11 มี.ค. 2021 เวลา 07:07 • นิยาย เรื่องสั้น
#ตอนที่ ๑๑ [วัยรุ่นคะนองกรุง]
#แพะรับบาป
#จ๊อดเฮาดี้ ไม่ใช่เบี้ยไร้นาม ในแวดวงบู๊ลิ้มวัยคะนอง เขาคือขุนรบระดับแถวหน้า ชื่อชั้นและศักดิ์ศรีไม่ได้อ่อนด้อยกว่าใคร ไม่เป็นรองแม้กระทั่ง #ปุ๊ระเบิดขวด
เขามีพร้อมไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วฉับไวเฉียบขาดถึงลูกถึงคน และหัวใจเกินร้อยที่ไม่เคยพรั่นพรึงหน้าไหน โดยนิสัยส่วนตัว จ๊อดมักชอบบินเดี่ยวตามลำพัง ไม่ค่อยเดินติดกลุ่มเฮตามพรรคพวกมากนัก แต่เขาก็สนิทชิดเชื้อผูกพันกับ #แดงไบร์เลย์ อย่างเหนียวแน่นลึกซึ้ง ไม่หยั่งงั้น คงไม่ได้ฉายาเป็นชื่อน้ำอัดลมจากโรงงานเดียวกัน! เมื่อเพื่อนเจ็บเขาก็เจ็บด้วย และพร้อมที่จะทำได้ทุกอย่างเพื่อลบรอยแค้น ดังนั้น ที่ลั่นปากไว้ในวัดจึงไม่ใช่เรื่องพูดพล่อย
ใกล้เที่ยงวันต่อมา จ๊อด เฮาดี้ ก็ปรากฏตัวขึ้นในละแวกวังบูรพาภิรมย์ เนื่องจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ยืนยันมั่นคงชนิดรับประกันซ่อมฟรี ว่าหนุ่มปุ๊ นัดสาวควงคู่ไปดูหนังย่านนั้นแน่นอน เขาเดินวนเวียนเสาะหาอยู่พักเดียว เป้าหมายซึ่งมีสาวรุ่นหุ่นอรชรเคียงข้างก็ผ่านเข้ามาในสายตา นับว่าแหล่งข่าวเชื่อถือได้สมราคาคุย!
#ปุ๊กรุงเกษม ตัวแสบรสนิยมคลาสสิค จากวงเวียนเล็ก วันนี้สลัดคราบจอมระห่ำห่ามห้าวทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง! ไม่พกพาแม้กระทั่งอาวุธให้เสียความรู้สึก เพราะเขามาในมาดนักรักผู้มากไปด้วยอารมณ์โรแมนติค ดาวดังฝั่งธนฯ แต่งองค์ทรงเครื่องพิถีพิถันสุดเฉียบเนี้ยบหนิง ตามแบบฉบับวัยรุ่นทันสมัยเคียงข้างด้วยเด็กสาวไฉไลซึ่งเพิ่ง "ปิ๊ง" กันได้ไม่นาน และเขากำลังพยายามที่จะสืบสานสัมพันธ์ให้แน่นหนาลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ทั้งคู่เดินคลอเคียงกันกระหนุงกระหนิงประสาหนุ่มสาว ไปบนบาทวิถีฝั่งตรงข้ามกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล จากหลังวังบูรพามุ่งสู่โรงภาพยนต์คิงส์ ซึ่งอยู่ด้านหน้าติดถนนใหญ่ พอผ่านหน้าร้านโอเดียนสโตร์ซึ่งขายหนังสือสารพันชนิดวางโชว์เป็นหมวดหมู่ละลานตา ปุ๊เจิดก็เหลือบเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำ เดินสวนทางตรงเข้ามาในระยะห่างพอประมาณ เขาจำได้ว่าหมอเป็นเพื่อนซี้คนหนึ่งของ แดง ไบร์เลย์ ซึ่งเจอกันเพียงผ่านๆ รู้แต่ว่าชื่อ จ๊อด เฮาดี้!
