13 มี.ค. 2021 เวลา 08:04 • ปรัชญา
🍃หยุดคาดหวัง แล้วจะพบทางออก🍃
3
มีใครบ้างที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้โดยไม่มีความหวัง และมีใครบ้างมีชีวิตบนความคาดหวังได้ ได้โดยไม่เจอความผิดหวัง
2
เคยได้ยินคำว่า
🌼ยิ่งคาดหวังยิ่งผิดหวังไหมคะ🌼
🌟วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) กวีเอกของโลกกล่าวไว้ว่า
...ความคาดหวังคือ
รากเหง้าของความเจ็บปวดทั้งปวง...
สาเหตุที่ยิ่งเราคาดหวัง ยิ่งผิดหวังเพราะ
ทุกครั้งที่เราคาดหวังอะไรสักอย่างล่วงหน้า สมองของเราจะหลั่งสารแห่งรางวัลที่ชื่อว่าโดพามีน (Dopamine) ออกมา
ยกตัวอย่างเช่น วันนี้เราจะได้ไปทานอาหารจากร้านที่ใครๆก็ก็รีวิวว่าอร่อย
ถ้าหากเราคาดหวังว่ามันจะต้องอร่อย สมองก็จะหลั่งสารโดพามีน (Dopamine ออกมาก่อนล่วงหน้า
โดพามีน (Dopamine)เป็นสารที่ทำให้
ตื่นตัว อารมณ์ดี กระฉับกระเฉง แต่โดพามีน (Dopamine)เป็นสารเสพย์ติดชนิดหนึ่ง ที่จะถูกหลั่งออกมาในเวลาที่เสพยา เล่นกีฬา หรือว่ามีเซ็กส์เช่นเดียวกัน
เมื่อเราได้ไปร้านอาหารและได้กินอาหารจริงๆอย่างที่ใจเราหวังไว้
...ถ้าอาหารอร่อยอย่างที่เราคาดหวังไว้ระดับสารโดพามีน (Dopamine)จะคงไว้ในระดับเดิม
...แต่ถ้าอาหารนั้นไม่อร่อยอย่างที่เราคาดหวังไว้ สารโดพามีน (Dopamine)
จะถูกลดระดับลง
ระดับโดพามีน (Dopamine) ที่ลดลงนี้จะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อระดับโดพามีนลดลง เราจะเริ่มรู้สึกไม่เต็มอิ่ม รู้สึกขาด รู้สึกไม่พอใจ
🌼ในทำนองเดียวกัน เวลาที่เราตั้งความหวังกับใครไว้ แล้วเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราหวัง
เราจะรู้สึกไม่พอใจบ้าง รู้สึกหงุดหงิดบ้างรู้สึกอยากจะไปหาความสุขอะไรซักอย่างเพื่อที่จะมาชดเชยสิ่งที่หายไปตรงนี้
นั่นคือสมองของเรากำลังเรียกร้องอยากได้สารโดพามีน (Dopamine) กลับมา
โดพามีน (Dopamine) จึงถือว่าเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง ยิ่งหลั่งมากยิ่งมีความสุขมาก ยิ่งคาดหวังมากยิ่งอยากได้ความสมหวังมาก ถ้าหากเราไม่คาดหวังตั้งแต่แรก กลไกนี้ก็ไม่เกิด
🌟หลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านเคยสอนไว้ว่า
ความสุขกับความทุกข์เปรียบเสมือนงูตัวหนึ่ง ที่หัวคือความทุกข์ แต่ที่หางคือความสุข
2
หากเราเอามือไปจับหางงูซึ่งเปรียบเสมือนความสุขเราก็จะไม่ถูกงูกัด แต่ถ้าเราเอามือไปจับที่หัวงูซึ่งเปรียบเสมือนความทุกข์เราก็จะโดนงูกัดเอาได้
1
คงไม่มีใครอยากจะเอามือเอื้อมไปคว้าความทุกข์มาเก็บไว้กับตัว มีแต่อยากจะเอามือของเราเอื้อมไปหาความสุขมากกว่า
2
เวลาที่เรามีความสุข เรามักจะโอบกอดความสุขไว้แน่น เพราะเราไม่อยากจะสูญเสียช่วงเวลาดีๆเหล่านั้นไป
ถ้าเปรียบความสุขคือหางงู แล้วเราจับหางงูเอาไว้แน่นไม่ปล่อยมือ สักพักหัวงูจะย้อนกลับมากัดมือของเราเอง เพราะทั้งหัวงูและหางงูมันก็อยู่ในงูตัวเดียวกัน
🌼เวลาที่เรามีความสุขให้ลองสังเกตดูให้ดีๆว่า ว่าเราอยากจะได้มันเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
เช่น
....ถ้าเรามีความสุขกับการได้เงิน เราจะอยากได้เงินเพิ่มมากขึ้นหรือไม่
1
....ถ้าเรามีความสุขจากการมีใครสักคน มาคอยให้ความหวังและกำลังใจเรา ให้การสรรเสริญให้การยอมรับ เรารู้สึกเราอยากจะได้มันเพิ่มขึ้นมากอีกหรือเปล่า
2
คงไม่มีใครอยากจะได้รับสิ่งนี้ลดน้อยลงเพราะเมื่อไหร่ที่มันลดน้อยลงเราจะรู้สึกขาดรู้สึก รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกว่า
...ความรวยที่เราเคยมีมันหายไปไหนนะ
...คนที่เคยรักเรา คนที่เคยสนับสนุนให้การยอมรับเรา เขาหายไปไหนนะ
2
ทำไมความสุขที่เคยมากมายในวันนั้น มันกลับเปลี่ยนเป็นความทุกข์ตั้งแต่เมื่อไหร่
ลองสังเกตดูนะคะ ทุกครั้งที่เราเอื้อมไปโอบรัดความสุขให้มาอยู่กับตัว เรามักจะยึดติดและอยากให้มันคงอยู่กับเราตลอดไป
4
สุดท้าย เมื่อกาลเวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน สถานการณ์เปลี่ยน สิ่งแวดล้อมเปลี่ยน พอหลายๆสิ่งเปลี่ยนไป เรากลับได้รับสิ่งตอบแทนเป็นความเจ็บปวดกลับคืนมา
1
🌼เราต้องเข้าใจอย่างหนึ่งก่อนว่า
พวกเราอยู่ในมิติที่สี่ คือมิติของเวลา
ทำให้เรามีวันนี้ วันพรุ่งนี้ มะรืนนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดา
2
สสารทุกชนิดในจักรวาลอยู่ภายใต้กฎของแสงอาทิตย์ ซึ่งแสงนี่แหละที่ทำให้เรามีเวลา
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein)
พยามจะไขความลับเรื่องของเวลาทฤษฎีสัมพันธภาพของเขา เขากล่าวไว้ว่า
ถ้าหากเราทำความเร็วได้มากขึ้นเท่าไหร่เวลาจะยิ่งเดินช้าลงมากขึ้นเท่านั้น
เราจึงสังเกตเห็นได้ว่าดาวเคราะห์แต่ละดวงมีเวลาในการเดินทางบนดาวที่เดินช้าเร็วไม่เท่ากัน ดาวดวงไหนที่เคลื่อนที่ได้เร็ว เวลาในบนดวงดาวนั้นก็จะเดินช้าลง
นักวิทยาศาสตร์สายควอนตัมพยายามที่จะเอาชนะกฎเกณฑ์ของเวลา ด้วยการทดลองเร่งความเร็วของอนุภาคให้เร็วกว่าความไวของแสง นั่นก็คือ ต้องไวกว่าสามแสนกิโลเมตรต่อวินาที
ถ้าหากทำได้ตามทฤษฎีสัมพันธภาพ เวลาจะหมุนย้อนกลับ เราจะสามารถย้อนเวลากลับไปสู่อดีตได้ ทว่าในปัจจุบัน ก็ไม่มีวัตถุใดๆในจักรวาลที่สามารถเอาชนะความไวของแสงได้เลย
ทุกสิ่งทุกอย่างจึงมีแต่จะเดินต่อไปข้างหน้าเสมอ ความเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นถ้าเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ได้ ก็แปลว่าเรากำลังทำสิ่งที่ผิดกฎของธรรมชาติ
สิ่งที่แน่นอนที่สุดในจักรวาลนี้จึงไม่มีอะไรที่มั่งคง ทว่ามันคือความเปลี่ยนแปลงต่างหาก การคาดหวังจนเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเจ็บปวดในอนาคต
🌼อย่างไรก็ตามความคาดหวังไม่ได้สร้างความทุกข์ให้กับเราเสมอไป เพราะความคาดหวังสามารถสร้างความสำเร็จให้เราได้ด้วย
1
เพราะความหวังถูกนำมาใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนชนิดหนึ่งที่สามารถนำพาให้เราไปสู่จุดหมายของเราได้สำเร็จ
🌟ทฤษฎีความหวัง( Hope Theory )ถูกคิดค้นโดยนักจิตวิทยาชื่อ ชาร์ล สไนเดอร์ (Charles Snyder) ได้กล่าวว่า
...พลังของความหวังสามารถสร้างแรงขับเคลื่อนมหาศาล ให้เรามีความคิดริเริ่มที่จะทำอะไรสักอย่าง ให้ประสบความสำเร็จได้
2
🌟จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar )
นักรบผู้น่าเกรงขามแห่งโรมันก็ยังเคยกล่าวว่า
...ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ได้เพราะความหวัง
แต่ความหวังนั้นต้องไม่ใช่ความหวังที่สร้างความเจ็บปวดให้กับเราในอนาคต
ควรเป็นความหวังที่เราต้องรู้จักการปล่อยวางด้วย
3
นั่นคือหากเราตั้งความหวังหรือมีความฝันอยากจะทำอะไรบางอย่างให้ประสบความสำเร็จ เราไม่ควรอยากจะได้มันมากเกินไป
1
การอยากได้บางสิ่งบางอย่างมากๆ แสดงว่าในใจลึกๆของเรายังมีความลังเลใจ กลัวว่าเราจะไม่ได้สิ่งสิ่งนั้นมา
🌼 กฏแห่งแรงดึงดูด
มีขั้นตอนการทำงาน3 ข้อคือ
1️⃣ ขอ
ขอออกไปเลยว่าคุณอยากได้อะไร
2️⃣เชื่อ
เชื่อว่าสิ่งนั้นเป็นของคุณแล้ว และ
3️⃣รับ
รอรับอย่างเดียว เพราะสิ่งที่คุณขอประสบความสำเร็จแล้ว คุณเพียงแค่รอจนกว่าคุณจะได้รับมัน
ทั้งสามขั้นตอนนี้ หากเรามีความอยากได้ในสิ่งที่เราขอมากจนเกินไป เราก็จะมีความกลัวว่าเราจะไม่ได้สิ่งสิ่งนั้น นั่นแสดงว่า
เราไม่เชื่อว่าเราจะได้สิ่งมันมา ดังนั้นกฎแห่งแรงดึงดูดจึงไม่ทำงาน
🌼จึงเป็นที่มาว่า ยิ่งอยากได้ยิ่งไม่ได้ เมื่อหยุดอยากแล้วจึงได้ เราจึงต้องรู้จักการปล่อยวางให้เป็น
🌼การปล่อยวางคือ
การปล่อยบางสิ่งลง แล้ววางมันไว้ตรงนั้น
1
🌼อย่าเอื้อมมือไปจับหางงูถ้าไม่อยากโดนหัวงูกัดเข้าสักวัน ดังนั้นถ้าหากว่าเรามีความคาดหวังแบบรู้ทัน เราก็จะไม่ผิดหวังเลย
🍃มนุษย์ทุกคนล้วนมีเส้นทางเดินชีวิตเป็นของตัวเอง ผ่านการทำงานของจิตใต้สำนึกที่แต่ละคนสั่งสมมา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำถูกขับเคลื่อนผ่านการทำงานของจิตใต้สำนึกของเราทั้งสิ้น
🌟มีงานวิจัยของสถาบันแห่งหนึ่งได้ทำการทดลองออกมาแล้วว่า
มนุษย์มีการตัดสินใจบางสิ่งบางอย่างไปก่อนล่วงหน้าแล้วถึง 17 วินาทีโดยที่ยังไม่ทันรู้ตัว
มนุษย์จะใช้ข้อมูลในการตัดสินใจจากจิตใต้สำนึกที่อยู่ภายใน มากกว่าจิตสำนึกที่อยู่ภายนอก เพราะข้อมูลของจิตใต้สำนึก ประมวลผลได้เร็วกว่าจิตสำนึก
ดังนั้นการที่เราจะไปคาดหวังให้ใครมาเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างเพื่อเรา
บางทีตัวเขาเองยังฝืนพลังการทำงานของจิตใต้สำนึกตัวเองยังไม่ได้เลย
1
🌼เราจึงต้องรู้จักปล่อยวางบางสิ่งบางอย่างลงบ้าง
🌼อย่าจับหางงูจนแน่น เพราะถ้าหากไม่ระวัง งูตัวนั้นเพราะมันอาจจะแว้งกลับมากัดเราได้โดยทึ่เราไม่ทันรู้ตัว
1
ขอบคุณที่แวะมาอ่านและทักทายกันค่ะ
💖ใจ : ฟ้าหลังฝน💖
13/03/64
โฆษณา