11 มี.ค. 2021 เวลา 14:23 • นิยาย เรื่องสั้น
#ตอนที่ ๑๔ [วัยรุ่นคะนองกรุง]
#จุดจบ
หลังสองยามของวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๐๕ มันเป็นเวลาประมาณ ๑ นาฬิกา ขณะที่พระแดงครองจีวรก้าวลงจากกุฏิโดยมีลูกศิษย์ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดนายหนึ่ง ถือห่อผ้าตามหลัง เดินผละจากบันไดไปไม่กี่ก้าวภิกษุหนุ่มก็ชะงัก เหลียวมองกุฏิหลังน้อยคล้ายจะยังอาวรณ์ จากนั้น หนึ่งบรรพชิตกับหนึ่งผู้ติดตามก็
ย่ำย่างฝ่าความมืดเปลี่ยววังเวงอ้างว้างของราตรีอัน
เงียบงันมุ่งสู่โบสถ์ เมื่อถึงที่หมาย ทั้งคู่หายเข้าโบสถ์พักใหญ่ๆก็กลับออกมาด้วยกันในสภาพที่แปลกเปลี่ยนไป เพราะสมมุติสงฆ์ซึ่งยังบวชไม่ทันครบพรรษา ไม่ได้ครองจีวรเหมือนเก่า แต่กลับอยู่ในเครื่องแต่งกายของฆราวาส !
แน่นอน เขาเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์ออกจากกาย กลับคืนสู่เพศอันต่ำช้าเรียบร้อยแล้ว และด้วยการกราบขอลาสึกกับพระพุทธรูปลาก่อน...ผ้าเหลือง ! ลาทั้งเครื่องอัฐบริขาร โบสถ์วิหารและร่มเงาอันสงบเย็นของพระบวรพุทธศาสนาเขาบุญน้อยเกินไป จึงต้องกลับกลายมาเป็น #แดงไบร์เล่ย์ คนเดิม !
อีกครึ่งชั่วโมงให้หลัง ทิดสึกใหม่ซึ่งเพิ่งหลุดจากกำแพงวัด ก็ก้าวลงเรือหางยาวที่ท่าพระจันทร์ ละลิ่วข้ามเจ้าพระยามุ่งเข้าคลองบางระมาด มุ่งไปตามวิถีแห่งกรรม !!
การที่หัวโจกแก๊งหนุ่มคะนองตรอกไบร์เล่ย์ แหกผ้าเหลืองทิ้งเพศบรรพชิตหนีออกจากวัดสุทัศน์หายตัวไปกลางดึก เป็นสัญญาณอันตรายที่น่ากริ่งเกรงไม่น้อย
เพราะเมื่อต่างก็มีแม่ทัพบัญชาการรบ ทั้งสองฝ่ายจะต้องระเบิดศึกใหญ่ยกพลเข้าเข่นฆ่าราวี กันไม่วันใดก็วันหนึ่ง ! ซึ่งนั่นหมายถึงความเดือดร้อนของชาวบ้านร้านช่องผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่บังเอิญจับพลัดจับผลูเข้าไปร่วมอยู่ในสมรภูมิหรือพื้นที่ใกล้เคียง
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องเร่งมือทำงานหนักขึ้นกว่าที่หนักหนาสาหัสอยู่แล้วเป็นทวีคูณ เพื่อที่จะสืบสวนติดตามจับกุมหล่าวัยรุ่นอันตรายให้ได้โดยเร็วเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม และเพื่อกำราบปราบปรามจิ๊กโก๋กวนเมืองทุกแก๊งให้สงบราบคาบ หมดฤทธิ์เดชโดยสิ้นเชิง ! สายสืบมือดี ถูกส่งกระจายกันออกแกะรอยไล่ล่าบรรดาตัวดังๆอย่างไม่ลดละ ตำรวจใช้เวลาไม่นานนัก ก็ได้เบาะแสร่องรอยความเคลื่อนไหวของ #ปุ๊ระเบิดขวด กับ #ดำเอ็สโซ่ ว่าทั้งคู่ดอดไปกบดานอยู่ที่บ้านพรรคพวกในตรอกโรงน้ำแข็ง ตรงข้ามกับโรงเรียนอำนวยศิลป์ธนบุรี
แผนปฏิบัติการถูกกำหนดขึ้นอย่างรวดเร็ว! พอได้เวลาตีสี่ โปลิศน้อยใหญ่จากสถานีตำรวจนครบาลสามเสนร่วมสามสิบนายก็กระจายกำลังเข้ารายล้อมบ้านหลังที่เป็นเป้าหมายไว้อย่างเงียบเชียบ ! จนกระทั่งหกโมงเช้าพ้นยามวิกาลนั่นแหละ บรรดาผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ถึงได้จู่โจมขึ้นไปบนบ้าน ปรากฏว่าไม่เจอแม้แต่เงาของสองจอมประลัยกัลป ซึ่งระแวงระวังอยู่ตลอดเวลาและย้ายแหล่งซ่อนตัวมันเรื่อยไป
คืนที่ผ่านมา ขาใหญ่บางลำภูกับคู่ชี้ไม่ได้นอนที่นั่น สองหนุ่มอันตรายย้ายไปหลบซ่อนที่อื่นแล้ว แต่ตำรวจก็ไม่ถึงกับคว้าน้ำเหลวเสียเที่ยวเปล่า เพราะอย่างน้อยที่สุด ก็ยังมีสมาชิกร่วมแก๊งระเบิดขวดนายหนึ่งนอนอยู่บนบ้าน และถูกตะครุบตัวได้โดยละม่อมไม่ใช่ใครที่ไหน เหลิม พรานนก ! ซึ่งแน่ละว่าด้วยข้อหางาม ๆที่ก่อไว้หลายเรื่อง จะทำให้หมอต้องหมดอิสรภาพไปนานโขทีเดียว !
แม้แดง ไบร์เล่ย์ จะเร้นตัวข้ามเจ้าพระยาหนีหายไปในตอนดึกโดยปราศจากคนรู้เห็น แต่เบาะแสร่องรอยและความเคลื่อนไหวของเขาก็ถูกโปลิศสืบเสาะติดตามได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่เลย เพียงไม่ทันข้ามวัน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็ได้ระแคะระคายว่าทิดสึใหม่มีบ้านญาติอยู่ในคลองบางระมาด ฝั่งธนบุรี และหลังจากออกพ้นวัดสุทัศน์ เขาก็มุ่งไปกบดานซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ! กำลังตำรวจจากโรงพักสามเสนซึ่งนำทีมโดยสารวัตรใหญ่ จึงเคลื่อนพลเข้าคลองบางระมาดอย่างไม่รอช้า ทว่า เมื่อไปถึงบ้านอันเป็นที่หมาย โปลิศก็ต้องผิดหวังด้วยไม่พบคนที่ต้องการตัวไม่ใช่เพราะการข่าวผิดพลาด รายงานทุกอย่างต้องตรงตามความเป็นจริง แต่ที่คว้าน้ำเหลวก็เนื่องจากทิดสึกใหม่เดิน ทางสวนกลับมายังฝั่งพระนครก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ตำรวจช้าไปหนึ่งก้าวเช่นเคย ! แดง ไบร์เล่ย์ จึงแคล้วคลาดรอดพ้นมือ
กฎหมายไปได้อย่างหวุดหวิด !
๑๘ กันยายน ๒๕๐๕ ขณะที่ปฏิบัติการไล่ล่าปุ๊ ระเบิดขวด, แดง ไบร์เล่ย์ และดำ เอ๊สโช่ อย่างกระชั้นชิด บรรดาผู้รักษากฎหมายก็ไม่ได้ทิ้งภารกิจอีกด้านหนึ่งที่ต้องกระทำควบคู่กันไป นั่นคือ การติดตามจับกุมมือปืนที่เหนี่ยวไกสาดกระสุนถล่มหัวหน้าแก๊งระเบิดขวด ! และที่สุด ตำรวจก็ได้รับรายงานยืนยันแหล่งที่ซ่อนตัวของ จ๊อด เฮาดี้
เวลาประมาณบ่ายโมงเศษ โปลิศจากโรงพักสามเสนสมทบกับตำรวจ สภ.อ.เมือง นนทบุรีรวมกันกว่าสามสิบนาย ก็เคลื่อนกำลังเข้าโอบล้อมบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนาเจิ่งน้ำในเขตตำบลตลาดขวัญ
บ้านหลังนั้นแหละ ที่สายสืบระบุว่าเป็นรังกบดานของมือปืนวัยรุ่น ! ท่ามกลางสายฝนที่พรมพรำออยสร้อยอยู่ไม่ขาดระยะ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งน้อยใหญ่ต้อง
บุกน้ำลุยโคลนเข้าหาตัวบ้านที่ตั้งโดดเด่นอยู่กลาง
ทุ่งโล่งอย่างลำบากยากเย็น และอย่างระมัดระวังยิ่งยวด เนื่องจากในชั้นแรกต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าคนร้ายมีอาวุธปืน ! คราวนี้ โปลิศไม่ผิดหวัง เพราะเมื่อจู่โจมขึ้นไปบนเรือน ทุกคนก็ได้พบสองหนุ่มที่เพิ่งตกใจตื่นงัวเงียออกจากที่นอน #จ๊อดเฮาดี้ กับ แดง ไตรรงค์ ! โชคดีที่ทั้งคู่ไม่มีอาวุธ ดาวดังในยุทธจักรนักเลงวัยรุ่นอีกสองนายจึงถูกจับกุมโดยละม่อม สิ้นอิสรภาพโดยพลัน !
ด้วยความมุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มประสิทธิภพของเจ้าหน้าที่ผู้รักษากฎหมายทุกระดับชั้นยศที่รับผิดชอบการกวาดล้างแก็งวัยรุ่นยังผลให้ทุกอย่างคืบหน้าไปด้วยดีและรวดเร็วเกินคาด!
คืนวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๐๕ ฝ่ายผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็สืบทราบความเคลื่อนไหวและเบาะแสที่แน่นอนของดาวดังระดับหัวหน้านายหนึ่งว่าหลบไปกบดานอยู่ที่วัดช่างแสง ย่านตลาดเจริญผล และยังรู้กระทั่งว่ารายนี้กำลังเตรียมตัวจะเผ่นออกจากกรุงเทพฯ หนีไปชลบุรีในตอนเช้ามืด ตีสี่คืนนั้น ตำรวจจาก สน.สามเสน ร่วมกับ สน.ปทุมวัน ภายใต้การนำของผู้บังคับบัญชาระดับสูงก็เคลื่อนกำลังเข้าล้อมวัดช่างแสงท่ามกลางความมืดของรัตติกาลอันเงียบงัน !
โปลิศปิดล้อมโดยยึดเอาประตูเข้าออกเป็นจุดสำคัญ ทั้งประตูเหนือ ประตูกลาง และประตูด้านที่ติดกับตลาดเจริญผล ส่วนที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามก็ยังมีตำรวจซุ่มอยู่ในเงามืดตามจุดต่างๆอีกจำนวนหนึ่ง ตีสี่ครึ่ง การวางกำลังทุกจุดก็ลุล่วงไปอย่างเรียบร้อยและเงียบเชียบไม่มีอะไรกระโตกกระตากตำรวจทุกนายชุ่มรออย่างมาดมั่น กระชับอาวุธคู่มือเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกได้ทุกกระดิก หากมีการต่อสู้ขัดขืน
ตีห้ากับอีกหกนาที ! นาฬิกาคาดข้อมือซ้ายของนายตำรวจหนุ่มใหญ่ ที่คุมกำลังซุ่มอยู่ในเงามืดตรงประตูกลางระบุเวลาอย่างนั้น ขณะที่ร่างดำตะคุ่มเคลื่อนฝาความมืดมาตามทางเดินข้างโบสถ์ แต่พอโผล่ออกมาถึงด้านหน้าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนพออาศัย หลายคนก็ลอบระบายลมหายใจแผ่ว เพราะที่เห็น เป็นเด็กชายวัยไม่เกินสิบสี่นุ่งกางเกงขาสั้น ตัวเล็กกระจ้อยร่อย ! ไอ้หนูนั่นหยุดยืนเหลียวซ้ายแลขวา เหมือนจะดลาดเลาอยู่ชั่วขณะก็หมุนตัวเดินกลับทางเดิมหายลับ
ครู่ใหญ่ๆ โปลิศประจำจุดประตูกลางซึ่งอยู่ตรงกับหน้าโบสถ์ก็แทบกลั้นหายใจ เมื่ออีกร่างหนึ่งโผล่ออกมาปรากฎแก่สายตา หนนี้ เป็นร่างของชายหนุ่มแต่งกาย
ทะมัดทะแมง ครอบศีรษะด้วยหมวกหนัง มีแว่นดำคาดเหนือดั้งจมูก ! แรกทีเดียว เขาทำท่าจะตรงออกประตูกลาง แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนความตั้งใจ เลี้ยวซ้ายเดินเลาะขนานกับแนวกำแพงไปทางด้านตลาดเจริญผล
ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทุกนายที่เห็นการเคลื่อนไหวของชายหนุ่ม ต่างจับตามองอย่างไม่ยอมกระพริบ ! และด้วยใจที่เต้นรัวระทึก !
เพราะเป้าหมายซึ่งหิ้วถุงกระดาษด้วยมือซ้าย ซุกมือขวาไว้ในกระเป๋ากางเกงตลอดเวลา ซึ่งหากในกระเป๋าเป็นปืน และหมองัดออกมาต่อสู้ก็บรรลัยได้ยิงกันสนั่นวัดแน่นอน ! เพียงชั่วอึดใจที่เนิ่นนานราวกับครึ่งค่อนวันในความรู้สึกของเหล่าผู้รักษากฎหมายที่
กระวนกระวายเฝ้ารอ หนุ่มแว่นดำก็สาวเท้าไปถึง
ประตูด้านตลาดเจริญผลซึ่งจุดนั้น สารวัตรใหญ่กับสารวัตรสอบสวนของ สน.สามเสนคุมกำลังซุ่มดักรออยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เขาเลี้ยวซ้ายผ่านช่องประตู โปลิศ
ทั้งสองก็สะอึกเข้าประกบอย่างรวดเร็ว ! ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก !
"อ๊ะ...!!"
เขาหลุดอุทานออกมาอย่างตื่นตระหนก แต่ก็เท่านั้น ไม่ทันได้ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอะไรสักนิด ข้อมือขวาก็ถูกสารวัตรใหญ่ตะปบกำไว้มั่น ! และพร้อมๆกันนั้น เสียงห้าว ๆมีกังวานดุดันขึงขังก็ดังขึ้นข้างหู
"แดงใช่มั้ย ?"
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ หนุ่มแว่นดำ ตระหนักดีว่าปฏิเสธไปก็ไร้ประโยชน์เขาได้แต่ผกศีรษะรับโดยดุษณีว่าตัวเองคือแดง ไบร์เล่ย์ !
"ใช่ครับ !"
ขาดคำ มือขวาถูกกระชากออกจากกระเป๋า กุญแจสีเงินวาววับที่เปิดเขี้ยวง้างร่าสับกร้วมลงไปทันควัน !
ลาก่อน...อิสรภาพ ! ทิดสึใหม่ซึ่งหัวชุกหัวซุนหลบหนีการติดตามจับกุมได้เพียงสี่วัน ถูกค้นตัวละเอียดยิบ
ซึ่งก็ไม่พบอาวุธอันใดทั้งสิ้น ! ส่วนสถานที่หลบซ่อนเขาเพียงแต่อาศัยนอนฆ่าเวลาบนระเบียงศาลาการเปรียญ ซึ่งเป็นที่โล่ง ๆไม่มีซอกมุมตรงไหน ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องนอนหมอนมุ้งด้วยซ้ำ การตรวจค้นจึงไม่จำเป็น จะอย่างไรก็ตาม แม้จะถูกจับใส่กุญแจมือ
แน่นหนา แดง ไบร์เล่ย์ ก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่มี
ความผิด
"ผมเพิ่งสึกออกมาแค่สามสี่วัน กำลังจะไปหางานทำที่เมืองชล อาวุธก็ไม่ได้พกพา สารวัตรจับผมเรื่องอะไรล่ะครับ ?"
เขาแสดงความกังขาแกมอุทธรณ์ก่อนที่โปลิศจะสวนคำด้วยเสียงหนักแน่น
"ก็คดียิงปุ๊ ระเบิดขวดที่ศรีย่านไง นายถูกจับในฐานะผู้บงการอยู่เบื้องหลัง !"
"ผมเปล่านี่ ช่วงที่เขาถูกยิงผมยังเป็นพระนุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ในวัด ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลย"
"ตำรวจไม่ได้จับแบบเหวี่ยงแหมั่วส่งนะแดงเรามีหลักฐานชัดเจน !"
"แต่ผมบริสุทธิ์..."
"เอาเถอะ ไว้พิสูจน์ความบริสุทธิ์ในศาลดีกว่า ที่แน่ๆก็คือ...ตอนนี้นายเป็นผู้ต้องหาของตำรวจแล้ว"
"ข้อหาล่ะครับ"
"ใช้จ้างวาน และสมคบกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และอีกหนึ่งข้อหาพ่วงท้ายก็คือ ประพฤติตนเป็นบุคคลอันธพาล !”
นายตำรวจใหญ่แจกแจงข้อหาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่ทิดสึกใหม่จะถูกพาไปลงบันทึกประจำวันที่ สน.ปทุมวัน
จากนั้นก็ต้องเดินคอตกเข้าห้องขังโรงพักสามเสน ควบคุมตัวไว้ที่นั่น โดยมีคำสั่งของ พล.ต.ต.ฉัตร หนุนภักดี รักษาการ ผบช.น. กำชับไว้หนักแน่น ! ห้ามเยี่ยมและห้ามประกันเด็ดขาด !
▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️▪️
ดาวโรจน์แห่งยุทธจักรนักเลงวัยรุ่น อับแสงไปแล้วอีกหนึ่งควง !ที่ยังเหลือโดดเด่นก็คือ ดำ เอ็สโซ่ กับ หัวโจก ปุ๊ ระเบิดขวด ซึ่งตำรวจจะต้องพลิกแผ่นดินล่าต่อไปไม่มีเลิกรา ! การเร่งระดมปราบปรามกวาดลงแก๊งกวนเมืองที่กระทำอย่างต่อเนื่องและเอาจริงเอาจัง ก่อความวุ่นวายระส่ำระสายไปทั่วแวดวงบู๊ลิ้มรุ่นคะนองแทบทุกคนจะยุติบทบาทกบดานกันเงียบเชียบ แต่ก็ต้องคอยหวาดผวาอยู่ไม่สุข ตัวเล็กตัวน้อยนั้นไม่กระไรนัก แต่ตัวเต็งๆที่มีพฤติการณ์เด่นชัด และมีชื่ออยู่ในบัญชีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่างกระเจิงหนีกันอุตลุด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปุ๊ ระเบิดขวด กับ ดำ เอ๊สโซ่ ! ทั้งคู่ถูกประกาศจับเป็นที่เอิกเกริก และถูกมือกฎหมายไล่ล่อย่างไมลดละ ! สองจอมประลัยกัลปต้องหัวซุกหัวซุน หลบๆช่อนๆ เร่ร่อนย้ายที่นอนมันเรื่อยไป ไม่เคยอยู่ติดที่เกินหนึ่งคืน
โปลิศก็แกะรอยตามติดชนิดที่เรียกได้ว่าบางครั้งแทบจะหายใจรดต้นคอ ! พอจนแต้มหนักเข้า สองเสือร้ายก็กระเซอะกระเซิงไปหาเจ้าถิ่นวงเวียนเล็กที่บ้านย่านวัดมอญ ในยุทธจักรนักบู๊วัยรุ่น ปุ๊ กรุงเกษม ถือได้ว่าเป็นตัวแสบระดับหัวแถว แต่ระยะหลังเขาค่อนข้างจะระมัดระวัง ไม่ค่อยทำอะไรโฉ่งฉ่างประเจิดประเจ้อมากนักถึงจะติดกลุ่มไปด้วยก็มักปล่อยให้ขาใหญ่บางลำภูกับนักเลงสวนมะลิออกโรงนำหน้า ชื่อเสียงในทางร้าย จึงไม่ปรากฎโดดเด่นสะดุดหูตาผู้รักษากฎหมาย และแม้ตำรวจจะรู้ ๆอยู่ในทีแต่ก็ยังไม่มีข้อหาอะไรที่จะเป็นหลักฐานผูกมัดชัดเจน ดังนั้น หัวโจกวัยรุ่นฝั่งธนฯ จึงสามารถกบดานอยู่ได้แบบหนาว ๆร้อน ๆตะครั่นตะครอพอควร และเมื่อเพื่อนชมชานฝ้าความมืดยามวิกาล
ไปหา เขาก็ต้องรับขับสู้ด้วยดี ทั้ง ๆที่หวาดผวาอยู่ครามครัน หวาดว่าจะไม่รอดหูรอดตาโปลิศ !
หลังจากกินข้าวปลาอาหารกันตามมีตามเกิดอิ่มหนำเรียบร้อย จิ้งจอกอันตรายจากตรอกสาเกก็เอ่ยขึ้นอย่างหนักอก
"ปุ๊ เอ็งรู้แล้วใช่มั้ย ? ว่าตำรวจเขาประกาศจับข้ากะดำอย่างเป็นทางการ"
หนุ่มเจ้าบ้านพยักหน้า
"ทำไมจะไม่รู้ ก็หนังสือพิมพ์ลงรูปเอ็งสอง
คนอึกทึกครึกโครมไปทั่ว"
"เอ็งคิดว่าข้าควรจะทำไงดี ?"
"มันมีอยู่แค่สองทางเท่านั้นเองเพื่อน คือ หนี... หรือไม่ก็มอบตัว"
ขาใหญ่บางลำภูสั่นหัวจนจมูกแทบแกว่ง
"อย่างหลังข้าไม่เอาแน่ ขี้เกียจติดคุก หนีไปตายดาบหน้าดีกว่า"
ดาวดังฝั่งธนฯ หรี่ตาขบริมฝีปากนิ่งอั้นในลักษณะใช้ความคิดอยู่ร่วมอึดใจก็เอ่ยเสียงขรึม
"ถ้าเลือกที่จะหนี พวกเอ็งขืนวนเวียนอยู่แต่ในกรุงเทพฯ คงไม่รอด"
"ใช่..." เจ้าของฉายาน้ำมันตราเสือเออออ "...ไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องเสร็จ !"
"ข้าอยากเผ่นออกต่างจังหวัดเหมือนกัน..."
หัวโจกปุ๊ว่าพลางโคลงศีรษะ "...แต่ไม่รู้จะไปไหนดี"
เจ้าบ้านพรายยิ้ม
"ข้ามองไว้ให้แล้ว"
"เรอะ ที่ไหนล่ะ ?"
ปุ๊ กรุงเกษม จุดบุหรี่อัดควันเข้าปอดลึก ๆ ก่อนตอบสั้น ๆ
"มหาชัย !"
รุ่งขึ้น ! สามหนุ่มอันตรายรุดออกจากบ้านย่านวัดมอญตั้งแต่เช้า จับรถไฟที่วงเวียนใหญ่มุ่งสู่มหาชัยโดยสะดวกราบรื่นเมื่อถึงจุดหมาย ปุ๊ กรุงเกษม ฝากฝังสอง
เกลอไว้กับพรรคพวกซึ่งเป็นนักเลงเจ้าถิ่น แล้วกลับ
เข้ากรุงเทพฯ ตามคำขอของขาใหญ่บางลำภูที่ต้องการเงินจากทางบ้านจำนวนหนึ่งไว้ติดตัว จอมซ่าแห่งวงเวียนเล็กดิ่งไปยังตรอกสาเกขอเงินจากทางบ้านปุ๊ ระเบิดขวด ได้มาสองร้อยบาทถ้วน แต่แทนที่จะตรงไปมหาชัย เขากลับเลี้ยวเข้าวังบูรพาตามประสาหนุ่มเจ้าสำราญ ใช้เงินจำนวนนั้นดูหนังฟังเพลหมดไปร่วมสี่สิบ ! และเงินแค่สี่สิบบาทนั่นเองที่ปุ๊ กรุงเกษม เกือบต้องแลกด้วยชีวิต !!
จอมซ่าแห่งย่านวงเวียนเล็ก ย้อนกลับไปถึงมหาชัยอีกครั้งหนึ่งในตอนบ่ายจัด ! พอลงจากรถไฟ เขาก็จับสามล้อหนึ่งแรงคนดิ่งไปยังที่หมายอย่างไม่รอช้ามันเป็นเรือนชั้นเดียวหลังเล็ก ปลูกซุกอยู่ในแมกไม้ร่มรื่นค่อนข้างลับตาท้ายเขตวัด ซึ่งนักเลงเจ้าถิ่นยกให้เป็นที่พักพิงหลบซ่อนของคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น หนุ่มสำอางก้าวขึ้นบันไดไม้สามสี่ชั้น สลัดรองเท้าทิ้งไว้ตรงระเบียงแคบๆ และสาวเท้าผ่านเข้าประตูพร้อม ๆกับที่สองจอมประลัยกัลป์ซึ่งนั่งอยู่ชิดผนังด้านในยันตัวลุกยืน ปุ๊ กรุงเกษม ขมวดคิ้วกังขา เมื่อกวาด สายตาสะดุดเข้ากับสำรับกับข้าวซึ่งยังไม่มีใครแตะต้อง ใสถาควางไว้ตรงมุมใกล้ ๆประตูแต่ยังไม่ทันได้ชักไช้ไต่ถาม ขาใหญ่บางลำภูก็ชิงเอ่ยชี้แจงเสียงขรึม
"เด็กวัดยกมาวางชักครู่ใหญ่ ๆนี่เอง ก็คงพรรคพวกของเอ็งน่ะแหละที่สั่งมันไว้ให้คอยเป็นธุระดูแลเรื่องอาหารการกิน"
ดาวดังฝั่งธนฯ พยักหน้าเนิบช้า
"ง้านเรอะ"
"ทางบ้านข้าว่าไงมั่ง ?"
"จะว่าไง ก็เป็นห่วงเป็นใยตามประสาพ่อแม่ไม่บ่นด่าเอ็งชักคำด้วยซ้ำ"
"ได้เงินมารึเปล่า ?"
"ได้ แม่เอ็งควักให้มาสองร้อย"
เอ่ยจบ เขาล้วงเงินจากกระเป๋าเสื้อยื่นให้อีกฝ่ายรับไปนับดูแล้วกระตุกหัวคิ้วขมวดย่นสุ่มเสียงขุ่นมัวขึ้นมาทันใด !
"ร้อยหกสิบสองบาท ไหงเหลือแค่นี้วะ ?"
หนุ่มสำอางยิ้มเก้อ ๆ
"ข้าแวะเข้าวังบูรพา กินโน่นกินนี่กะดูหนังรวมทั้งจ่ายค่ารถด้วย มันก็เลยพร่องไปมั่ง"
ประกายโทสะรอนแรงเจือแววอำมหิตน่าพรั่น โชนวายขึ้นในดวงตาเจ้าของฉายาระเบิดขวดอย่างปัจจุบันทันด่วน !
"ไอ้ปุ๊...!"
เขาค่ำรามลั่นด้วยความเดือดดาลสุดขีดเหวี่ยงเงินทิ้งกวัดมือขวาเข้าใต้ชายเสื้อ กระตุกมีดปลายแหลมเปลือยคมวาววับออกมาในฉับพลัน !
"อ๊ะ...!!"
ปุ๊ กรุงเกษม ผงะถอยหลังและหลุดอุทานตื่นเพริดด้วยคาดไม่ถึงและพร้อมกันนั้น เสือร้ายจากตรอกสาเกก็
ระเบิดเสียงกราดเกรี้ยวด้วยความโกรธแค้นจนขาด
สติ
"กูจะฆ่ามึง !!"
ขาดคำ เขาโผนเข้าแทงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยนิด !
เกือบจะพริบตาเดียวกัน ร่างหนึ่งก็ถลันเข้ากั้นกลางอย่างฉับไว ! ไม่ใช่ใครอื่น ดำ เอ๊สโซ่ ! เขาฉวัดมือขวายันอกคู่ชี้ไว้พลางกระแทก
"ไม่เอานะ ! ปุ๊!!"
คนถือมีดถลึงตาวาวจ้า
"เอ็งหลีกไป !"
"ไม่ ! ถ้าเอ็งจะแทงปุ๊เจิด ต้องแทงข้าให้ล้มลงไปก่อน"
"อูวะ !"
"ข้าจำเป็นต้องป้องกันมัน เท่ากับที่ต้อง ป้องกันเอ็ง ปุ๊เจิดเป็นเพื่อนเรานะ"
"ไอ้ห่ะ ! ก็แม่งงเสือกเอาเงินข้าไปใช้ ทั้ง ๆที่รู้เต็มอกว่าเรากำลังเดือดร้อน"
"มันก็ไม่ใช่เงินมากมายอะไรนี่หว่า...แค่สามสี่สิบ เอ็งจะถึงกับฆ่าเพื่อนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายด้วยกันมาเชียวเรอะ ?"
ปุ๊ ระเบิดขวด สะอึกอึ้ง แววดุกระด้างโหดหินในดวงตาค่อย ๆอ่อนจางลคราลงทีละน้อยที่สุด เขาก็ระบายลมหายใจแผ่ว สบตาหนุ่มสำอางพลางเอ่ยเสียงอ่อน
"ข้ากำลังเครียดน่ะ กลุ้มด้วย ก็เลยหงุดหงิดง่าย โมโหร้ายไปหน่อย โทษที...เพื่อน !"
จบคำ เขาเหวี่ยงมีดที่หวิดจะได้ดื่มเลือดพวกเดียวกันปลิวเข้ามุมห้อง พร้อมกับเสียงถอนใจโล่งอกของคนหย่าศึก !
ปุ๊ กรุงเกษม กลับจากมหาชัยถึงบ้านย่านวัดมอในตอนค่ำ โดยไม่ได้นึกเอะใจไหวระแวงอันใดทั้งสิ้น ! มันไม่มีสัญญาณอันตรายอะไรปรากฎให้เห็นวี่แววเลยสักนิด
ทว่า ตีสี่คืนนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็กระจายกำลังเข้าปิดล้อมบ้านทุกทิศทางอย่างเงียบเชียบ ! ตำรวจนั่นเอง ! เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทั้งจากโรงพักสามเสน และ สน.บุปผารามเจ้าของท้องที่ พอฟ้าสางพ้นยามวิกาล โปลิศก็จู่โจมขึ้นเรือนเพื่อตรวจค้นจับกุมคนร้ายที่กฎหมายต้องการตัว ไม่ใช่จอมช่าแห่งวงเวียนเล็ก แต่เป็นปุ๊ ระเบิดขวด กับ ดำ เอ็สโช่ ! ต้นเรื่องเบื้องหลัง มันเนื่องจากตำรวจได้ข่าวว่าทั้งคู่มานอนค้างที่นี่ แน่นอนว่าตำรวจช้าไปหนึ่งก้าวอีกแล้ว ! เพราะเมื่อถึงตอนนั้น สองหนุ่มอันตรายกำลังนอนหลับสบายอยู่ที่มหาชัย การตรวจค้นเป็นไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถึงขนาดรื้อเพคานบ้านค้นทากันเลยทีเดียว ซึ่งก็แน่ละว่าต้องไม่เจอ ! แต่แม้จะไม่ได้ตัวผู้ต้องหาสำคัญ โปลิศก็
ไม่ยอมกลับมือเปล่าให้เสียเที่ยว ปุ๊ กรุงเกษม ถูกหิ้วติดไปด้วย เพื่อสอบเค้นเอาเบาะแสร่องรอยของเพื่อนร่วมแก๊งเขาถูกควบคุมตัวไว้ที่ไรงพักสามเสน ซึ่ง จ้อด เฮาดร้ มือปืนยิงถล่มปุ๊ ระเบิดชวด ก็ยังแกร่วอยู่ในห้องขังที่นั่น
หัวหิน ๒๔ กันยายน ๒๕๐๕ มันเป็นเวลาบ่ายคล้อย ขณะที่หนุ่มใหญ่นายหนึ่งนั่งละเลียดโอเลี้ยง พลางกางหนังสือพิมพ์อ่านอยู่ในร้านกาแฟใกล้ ๆกับร้านขายยาในตลาดหัวหิน เมืองชายทะเลเลื่องชื่อ ดูดโอเลี้ยงแก้กระหายได้ไม่ถึงครึ่งแก้ว สายตาที่ละจากหน้าหนังสือพิมพ์มองกวาดไปรอบๆโดยไม่ตั้งใจ ก็สะดุดเข้ากับร่างของเด็กหนุ่มสองนายที่เดินตามกันเข้าไปในร้านขายยา หนึ่งในสองมีเค้าหน้าคุ้นตาอย่างประหลาด ! เขารีบพลิกหนังสือพิมพ์รายวันเปิดหน้า
แรกดูซ้ำ แล้วผงกศีรษะช้า ๆ เพราะหมอนั่น หน้าตาไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากรูปถ่ายที่ลงในหนังสือพิมพ์ รูปของปุ๊ ระเบิดขวด ! และเขามั่นใจว่าต้องเป็นคน ๆเดียวกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ! ซึ่งก็ถูกต้องตรงเผง ! ที่เขาเห็นคือ ปุ๊ ระเบิดขวด กับ ดำ เอ็สโซ่ ! สองหนุ่มอันตรายติดเรือหาปลาของชาวประมงข้ามทะเลมาขึ้นที่หัวหินตั้งแต่เย็นวาน ด้วยว่าฝ่ายหลังมีบ้านญาติอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ ๑๕ กิโลเมตร
ทั้งคู่ค้างคืนที่บ้านญาติของดำ และตั้งใจว่าจะอาศัยพักพิงอยู่ด้วยสักระยะหนึ่ง เนื่องจากบ้านหลังนั้นห่างไกลย่านชุมชนแวดล้อมด้วยเรือกสวนเหมาะสำหรับเป็นที่กบดานหลบซ่อนอย่างยิ่ง แต่คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต ? แม้อยากจะหมกตัวอยู่เงียบๆ สองจอมประลัยกัลป์ก็จำต้องเข้าตลาดเพื่อซื้อยา ไม่ใช่อะไรหรอกพระเดชพระคุณต่างติดโรคซุกซนกันงอมแงม ต้องกินยาเป็นประจำเพื่อบรรเทาอาการกำเริบของเชื้อร้าย ซึ่งเมื่อได้ของที่ต้องการ สองหนุ่มแสบก็ทอดน่องเอ้อระเหยออกจากร้านขายยาอย่างไม่สู้จะระแวดระวังเท่าใดนัก
เพราะหัวหินไม่ใช่กรุงเทพฯ ทว่า เพียงเดินเลี้ยวให้หลัง หนุ่มใหญ่ที่เฝ้ารออยู่ก็ลุกออกจากร้านกาแฟสะกดรอยตามทันที ! เปล่าดอก เขาไม่ใช่พลเมืองดีที่คอยเป็นหูเป็นตาช่วยเหลือทางการ สองเกลอซึ่งมาจากต่างถิ่นอาจจะไม่รู้แต่คนแถวนี้รู้กันทั่ว ว่าเขาคือผู้บังคับกองแห่งสถานีตำวจภูธรอำเภอหัวหิน !
มันเป็นความชวยชองปุ๊และคำโดยแท้ ชวยบริสุทธิ์ !!
สามทุ่มครึ่ง ! แถบถิ่นชนบทห่างไกลแสงสี กำลังสงบ
เหงาอยู่ในม่านมืดดำของราตรีกาลปลอดเปลี่ยวผู้คน
ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้วนหลับใหลด้วยความอ่อนเปลี้ย
เพลียแรงจกการกรำงานหนักมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น
ช่วงเวลาอันนสุโขอยู่บนที่นอน ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์จากโรงพักหัวหินจำนวนหนึ่ง กลับเคลื่อนขบวนฝ้าความมืดเข้ารายล้อมเรือนกลางสวนบ้านสระน้อย ตำบลเขาเต่า ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ ๑๕ กิโลเมตรอย่างเงียบเชียบ ไม่ใช่เพราะอื่นใดดอก
มันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่ ผบ.กอง สภ.อ.หัวหิน ลงทุนสะกดรอยผู้ต้องสงสัยด้วยตัวเองเมื่อตอนกลางวัน และคอยติดตามอยู่ทุกระยะ จนรู้ชัดว่าบ้านหลังนี้คือที่พักอาศัยของหนุ่มแปลกถิ่นสองนาย ซึ่งหนึ่งในสองมีใบหน้าพิมพ์เดียวกับ ปุ๊ ระเบิดขวด ! ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกลับถึงโรงพักและส่งสายสืบมือดีออกหาข้อมูลประกอบ นายตำรวจหนุ่มใหญ่ก็ได้รายละเอียดที่น่าสนใจเพิ่มเติมว่าทั้งคู่เดินทางมาจากกรุงเทพฯ ก็แทบจะไม่ต้องกังขาอะไรอีกแล้ว
เขาเชื่อมั่นว่าหนึ่งในสองต้องเป็นหัวหน้าแก๊งระเบิดขวดแน่นอน ! เหล่าผู้รักษากฎหมายล้อมตรึงไว้เงียบ ๆ
โดยไม่กระโตกกระตาก และคอยสดับตรับฟังสรรพ
เสียงประดามีอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งแน่ใจว่าทุกคน
บนเรือนหลับสนิท ! นั่นแหละ โปลิศถึงได้ทะยอยกันขึ้นบ้านอย่างระมัดระวังสุ้มเสียง กลางโถงโล่งด้านหน้านั่นเองที่ลำแสงไฟฉายกวาดจับร่างสองหนุ่มนอนหลับนิ่งเคียงกัน โดยมีมีดพกกับระเบิดสังหารของแท้อีกหนึ่งลูกวางไว้ข้างตัว โปลิศรีบเก็บอาวุธอันตรายไว้ก่อนจะสะกิดปลุก
ทั้งคู่สะดุ้งผวาหลุดอุทานเฮอะฮะฟังไม่ได้ศัพท์ ดังพรวดพราดลุกขึ้นนั่งแล้วตรึงตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเครื่องแบบสีกากีขึงขังรายล้อมอยู่รอบทิศ ! เสียงอุทานและเสียงเคลื่อนไหวผิดปกติทำให้เจ้าบ้านกับลูกเมียตกใจตื่น งัวเงียเปิดประตูห้องด้านในออกมาดู พอเห็นกลุ่มผู้รักษากฎหมายก็ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆนิ่งมอง
"นี่มันอะไรกันครับ ?"
ขาใหญ่บางลำภูซึ่งเพิ่งรวบรวมสติได้ ร้องขึ้นเบา ๆก่อนที่โปลิศหัวหน้าทีมจะย้อนถาม
"ปุ๊ใช่มั้ย เราน่ะ...?"
"ปุ๊ไหน ?"
"หัวหน้าแก๊งระเบิดขวด !"
"ไม่ ผมชื่ออี้ด ไม่ใช่ปุ๊"
"เถอะ จะใช่หรือไม่ก็ต้องไปคุยกันที่โรงพักหมู่ใส่กุญแจมือชะ ! ทั้งสองคน !"
"เฮะ ! เฮะ ! เดี๋ยว ! ผมผิดอะไร ?"
ผู้บังคับกองหนุ่มใหญ่ชูน้อยหน่าเหล็กในมือซ้ายขึ้น แจ้งข้อหาเสียงดังฟังชัด
"มีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง !"
สองหนุ่มถึงกับคอตก และลุกขึ้นยื่นมือสวมกำไลเงินโดยดุษณี
จะอย่างไร จิ้งจอกอันตรายจากตรอกสาเกก็ทนปากแข็งยืนกระต่ายขาเดียวอยู่ไม่ได้ เพราะหลังจากถูกคุมตัวไปถึงโรงพักหัวหิน และตำรวจยืนยันด้วยภาพถ่ายในหน้าหนังสือพิมพ์ เขาก็ต้องยอมรับความจริงในที่สุดว่าตัวเอง คือ ปุ๊ ระเบิดขวด ส่วนเพื่อนคู่ชี้ก็เช่นกัน ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเขาไม่ใช่ ดำ เอ๊สโซ่ และทันทีที่ผู้ต้องหารับสารภาพ ผบ.กอง สภ.อ.หัวหิน ก็วิทยุแจ้งข่าวดีถึงตำรวจนครบาลโดยพลัน !
เช้าตู่วันรุ่งขึ้น ผู้บังคับกองหนุ่มใหญ่ก็ควบคุมตัวสองจอมประลัยกัลป์เดินทางเข้ากรุงเทพฯด้วยรถยนต์ และส่งมอบให้กับ พล.ต.ต.ฉัตร หนุนภักดี ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า ช่วงเวลาเดียวกัน เมื่อได้ตัวหัวหน้าแก๊งระเบิดขวดกับคู่หูคนสนิท จอมซ่าแห่งวงเวียนเล็กซึ่งถูกควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสนก็ได้รับการปลดปล่อยออกจากห้องขัง ด้วยว่ายังไม่มีหลักฐานความผิดที่จะผูกมัดชัดเจนสวัสดี...อิสรภาพ !
ในบรรดานักรบระดับหัวหน้าแถวของเหล่าวัยรุ่นอันตรายทั้งสองแก๊ง ปุ๊ กรุงเกษม ซึ่งระยะหลังมักหลีกเลี่ยงการใช้กำลังและความรุนแรงไม่สู้จะออกหน้าออกตาแสดงบทบาทโดดเด่น สร้างซื่อเสียงในด้านร้ายให้ปรากฏชัด เป็นคนเดียวที่ตำรวจจับแล้วปล่อย และที่ปล่อยก็เพราะยังไม่มีโจทก์ นอกนั้น ล้วนถูกดำเนินคดีตามกฎหมายบ้านเมือง ส่งฟ้องศาลติดตะรางกันเรียบวุธ !
แต่แม้จะไม่ติดหลังแห่ไปกับพรรคพวก ปุ๊ จอมกรี๊ดก็หวาดผวาไม่เป็นสุข เขาเชื่อว่าถ้าขืนดันทุรังอยู่เมืองไทยต่อไปไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องได้ตามเพื่อนเข้าชังเตเป็นแม่นมั่น ดังนั้น พอได้ช่องสบโอกาสเหมาะ ดาวดัง
ฝั่งธนฯ ก็เผ่นออกจากไทยแลนด์แดนสยาม โบกมือ
ลาข้ามโขงไปเซิ้งอยู่เวียงจันทน์ ทำมาหารับประทาน
ด้วยการเป็นลูกจ้างฝรั่งยูเสด ทางด้านกรุงเทพฯ พวกตัวเล็กตัวน้อยที่ยังแคล้วคลาดปลอดภัย ไม่ถูกกวาดต้อนเข้าตะราง เพราะเป็นประเภทปลายแถว ต่างก็รู้เจียมรู้ถ่อมลดบทบาทสงบซบเซาลงเป็นลำดับที่สุดก็เงียบหาย ยุทธจักรนักเลงวัยรุ่นล่มสลายไปโดยอัตโนมัติ !
เรื่องราวของ '๒๕๐๒ วัยรุ่นคะนองกรุง' ก็จึงต้องยุติลงตรงนี้เช่นกันเพราะแม้ตัวละครจะยังอยู่ แต่เมื่อกาล
เวลาผ่านไปบรรดาดาวดังทะยอยกันพ้นโทษออกมา
จากเรือนจำ พวกเขาก็ไม่ใช่หนุ่มน้อยเหมือนเดิมไม่อาจเรียกได้ว่าวัยรุ่น ทุกนายล้วนเติบใหญ่เต็มตัว ปีกกล้าขาแข็งมากด้วยประสบการณ์ สามารถบินเดี่ยวได้อย่างทะนงองอาจไม่ต้องกริ่งเกรงอันใด การจับกลุ่ม
รวมแก๊งจึงไม่เกิดขึ้น และต่างก็ดำเนินชีวิตอิสระไปตามวิถีทางที่ตัวเองเลือกเดิน บางคนกลับใจหันหลังให้กับเรื่องเลวร้าย ประกอบสัมมาอาชีวะเลี้ยงชีพเป็นปกติสุขเหมือนเพื่อนร่วมสังคมทั่วไป แต่หลายรายที่ไม่ยอมเลิกละ กลับใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากในคุก เพิ่มดีกรีความร้ายกาจเหี้ยมหาญยิ่งขึ้น และก็เดินไปบนเส้นทางแห่งบาปเวรไม่หยุดยั้ง !
ที่สุดก็พบบั้นปลายที่ไม่แตกต่างกัน แดง ไบร์เล่ย์ พ้นโทษออกมาไม่นานก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ปุ๊ ระเบิดขวด ออกจากคุกด้วยหัวใจร้อนเร่าเพราะอามาตแค้นแหลมสิงห์ ที่ใช้อำนาจผู้คุมซ้อมเขาอย่างทารุณแทบวายปราณ ! แม้แหลมสิงห์จะย้ายหนีไปเป็นผู้คุมที่เรือนจำนครปฐม ปุ๊ก็พาพรรคพวกตามไปยิงถล่มจนคับดิ้นคาร้านอาหาร หลังจากนั้น จิ้งจอกร้ายอันตรายแห่งตรอกสาเก ซึ่งอารมณ์วิปริตปรวนแปรมากขึ้นทุกวัน ก็เริ่มระแวงพวกพ้องใกล้ตัวเขาชักปืนยิงดำ เอ๊สโช่ ในบ้านที่อยู่ด้วยกันแต่พลาดเป้าสำคัญเพราะฝ่ายหลังหลบทันและอาศัยโต๊ะเป็นที่กำบัง
และเมื่อปุ๊ตามยิงกระหน่ำหมายเอาตายเขาก็ถูกต้อย แม้นศรี ซึ่งถือปืนลงมาจากชั้นสองของตัวบ้าน เหนี่ยวไกระเบิดกระสุนเข้าเต็มหลังถึงกับคว่ำข้าวเม่า ดำ เอ๊สโช่ จึงคว้าปืนยิงซ้ำจนตายคาที่แล้วหลบหนีไป ภายหลัง ดำเองก็ถูกคู่อริยิงจนเป็นอัมพาตเดินเหินไม่ได้ เขานอนเจ็บป่วยทรมานอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็สิ้นลมด้วยโรคติดเชื้อทุกคน ล้วนมีจุดจบอันนสลดหดหู่ ด้วยผลแห่งกรรมที่ไม่เคยละเว้นผู้ใด !
สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสไว้เป็นพุทธภาษิต “สานิ กมุมานิ นยนติ ทุคตึ” กรรมของตน ย่อมนำไปสู่ทุคติ !
จบบริบูรณ์
#นักเลงโต
โฆษณา