และนอกจากจะไม่เคยคลุกคลีคบหาสนิทสนม ยังออกจะเขม่นกันอยู่ในทีด้วยซ้ำ! แรกทีเดียว ไอ้รุ่นซ่าแห่งวงเวียนเล็กกะจะเมินเฉยไม่แยแส ด้วยไม่รู้จะทักทายปราศรัยยังไงอีท่าไหน กับคนที่ต่างก็ไม่ชอบหน้ากันและกัน แต่สายตาและท่าทีของฝ่ายตรงข้ามทำให้ไม่อาจเมินผ่าน และกลับต้องรู้สึกเอะใจไหวระแวงขึ้นมาทันใด! เพราะแม้จะไม่ถึงกับเพ่งจ้องคาดคั้น หมอก็เหลือบมองเขาอย่างมาดมั่นเป็นระยะๆ ขณะที่มือขวาซุกนิ่งอยู่ใต้ชายเสื้อบริเวณเข็มขัด มันผิดสังเกตและส่อพิรุธ!
ปุ๊ กรุงเกษมพยายามคิดในด้านดี ว่าตัวเองอาจจะระแวงเกินไป ด้วยหากจะว่ากันตามจริงมันก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หนุ่มหน้าเข้มจะถึงขั้นลงมือทำร้ายเขาข้อสำคัญ ต่างก็เป็นเพื่อนของเพื่อน! ทว่า แม้จะพยายามคิดแบบนั้น จอมสำอางจากฝั่งธนฯ ก็ไม่วายระมัดระวังตามสัญชาตญาณ ประสาททุกส่วนตื่นตัวพร้อมรับสถานการณ์ทุกกระดิก ขณะที่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ควงคู่อีสาวสืบเท้าเรื่อยไปตามฟุตบาท ซึ่งมีผู้คนเดินพลุกพล่านขวักไขว่ไม่ขาดสาย อีกฝ่ายก็ย่างสวนเข้ามาด้วยทีท่าปกติเช่นกันไม่กี่วินาทีก็เหลือระยะห่างไม่เกินสามเก้า พริบตานั้น จ๊อด เฮาดี้ ก็กระตุกมือขวาออกจากใต้ชายเสื้อพร้อมด้วยมีดปลายแหลมเปลือยคมขาววับ!
"ว้าย...!!!"
สาวใหญ่คนหนึ่งซึ่งเหลือบเห็นของแหลมเข้าพอดี ตะเบ็งร้องลั่นด้วยความตื่นตระหนก เกือบจะวินาทีเดียวกับที่มือมีดโผนเข้าแทงหนุ่มซ่าจากวงเวียนเล็กอย่างรวดเร็ว! ปุ๊ กรุงเกษม ก็ไม่ใช่เบี้ยไร้ชื่อ ถึงจะเป็นนักบู๊สำอางประเภทชอลิ่วเฮียงเขาก็มีวิทยายุทธแก่กล้ายากที่ใครจะสยบได้ในกระบวนท่าเดียว!
การเคลื่อนไหวจู่โจมของฝ่ายตรงข้ามซึ่งอยู่ในสายตาทุกระยะ แม้จะรวดเร็วปานใดก็ย่อมไม่ยากที่จะหลบเลี่ยง เพียงเบี่ยงตัวพลิ้วออกซ้าย ปลายมีดก็กรีดฝ่าอากาศผ่านหน้าท้องไปโดยไม่ได้สะกิดสะเกาอะไรเลย! ฝูงชนทั้งหนุ่มสาวเฒ่าแก่ลูกเล็กเด็กแดงบนบาทวิถีช่วงนั้นแตกฮือ! เสียงหวีดร้องกรีดกราดและเสียงเอะอะมะเทิ่ง ประสานกันขึ้นอึงคะนึง! มันคละเคล้าด้วยเสียงฝีเท้าสับสนของคนที่เตลิดกระเจิงออกห่างจุดเกิดเหตตุอย่างตื่นพรั่น
ส่วนหนึ่งหอบลูกจูงหลานกะเร้อกะรัง วิ่งหน้าเริ่ดข้ามถนนที่ว่างรถไปทางฝั่งห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ บางรายก็โกยอ้าวกรูเกรียวไปตามบาทวิถีฝั่งเดียวกัน แต่ประเภทชอบสอดรู้สอดเห็นเกาะติดสถานการณ์ไม่ไปไหนไกล พระเดชพระคุณสวมวิญญาณไทยมุงขนานแท้ กระจายวงกว้างออกแค่พ้นรัศมีลูกหลงเท่านั้นเอง! ก็จะดูซะอย่าง!
จ๊อด เฮาดี้ ซึ่งแทงพลาดและถลาเลยไปเล็กน้อย สะบัดตัวหันกลับมาพร้อมกับที่นักบู๊สำอางกระชากเสียงเดือดดาลระคนงุนงง
"เฮ้ย นี่มันอะไรกันวะ?"
หนุ่มหน้าเข้มไม่ปริปากตอบโต้ให้เปลืองเวลา ตาดุดันวาวจ้าเหลือบประกายเขียวเรืองซึ่งเป็นแววอำมหิตที่ไม่มีใครเหมือน มือขวากำมีดกระชับมั่นโถมแทงเป็นคำรบสอง ปุ๊ เจิดฉากหลบว่องไวเช่นเคย และพอปรปักษ์เสียหลักคะมำถลาถลำผ่านไปตามจังหวะการแทงที่พลาดเป้า เขาก็นิมนต์ทั้งหลวงพ่อโดด หลวงพ่อเผ่น และหลวงพ่อโกย เปิดหนีอย่างไม่รั้งรอ จะอยู่ช้าได้ยังไง? ในเมื่อปราศจากอาวุธที่จะต่อสู้ป้องกันตัวพอสมน้ำสมเนื้อ และไอ้ที่ไล่แทงเขาก็มือธรรมดาซะเมื่อไหร่ พระกาฬดีๆนี่เอง แต่แม้จะเผ่นหนี เรื่องก็ยังไม่จบ เพราะไม่กี่วินาทีให้หลัง จ๊อด เฮาดี้ก็หมุนตัวทะยานตามอย่างไม่ลดละ โดยมีมีดแหลมน่าพรั่นเงื้อง่าอยู่ในมือ ชาวบ้านร้านตลาดแตกกระเจิงหลีกทางกันจ้าละหวั่น ท่ามกลางเสียงหวีดว้ายเจี๊ยวจ๊าวแซ่แซ่ว!
ทั้งคู่ สับตีนตะบึงหนีและไล่กันไปตามบาทวิถีไม่ไกลนัก เบื้องหน้าก็มีร่างบึกบึนในเครื่องแบบสีกากีขึงขังครอบศรีษะด้วยหมวกทรงหม้อตาลแหวกคนสวนมาอย่างเร่งร้อน แม่นแล้ว ตำรวจ!! จ๊อด เฮาดี้ ซึ่งเห็นโปลิสพร้อมๆกับคนถูกไล่แทง ชะงักเท้าหยุดกึก และแล้วก็ตาลีตาเหลือกหันหลังกลับ วิ่งผล็อบแผล็บปนเปในหมู่คนที่กำลังแตกตื่นระส่ำระสาย
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในเครื่องแบบทะมัดทะแมงติดยศสิบโทซึ่งเพิ่งพรวดพราดมาถึงชะเง้อชะแง้มองตามและขยับท่าจะไล่กวด แต่ร่างของจ๊อด เฮาดี้หายลับไปซะแล้ว ผู้หมู่จึงหันขวับมาทางคู่กรณีที่หยุดยืนเงียบอยู่ใกล้ๆ และตวัดเสียงถาม
"มีเรื่องอะไรกันรึ?"
ปุ๊ กรุงเกษม วางสีหน้าสงบเฉยพลางเอ่ยตอบเรียบๆ
"เขาไล่แทงผมครับ"
"มันเพราะอะไร?"
"ผมก็ไม่ทราบ"
"มันต้องมีสาเหตุซีน่ะ"
"ไม่มีครับ จู่ๆเจอหน้ากับเขาก็โดดแทงเอาดื้อๆ ดีที่ผมหลบทัน"
"รู้จักกันมาก่อนรีเปล่า?"
ดาวดังฝั่งธนฯ สั่นศรีษะ ปฏิเสธหนักแน่น
"ไม่รู้จักครับ!"
"เอ๊ะ ยังไงกันแน่...?"
"ผมเองก็ยังงงๆ"
"นี่จะแจ้งความมั้ย?"
"ไม่มีประโยชน์หรอกครับ แจ้งไปก็เท่านั้นผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร"
"ถ้างั้น....."
เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ เอ่ยสั้นๆชัดคำ
"ลืมมันเสียเถอะครับ!"
สิบโทโปลิศกระพริบตาปริบๆ จ้องมองคนถูกไล่แทงนิ่งอั้นอยู่ชั่วขณะก็ตวัดเสียงถามย้ำ
"แปลว่าคุณไม่เอาเรื่อง......?"
หนุ่มซ่าจากฝั่งธนฯ เลิกคิ้ว
"จะไปเอากะใครล่ะครับ?"
"งั้นก็....ตามใจ!"
