลอมรวมเข้ากับรูปธรรมชีวิตอื่น ๆ และ 🔹มีประสบการณ์ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันไปชั่วนิจนิรันดร์🔹✴️
🌟นี่คือสภาวะที่พวกเธอจากมา🌟
🌟เมื่อกำลังเคลื่อนห่างออกไปจากสภาวะนี้ พวกเธอจึงถูกดึงดูดกลับไปหามันอยู่ตลอดเวลา🌟
การถอยห่างและกลับไป การเคลื่อนไหว "กลับไปกลับมา" นี้เองคือ 🔸ท่วงทำนองของจักรวาล และ ของทุกๆสิ่งที่อยู่ในจักรวาล🔸
✴️นี่คือ "เซ็กซ์" นี่คือ "การแลกเปลี่ยนพลังงานร่วมกัน" (The Synergistic Energy Exchange)✴️
✨เธอจะถูกดึงดูดและถูกขับดันให้เป็นหนึ่งเดียวกับผู้อื่น (และทุกสิ่งที่อยู่ในเมทริกซ์) อยู่ตลอดเวลา✨
✴️จากนั้น ณ ห้วงขณะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน เธอได้เลือกผลักตัวเองออกจากสภาวะแห่งความเป็นหนึ่ง "เลือกเป็นอิสระจากมันก็เพื่อที่จะสามารถมีประสบการณ์ถึงมันได้" เพราะถ้าเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นหนึ่งเดียวกันแล้วคงอยู่ในสภาพนั้น เธอจะไม่สามารถรับรู้ถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งนั้นได้ถ้าเธอไม่รับรู้ถึงสภาวะแห่งการแยกขาดจากกันเสียก่อน✴️
พูดอีกอย่างก็คือ ✴️การที่พระเจ้าจะรู้จักตัวเองว่าเป็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ — ก่อนอื่นพระเจ้าจะต้องรู้จักตัวเองว่าไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างเสียก่อน✴️
ในตัวเธอนั้น (และในหน่วยพลังงานอื่นทั้งหมดในจักรวาล) พระเจ้าได้รู้จักตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของทั้งหมด จากนั้นจึงให้โอกาสกับตัวเองที่จะได้รู้จักตัวเองว่า "เป็นทุกสิ่ง" 🔹ผ่านประสบการณ์ทั้งหมดของตัวเอง🔹
✴️ ฉันจะมีประสบการณ์ถึงสิ่งที่ฉันเป็นได้ก็ต่อเมื่อมีประสบการณ์ถึงสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็น
✴️ ทว่าฉันยังเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นนั้นด้วย
ถึงตรงนี้เธอได้เห็นแล้วถึง "เอกภาพแห่งความขัดแย้งอันศักดิ์สิทธิ์"★ ฉะนั้นจึงเป็นที่มาของคำว่า 🔸ฉันเป็นสิ่งที่ฉันเป็น🔸
★เป็นทั้งคู่ที่ตรงข้ามกันในขณะเดียวกัน —แอดมิน—
อย่างที่ฉันได้บอกไป ธรรมชาติของการถอยห่าง-กลับไปอันเป็นท่วงทำนองตามธรรมชาติของจักรวาลนี้เป็นคุณลักษณะของทุกสรรพชีวิต รวมไปถึงห้วงขณะที่ชีวิตถูกสร้างขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริงของเธอด้วย
เธอถูกขับดันให้เคลื่อนเข้าหากันราวกับมีพลังงานบางอย่างเร่งเร้าเพียงเพื่อจะผละออกและแยกจาก เพื่อจะกลับเข้าหากันอีกด้วยความเร็วยิ่งกว่า เพื่อจะผละจากมาอีกครั้ง และอีกครั้งที่จะกลับเข้าเป็นหนึ่งอย่างโหยกระหาย เร่าร้อน และเร่งเร้า
แนบชิด-แยกจาก แนบชิด-แยกจาก แนบชิด-แยกจาก เธอร่ายรำด้วยความเคลื่อนไหวอย่างเป็นธรรมชาติ เปี่ยมไปด้วยสัญชาตญาณจนเธอแทบจะไม่รู้สึกตัวถึงสิ่งที่ทำไปด้วยความตั้งใจนี้เลย พอถึงจุดหนึ่งทุกอย่างก็เป็นอัติโนมัติ ไม่ต้องมีใครมาบอกร่างกายของเธอว่าต้องทำยังไง เพียงแค่ทำไปอย่างนั้นตามการเร่งเร้าของชีวิต
นี่คือตัวชีวิตที่กำลังสำแดงตัวเองออกมาในฐานะที่เป็นตัวชีวิต
และนี่คือตัวชีวิตที่กำลังสร้างชีวิตใหม่ขึ้นมาภายใต้ประสบการณ์ของตัวมันเอง
ทุกชีวิตดำเนินไปตามท่วงทำนองดังกล่าว ทุกชีวิตคือตัวท่วงทำนองนั้นเอง
ดังนั้นทุกชีวิตจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนองอันอ่อนโยนของพระผู้เป็นเจ้า...ที่พวกเธอเรียกว่า 🔸วัฏจักรของชีวิต🔸
พืชพันธุ์ธัญญาหารเติบโตไปตามวัฏจักร ฤดูกาลมาแล้วก็จากไป ดาวเคราะห์หมุนไปตามวงโคจร พระอาทิตย์ระเบิดออกภายนอกและระเบิดเข้าภายในและระเบิดออกภายนอกอีกครั้ง...จักรวาลหายใจเข้าและหายใจออก สรรพสิ่งที่ปรากฏขึ้นล้วนหมุนเวียนไปตามวัฏจักร เป็นไปตามท่วงทำนอง สั่นสะเทือนสอดประสานไปกับคลื่นความถี่แห่งพระเจ้า-พระแม่ ซึ่งก็คือทุกสรรพสิ่ง
✨เพราะพระเจ้าคือทั้งหมด
✨และพระแม่คือทุกสรรพสิ่ง
✨และไม่มีสิ่งอื่นใดอีกนอกจากสิ่งอันเป็นทั้งหมดนั้น
✨ทั้งหมดที่เคยเป็น ที่เป็นอยู่ และที่จะเป็นต่อไป
✴️คือตัวเธออันเป็นนิรันดร์✴️
เอเมน.
(จบ)(บทที่ 7)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา