13 มี.ค. 2021 เวลา 15:02 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
The trial of the 7 chicaco
“We’re not goin’ to jail because of what we did, We’re goin’ jail because of who we are”
“เราไม่ได้ติดคุกเพราะว่าเราทำอะไร แต่เราติดคุกเพราะเราคือใครต่างหากล่ะ!”
The trial of the 7 chicaco เป็นภาพยนต์ drama กฎหมายทางประวัติศาสตร์อเมริกัน ในปี 1986 โดยผลงานการเขียนและกำกับโดย AARON SORKIN ถูกนำมาเผยแพร่เมื่อปีใน 2563
โดยตัวหนังเองว่าด้วยเรื่องราวของกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านการส่งวัยรุ่นชายในอเมริกาไปสู้ในสงครามเวียดนาม โดยมีผู้ประท้วงที่เป็นแกนนำหลักทั้งหมด 7 คน ถูกตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดและข้ามพรมแดนโดยมีเจตนาปลุมระดมให้เกิดการจราจลในการประชุม 1968 Democratic National Convention ที่ชิคาโก
ตัวหนังอาศัยเรื่องราวที่เกิดขึ้นอดีตที่เป็นประวัติศาสตร์แทบจะทั้งหมด แต่คนที่ไม่มีความรู้หรือข้อมูลในช่วง ยุค 1960 ไม่ต้องกังวลว่าจะดูไม่เข้าใจ เพราะในหนังเรื่องนี้อาศัยการลำดับเรื่องราว ประกอบกับ footage ได้ค่อนข้างเข้าใจง่ายและน่าสนใจ ประเด็นของหนังคือสังคมทางการเมืองและการประท้วงของประชาชนที่เข้มข้น แต่อาศัยการเล่าในศาลไปเกือบๆ ทั้งเรื่อง ซึ่งอาจจะน่าเบื่อนิดหน่อย
ตัวนักแสดงแต่ละคน ต้องขอชมเชยว่าเลือกนักแสดงมาได้โคตรดี โคตรเหมาะกับบททั้ง 7 คน ไม่ว่าจะเป็น Abbie Hoffman, Jerry Rubin, Tom Hayden, Rennie Davis, David Dellinger, Lee Weiner, John Froines, Bobby Seale รวมถึง พนักงานอัยการชูลต์ด้วยที่รับบทโดย Joseph Gordon Levitt ด้วย
Joseph Gordon Levitt รับบท Richard Schultz
มีอยู่ไดอะล็อกหนึ่งที่เราประทับใจมากๆคือ ตอนที่ Abbie พูดตอนขึ้นพูดในฐานนะจำเลยโดยยกคำพูดของลินคอนมาพูดว่า
“ในปี 1961 ลินคอนพูดตอนขึ้นรับตำแหน่งว่า เมื่อใดที่ราษฏรรู้สึกว่าใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญแล้วเปลี่ยนแปลงรัฐบาลไม่ได้ เมื่อนั้นราษฏรย่อมใช้สิทธิแห่งการปฎิวัติเพื่อปลดหรือขับไล่รัฐบาลนั้นได้” Abbie ก็พูดต่ออีกประมาณว่าถ้าลินคอนมาพูดแบบนี้ในตอนนี้ก็คงต้องมาขึ้นศาลแบบผมแล้วล่ะ
จากนั้นไม่พอ พอโดนคำถามว่าคุณเกลียดรัฐบาลหรอ นิ่งไปสักพัก เขาก็ตอบว่า “ขอเวลาให้ผมสักครู่ได้ไหม ผมยังไม่เคยถูกไต่สวนทางความคิดมาก่อน” หลายๆประโยคที่ Abbie พูดออกมาล้วนแต่เป็นเหมือนอาวุธที่ไว้ตอกกลับอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างชาญฉลาดและก็เท่มากๆเอาเสียด้วย
Sacha Baron Cohen รับบท Abbie Hoffman
ในระหว่างที่ดู หนังเรื่องนี้มันค่อนข้างแอบเครียดแล้วก็บีบอารมณ์เราแทบจะตลอดเวลา ทั้งอึดอัด สนุก แล้วก็ลุ้นไปพร้อมๆกันด้วย ดูแล้วก็นึกถึงแต่เหตุการณ์ของประเทศไทย ในช่วงยุค 1960 ของบ้านเขา ไปเถียงกันเรื่องนู้นเรื่องนี้แล้ว แต่มาที่ประเทศสไทยเรา ปี 2021 แล้ว เรายังต้องมาเรียกร้องถนน เรียกร้องฟุตปาธกันอยู่เลย ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดีนะ แต่รู้สึกว่าประเทศเรามันเสียเวลาไปเยอะมาก เยอะมากจริงๆ
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะชมคือการเลือกเพลงมา end credit พอหนังจบเพลงขึ้นปุ๊บ มันแบบหวึ่งงงงงงงงงงงงงงงงง หัวใจมันเต็มอิ่มอะ เขาเลือกเพลงมาได้เหมาะ งที่เราได้จากหนังเรื่องนี้ คือความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เราเห็นแสงสว่าง ว่าอย่างน้อยๆ เราก็พยายาม เราก็สู้แบบสันติ ที่เป็นสันติ(อาจจะดื้อกว่าคานธีนิดหน่อย) แม้จะต้องใช้ความพยายามมาก และไม่รู้ว่าจะเห็นผลหรือเปล่า แต่เราก็อยากพยายาม อยากสู้กับสิ่งที่มันดูหมดหนทาง ดูสิ้นหวังเหลือเกินในประเทศนี้
ไปฟังกันค่ะเพลงนี้ click!
โฆษณา