ผู้หมู่ทิ้งเสียงอย่างคร้านจะเซ้าซี้ให้ยาวความแบมือหยักไหล่นิดๆ แล้วหมุนตัวผละไป
ปุ๊ กรุงเกษม ระบายลมหายใจแผ่ว พลางกวาดสายตามองสำรวจรอบข้าง ซึ่งก็ได้เห็นแต่ชาวบ้านร้านช่องที่กำลังกระจายย้ายแยกกันไปตามทางใครทางมัน ไม่เจอแม้แต่เงาของสาวรุ่นคู่ควงที่หมายมั่นปั้นมือจะมานั่งจู๋จี๋กันในโรงหนัง เธอคงตกใจเตลิดหนีไปชนิดกู่ไม่กลับ ก็ช่างเถอะ! เขาเองก็หมดอารมณ์สนุกเสียแล้ว ที่ยังค้างคาคุคั่งในอกมีแต่ความอับอายเจ็บแค้นที่ถูกหมิ่นหยามต่อหน้าธารกำนัล และงุนงงไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด?
เพื่อนของพระแดงถึงได้ลงมือรุนแรงกับเขาขนาดนี้ จ๊อด เฮาดี้ กระทำเองโดยพลการ หรือว่ารับคำสั่งมาจากใคร? มันเป็นเรื่องที่เจ้าถิ่นวงเวียนเล็กไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่สะสางอย่างแน่นอน งานนี้ จะต้องเคลียร์กันให้จบ!
จากวังบูรพา ปุ๊ กรุงเกษม พกพาเอาความเจ็บช้ำระเห็จข้ามเจ้าพระยากลับฝั่งธนบุรี มุ่งไปหานักเลงโตรุ่นพี่ซึ่งเป็นที่ยำเกรงของน้องนุ่งไม่ว่าจะเป็น จ๊อด เฮาดี้ หรือ แดงไบร์เลย์ และรวมทั้งตัวเขาเองก็ให้ความเคารพนับถือไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน คนๆนั้นไม่ใช่ใครอื่น #พจน์เจริญพาสน์ ความยิ่งใหญ่ของพจน์ในสมัยนั้นไม่ใช่ธรรมดา ด้วยว่าเขาอยู่ในฐานะหัวหน้าคุมกองกำลังนักบู๊ สังกัดช่างกลพระนครเหนือทั้งหมด! เป็นขุนทัพนักรบอาชีวะจำนวนเรือนพันซึ่งล้วนห้าวระห่ำเหี้ยมหาญเป็นที่ครั่นคร้ามเข็ดเขี้ยวกันไปทั่ว ใครจะริอ่านวัดชั้นก็ต้องหยุดคิดกันสิบแปดตลบ แล้วเก็บฉากกลับเข้าโรง ก็ไม่กล้านะสิขอรับ ท่านสารวัตร!
เมื่อพบหน้าตั้วเฮีย ปุ๊ กรุงเกษม ก็แจกแจงเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้รับรู้อย่างละเอียดละออตั้งแต่ต้น พจน์ เจริญพาสน์ นิ่งฟังในอาการสงบจนจบความ ถึงได้เอ่ยเสียงขรึม
"จ๊อดทำแบบนี้ก็ไม่ถูก ปุ๊ ไม่ใช่อื่นไกลนี่นาเพื่อนพระแดงเหมือนกัน"
"นั่นนะสิครับ...."
เด็กหนุ่มเสริม
".....ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาไล่แทงกัน? มันมีสาเหตุมาจากอะไร ? ใครสั่ง? และที่แน่ๆ ก็คือ....ผมทั้งขมขื่นอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี"
"พี่เข้าใจความรู้สึกของเอ็ง.....ปุ๊"
"ขอบคุณ พี่พอจะช่วยเคลียร์เรื่องนี้ให้ผมได้มั้ย?"
"ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวพี่จะให้คนไปตามจ๊อดเอาตัวมาซักถามดูซิ"
"มาที่นี่รึครับ?"
รุ่นใหญ่ส่ายหน้า
"ไม่ พี่จะนัดเจอฝั่งโน้นวันพรุ่งนี้"
"ที่ไหนครับ?"
"ร้านกาแฟปากตรอกพระสวัสดิ์ บางลำภู พี่จะข้ามฝั่งไปเอง"
"ผมล่ะ?"
"ปุ๊ก็ไปด้วยกัน มีอะไรขัดข้องรึเปล่า?"
"ไม่ครับ ว่าแต่ถ้าเรื่องนี้....มีคนอยู่เบื้องหลังสั่งการลงมา...?"
"ก็ต้องสาวให้ถึง ขอคำชี้แจงและควรจะมีคำของโทษปุ๊ด้วย"
"ถ้าเขาไม่ยอม....?"
ตั้วเฮียแผ่วหัวเราะลึกๆ ก่อนเอ่ยเสียงเย็น
"มันก็จะได้รู้ว่าบทเรียนครั้งนี้ ราคาแพงบัดซบ!!"
สายจัดวันรุ่งขึ้น! มันเป็นเวลาประมาณสิบโมงเศษ ขณะที่ปุ๊ กรุงเกษม ก้าวตามพจน์ เจริญพาสน์ เข้าไปในร้านกาแฟอันเป็นจุดนัดพบ และก็ปรากฎว่า จ๊อด เฮาดี้ กำลังนั่งสงบรออยู่ตามลำพังที่โต๊ะมุมในสุดของร้านซึ่งว่างโหรงเหรง หมอลุกขึ้นกระพุ่มมือคารวะรุ่นใหญ่ตามธรรมเนียม ก่อนจะหันมายิ้มเก้อๆ กับคู่กรณี ซึ่งทำไม่รู้ไม่ชี้เมินเฉย
ก็แน่ละ ใครมันจะมีกะใจแย้มยิ้มกับคนที่ไล่แทงตัวเองหวิดเป็นหวิดตายมาเมื่อวาน! พอยอบตัวลงนั่งโต๊ะกันเรียบร้อย และสั่งน้ำอัดลมมาตั้งหน้าคนละขวด ตั้วเฮียเอ่ยเสียงเคร่ง
"จ๊อด รู้รึยังว่าพี่เรียกเอ็งมาทำไม?"
หนุ่มหน้าเข้มค้อมศรีษะ
"รู้ครับ ไอ้คนที่ไปตามบอกผมแล้ว"
พจน์ เจริญพาสน์ บิดหัวแม่มือขวาชี้จอมซ่าจากวงเวียนเล็ก
"ขานี้เคยมีเรื่องบาดหมางอะไรกะเอ็ง?"
"ไม่มีครับ"
"แล้วไหงไปไล่แทงเขาล่ะ?"
"ก็....เป็นเพราะปุ๊ ระเบิดขวด มันคอยอาละวาดก่อกวนพวกพระแดงหนักข้อขึ้นทุกวัน จนแต่ละคนแทบโผล่หัวไปไหนไม่ได้ แถมยังมีข่าวแว่วๆว่าไอ้หมอนี่กำเริบเสิบสานถึงขนาดเตรียมการจะเปิดศึกใหญ่ ทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังอยู่ในผ้าเหลือง ผมทนไม่ไหวก็เลยไปดักแทง"
"เฮ้ย! แต่นี่มันคนละปุ๊.....!"
"ครับ ทำลงไปแล้วผมถึงมารู้ทีหลังว่าผิดตัว"
รุ่นใหญ่ทำหน้านิ่ว
"ผิดได้ยังไง ก็กลางวันแสกๆ เห็นหน้าเห็นตากันออกชัดเจนยังกะอะไรดี"
จ๊อด เฮาดี้ ทำตาปรอย
"ผมไม่รู้จักไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด"
"อ้าว....!"
"เคยเห็นแต่ปุ๊นี่ก็ปักใจว่าใช่ ไม่นึกว่าจะมีปุ๊ทีเดียวสองคน"
"อะไรกัน?"
"จริงๆ นะพี่ ผมไม่ได้โกหก"
หนุ่มมือมีดยืนยันหนักแน่นจริงจัง ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าท่าทาง พี่เอื้อยรุ่นใหญ่ยกขวดขึ้นคาบหลอดดูดน้ำอัดลมเต็มอีก หรี่ตานิ่งในลักษณะไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะก็ผงกศรีษะเนิบช้าด้วยท่วงท่าสุขุม พลางเอ่ยอย่างใคร่ครวญ
"เมื่อเป็นการเข้าใจผิด เรื่องนี้ก็ไม่น่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลังสลับซับซ้อน"
"ก็มีเท่าที่ชี้แจงให้ฟังน่ะแหละ ..."
มือมีดว่า
".....ผมตั้งใจไปแทง ไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด เพราะเจ็บแค้นแทนพระแดง"
"ว่าแต่พระรู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า?"
"รู้ทีหลังครับ ก่อนลงมือผมไม่กล้าบอกเห็นว่าท่านอยู่ในผ้าเหลือง"
"แล้วเมื่อเล่นผิดคนเอ็งควรจะทำยังไง"
จ๊อด เฮาดี้ หันมายิ้มเจื่อนๆ กับดาวดังฝั่งธนฯ ก่อนเอ่ยเสียงอ่อน
"ขอโทษอย่างแรง...เพื่อน เราไม่รู้จริงๆ คิดว่านายเป็นคนๆ เดียวกับปุ๊ตัวแสบ หวังว่าคงให้อภัย"
ปุ๊ กรุงเกษม หยักหน้าขรึมๆ
"โหสิ แต่แค่ขอโทษมันยังไม่พอ"
"อ้าว....!"
"ต้องไปยืนยันต่อหน้าพระแดง ว่าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก!"
"ใช่......."
ตั้วเฮียสนับสนุน....
"ต้องให้พระแดงได้ร่วมรับรู้เป็นสักขีพยาน และเอ็งสองคนควรจะไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลย"
ไอ้รุ่นแสบแห่งย่านวงเวียนเล็กกระตุกหัวคิ้วขมวดย่น
"พี่พจน์ล่ะ?"
"ก็ต้องนั่งอยู่ก่อน พี่นัดแขกไว้ที่นี่อีกรายนึงพวกเอ็งรีบไปกันเถอะ"
สองหนุ่มจัดการกับน้ำอัดลมจนหมดขวดแล้วลุกขึ้นบอกลา และอีกเพียงสิบกว่านาทีให้หลัง จ๊อด เฮาดี้ กับ ปุ๊ กรุงเกษม ก็เดินเคียงกันโผล่เข้าไปในลานหน้ากุฏิก่ออิฐถือปูนชั้นเดียวหลังย่อม สถานที่จำพรรษาของพระใหม่ ซึ่งคับคั่งด้วยบรรดาลูกศิษย์หนุ่มคะนองมากหน้า ทันทีที่สองคนปรากฎตัว หนึ่งในจำนวนนั้นก็แผดตะโกนเอ็ดอึง!
"เฮ้ย! ไอ้ปุ๊มา! ไอ้ปุ๊ ระเบิดขวด!!"
ปุ๊ กรุงเกษม ชะงักเท้าหยุดกึก เสียงตะโกนบอกว่าเขาเป็นปุ๊ ระเบิดขวดไม่ใช่เรื่องดีเลยสักนิด และมันชี้ชัดว่าบรรดาพวกพ้องบริวารของเจ้าถิ่นตรอกไบร์เลย์ก็เช่นเดียวกับจ๊อด เฮาดี้ ไม่มีใครรู้จักปุ๊ ระเบิดขวด!
หลังเสียงเอะอะ #แหลมสิงห์,แดง ไตรรงค์, แก้ว ไบร์เล่ย์ กับหนุ่มห้าววัยเดียวกันอีกสี่ห้านายซึ่งล้วนมีมีดไม้ครบมือ กรูเกรียวมาจากทุกทิศ และด้วยทีท่าอาการกระเหี้ยนกระหือ
"เฮ้ย! เฮ้ย! ไอ้ปุ๊เขามาพูดคุยกะเรา อย่าเพิ่ง"
จ๊อด เฮาดี้ ระล่ำระลักร้องห้ามพลางยกมือโบกวุ่น! แต่ก็เท่านั้น มันเพียงแต่ลดดีกรีของความร้อนแรงได้รับดับหนึ่งและไม่มากนัก หนุ่มราชทัณฑ์ยังสะอึกเข้ามาจี้ดาวดังฝั่งธนฯ ด้วยดาบเปลือยคมขาววับ สะกดไว้ไม่ให้หือหรือออกอาการยึกยัก และแล้ว ฝักดาบในมือซ้ายก็หวดลงกลางกบาลด้วยความเครียดแค้นระคนหมั่นใส้
โป๊ก....!!!
นักบู๊พลัดถิ่นทำคอย่น แยกเขี้ยวเบี้ยวปากหลับตาปี๋
ผัวะ....!!!
ไม่รู้ใครประเคนฝ่ามือหนักๆ ตบท้ายทอยดังสนั่น ตามด้วยแข้งอีกดุ้นหนึ่งนาบเข้ากลางหลังเต็มเงี่ยงเต็มงา!
บึ้ก...!!!
นักเลงเดี่ยวจากวงเวียนเล็กถึงกับเซถลาเสียหลักคะมำหัวซุกหัวซุนไปหาบันไดซิเมนต์เตี้ยๆ ทางขึ้นกุฏิชั้นเดียว โดยมีเสียงฝีเท้าหนักๆ หลายคู่จี้ตามหลัง พริบตานั้น เสียงกร้าวกระด้างมีกังวานเฉียบขาดก็แผดลั่นขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วน!
"หยุดนะ....!!"
เสียงพระใหม่เจ้าของกุฏินั่นเอง ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งขืนตัวชะงักหยุดในท่าก้มหน้า ขบกรามนิ่งด้วยความคับแค้น ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เขาไม่เคยคิดร้ายต่อพระแดงและสมัครพรรคพวกเลยสักนิด ไฉนได้รับผลตอบแทนเยี่ยงนี้? โดนจ๊อด เฮาดี้ไล่แทงให้เป็นที่อับอายขายหน้าก็เจ็บปวดขมขื่นพออยู่แล้ว ยังมาถูกรุมข่มเหงซ้ำเข้าอีก หรือว่าถึงคราวที่จะต้องเป็นศัตรูกัน?
"พวกเอ็งทำแบบนี้ได้ยังไง....?"
พระใหม่เอะอะต่ออย่างฉุนเฉียว
"......เก็บมีดเก็บไม้ถอยออกไปเดี๋ยวนี้!"
"พระแดง....!"
เสียงหนุ่มผู้คุมร้องแย้ง
"นี่มันไอ้ปุ๊ไม่ใช่เรอะ?"
"ใช่"
"อ้าว....!"
"แต่ไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด"
"เอ๊ะ? งั้น......"
"นี่คือปุ๊ บรรเจิด เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของอาตมา ซึ่งบังเอิญไปเดินกะไอ้ปุ๊ ระเบิดเป็นครั้งคราว"
"ก็มันพวกเดียวกัน"
"ไม่ เขาอยู่ตรงกลางเป็นเพื่อนทั้งสองฝ่าย จะยังไงปุ๊ บรรเจิดก็ไม่ใช่ศัตรูของเรา ขอเถอะ.....แหลมสิงห์....คนอื่นๆด้วย ไม่ว่าจะวันนี้หรือวันหน้า อย่าแตะต้องเขาอีก!"
จบคำ นักเลงเดี่ยวผู้มาตามลำพังหัวเดียวกระเทียมลีบ เงยหน้ามองเจ้าของเสียงด้วยสายตาที่ยังไม่ทิ้งวี่แววของความปวดร้าว ก็ใครเล่าจะยินดีกับการถูกเหยียบย้ำหมิ่นหยาม? เขาได้พบว่าผู้ครองเพศบรรพชิตซึ่งถลันพรวดพราดออกมาจากกุฏิ กำลังยืนเดินอยู่บนระเบียงแคบๆ เหนือบันใด และพอสบตากัน พระใหม่ก็เอ่ยเสียงอ่อน
"โยมปุ๊ อาตมาขอโทษ"
หนุ่มพลัดถิ่นฝืนยิ้มแห้งแล้ง
"ท่านไม่ได้ทำอะไรผมนี่ครับ"
"แต่คนของอาตมาทำ"
"ช่างมันเถอะ ท่านคงสบายดี?"
"ก็ตามอัตภาพน่ะแหละ โยม"
"ที่มาครั้งนี้....ก็เพื่อเคลียร์เรื่องที่จ๊อดไล่แทงผม" สีหน้าของผู้อยู่ในร่มกาสาวพัสต์หม่นม่อยลงเล็กน้อย
"เรื่องนั้น....อาตมาก็เสียใจ"
"ไม่เป็นไรครับ เมื่อท่านได้ยืนยันกับทุกคนแล้วว่าผมไม่ใช่ปุ๊ ระเบิดขวด ผมก็ขอลา"
เจ้าขอกุฏิรีบยกมือห้าม
"อ๊ะ !ไม่ได้!"
นักเลงเดี่ยวขมวดคิ้ว
"ทำไมล่ะครับ?"
"จะรีบไปไหนเล่า....โยม? เรามีโอกาสได้เจอกันบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่ ขึ้นมาคุยกะอาตมาก่อนซี่เดี๋ยวหลังเพลกินข้าวกินปลาให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับ"
"แต่ว่า....."
"ไม่มีแต่ ขึ้นมาเถอะ อาตมาเชิญ!"
ผู้ครองเพศบรรพชิตสรุปรวบรัดตัดบทแล้วหมุนตัวเดินกลับเข้าประตูกุฏิหายลับ
ปุ๊ กรุงเกษม ระบายลมหายใจแผ่ว แน่นอน เขาหมดทางปฏิเสธ!
สองจอมประลัยกัลป์ ปุ๊ ระเบิดขวด กับดำ เอ๊สโซ่ กำลังอยู่ในร้านหรดีย่านหลังวัง ขณะที่ตะวันคล้อยบ่าย ทั้งคู่ ละเลียดโอเลี้ยงไปพลางสอดส่ายสายตามองหาพลพรรคแก๊งวัยรุ่นคู่อริที่อาจจะพลัดหลงมารับเคราะห์ ทว่า คนที่กระหืดกระหอบเข้ามาในร้านกลับเป็นลิ่วล้อของตัวเอง ซึ่งพอจ่อมก้นลงบนเก้าอี้ว่งหมอนั่นก็ตวัดเสียงเร็วปรื๋อ
"รู้มั้ย ? ฉันตามหาพี่ทั้งสองคนซะแทบแย่ไปมาหมดทั้งที่บ้าน สิบสามห้าง กระทั่งโรงโบว์ลิ่ง"
ขาใหญ่บางลำภูร้องสั่งโอเลี้ยงแก้วใหม่มาให้สมุนปลายแถวแล้วขมวดคิ้วกังขา
"เอ็งไปโดนใครไล่กระทืบมา งั้นเรอะ?"
"เปล่า"
"แล้วไหงตระเวนหาข้าซะทั่วกรุง?"
"ฉันมีข่าวสำคัญจะรายงาน"
"ข่าวอะไร?"
ลิ้วล้อก้มดูดโอเลี้ยงที่คนเสิร์ฟยกมาตั้งให้ตรงหน้าหวิดครึ่งแก้ว ก่อนบอก
"ปุ๊เจิดโดนแหลมสิงห์ไล่ฟัน"
หัวโจกสะดุ้งเฮือก ตาเบิกโพลง
"ฮ้า! จริงเรอะ?"
"ฉันจะมาโกหกทำไม ไมใช่เรื่องจะล้อกันเล่นนี่นา"
"เดี๋ยว! แหลมสิงห์ไล่ฟันปุ๊เจิดที่ไหน?"
"ที่กุฏิพระแดง ในวัดสุทัศน์"
"อะไรกัน ? ก็มันเป็นเพื่อนพระแดง"
"ใช่ แต่ตอนนั้นพระอยู่ในกุฏิ ยังดีที่เผ่นออกมาห้ามไว้ทัน ไม่งั้นมีหวังเละคาที่ เพราะพี่แกตัวคนเดียวเลยเจอทั้งมือตีนและอีดาบครบเครื่องต้มยำ"
"โดนเข้ากี่แผลล่ะ?"
"ไม่มีแผล แหลมสิงห์มันหวดด้วยดาบทั้งฝัก เห็นว่าล่อเข้ากลางกบาลเปรี้ยงบะเร่อ"
"ปุ๊เจิดยังอยู่ที่วัดรึเปล่า"
"ป่านนี้คงกลับมาบ้านแล้ว"
จิ้งจอกอันตรายจากตรอกสาเกควักเงินค่าโอเลี้ยงวางลงบนโต๊ะก่อนพรวดลุกขึ้นพยักหน้ากับคู่ซี้
"ไปวะ ดำ"
นักเลงสวนมะลิยันตัวลุกจากเก้าอี้ แต่ก็ไม่วายเลิกคิ้วถาม
"ไปไหน?"
"บ้านไอ้ปุ๊ เรื่องนี้ข้ายอมไม่ได้เด็ดขาด ต้องไปพาเพื่อนมาแก้คืน"
"จะแก้ยังไงวะ?"
ก็พวกห่านั้นหดหัวอยู่แต่ในวัด"
"จะแปลกอะไร ในวัดไม่ได้มีตำรวจ"
"เฮ้ย! นี่หมายความว่า......?"
ปุ๊ ระเบิดขวด เคี้ยวกรามกร้วมสนั่น ตาดุดันแข็งกร้าวโชนประกายวาวจ้าขณะกระแทกเสียงเฉียบ
"ข้าจะบุกวัดสุทัศน์"
โปรดติดตามตอนต่อไป
#นักเลงโต
โฆษณา