14 มี.ค. 2021 เวลา 10:58 • ความคิดเห็น
ตอนที่ได้ยินว่า ที่ประเทศจีนเค้าไม่ใช้เงินสดแล้วนะ ทุกอย่างผ่านระบบ Digital หมดแล้ว ใครพกพาเงินสดไปซื้อหาทั้งของใช้และบริการ อาจจะได้รับการปฏิเสธได้
1
เนื่องจากคนข้างตัวเป็นพวกต่อต้านอะไรทำนองนี้ ก็เปรยขึ้นเมื่ออ่านข่าวว่า “รัฐบาลคอมมิวนิสต์นี่นะ!!”
ฝรั่งชาวสวิสผู้ซึ่งเป็นสามีของดิฉันเองค่อนข้างพารานอยด์กับเรื่องการเข้าถึงข้อมูล Digital และอะไร ๆ ไฮเทคต่าง ๆ อาทิ เอาสติกเกอร์มาปิด Camera ใน Device ทุกตัวไม่ว่าจะเป็นเครื่องคอมใหญ่ Notebook iPad หรือแม้แต่โทรศัพท์ของตัวเอง เขามั่นใจว่าระบบเครือข่ายเหล่านี้สามารถแฮกกันได้เสมอ และช่องทาง Camera พวกนี้ก็คือแผลที่จะนำเข้าเชื้อโรคมาสู่ร่างกาย (คงกลัวว่าจะมีคนมาสอดแนม)
1
นี่ยังไม่รวมถึงบัตรสมาชิกสะสมแต้มของห้างร้านต่าง ๆ ที่ดิฉันเห็นว่าเป็นกำไรนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ลูกค้าอย่างเราควรจะได้ เช่นซุปเปอร์มาเก็ตที่เราไปซื้อหาของใช้เป็นประจำเมื่อถึงตอนชำระเงิน แคชเชียร์จะถามหาบัตรสมาชิก เพื่อสะสมแต้มการใช้จ่าย เมื่อถึงจำนวนหนึ่งก็จะมีคูปองคืนเงินไปให้ที่บ้าน ฝรั่งบ้านดิฉันปฏิเสธเสียงแข็ง ประกาศกร้าวไม่อยากให้ใครมาเอาข้อมูลการจับจ่ายใช้สอยของตนเองไปเก็บไปวิเคราะห์ นี่มันคุกคามความเป็นส่วนตัวกันชัด ๆ
3
ดิฉันซึ่งเป็นภรรยาที่แสนดีก็ตอกกลับไปว่า “เธอเป็นดาราฮอลิวู้ดเหรอ ถึงกลัวโดนคุกคามความเป็นส่วนตัว เอาเถอะ เรื่องของเธอ เดี๋ยวฉันไปสมัครใหม่ในชื่อฉันเองก็แล้วกันพ่อซุปเปอร์สตาร์”
3
เอาล่ะค่ะ พักเรื่องนินทาสามีที่รักไว้ก่อน กลับเข้ามาสู่เรื่องระบบเงิน Digital ที่ประเทศจีนกัน หากข้ามเรื่องความสะดวกสบายไป ก็ต้องเห็นด้วยกับฝรั่งที่บ้านดิฉันข้อที่ว่า นี่คือการควบคุมเบ็ดเสร็จหมดจดของทางรัฐบาลอย่างแท้จริง
1
เงินเข้า เงินออก เส้นทางการเงิน ตรวจสอบกันง่าย ๆ ผ่านเครือข่ายออนไลน์ รวมไปถึงการจัดเก็บภาษีทั้งกับประชาชนเอง และกับร้านค้าใหญ่น้อยเล็กจ้อยได้หมด สมัยก่อนบ้านเราจะคิดภาษีร้านขายก๋วยเตี๋ยวข้างทางได้ ก็ด้วยการไปนั่งประเมินนับชามกันต่อวัน แล้วคิดเป็นค่าเฉลี่ยเหมารวมรายเดือนรายปีกันไป แต่ถ้าเมื่อไหร่ ระบบ Digital Money ทำงานร้อยเปอร์เซนต์ สรรพากรเลื่อนเมาท์ไปมาคลิ้กสองสามที ก็ได้ยอดที่คุณต้องชำระภาษีแล้ว แถมไม่รู้จะวิ่งหนีไปทางไหนเสียด้วย
1
“มันจะไปกันใหญ่แล้ว!!” นี่คือเสียงของฝรั่งที่โวยวายขึ้นเมื่อเงยหน้าจากนิตยสารธุรกิจเล่มโปรด เขาชูภาพให้ดิฉันดูเพื่อร่วมอินไปด้วยกับข่าวที่ว่า Google Facebook Amazon ต่างก็ยอมรับว่าดักฟังผู้ใช้งานผ่านอุปกรณ์ และแอพลิเคชั่น เพื่อจะนำไปปรับปรุงพัฒนาระบบการโต้ตอบให้ดีขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ จะนำเอาข้อมูลไปใช้เพื่อให้ระบบของ IoT (Internet of Thing) เข้าใจมนุษย์มากขึ้นต่างหาก ไม่ได้เอาข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไปใช้ในทางมิดีมิร้ายนะ .... “แล้วฉันจะเชื่อใจเธอได้ม้ายย?”
2
ล่าสุดหนังสือพิมพ์ที่อ่านเป็นประจำลงบทความเรื่อง “ข้อมูลส่วนตัวจากรถยนต์ไฟฟ้า” ซึ่งทำให้ฝรั่งของดิฉันหัวร้อนเป็นพิเศษ ทั้ง ๆ ที่บ้านของเรายังใช้รถยนต์จากน้ำมันเบนซินอยู่ชัด ๆ แม้เราจะทราบกันโดยปริยายว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะเก็บ Database ต่าง ๆ มากมาย และใช้ Software ในการควบคุมการทำงาน ซึ่งบริษัทผู้ให้บริการมักจะชูข้อดีในด้านนี้ว่า รถยนต์ของคุณจะทันสมัยเสมอแค่ update Firmware ด้วยคลิ้กเดียว
2
เราข้ามเรื่องที่ว่า ข้อมูลทุกอย่างของรถยนต์ไฟฟ้าระบบดิจิตอล จะส่งตรงเข้าบริษัทเพื่อเอาไว้พัฒนาการขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคตไปก่อน แล้วก็จะข้ามเรื่องที่ว่าใครก็ไม่รู้สามารถจะวิเคราะห์ชีวิตของเราผ่านข้อมูลที่ว่านั้นได้ไม่ยาก และก็จะข้ามไปก่อนว่าความเป็นส่วนตัวของคุณหายไปหมดแล้วเมื่อคุณก้าวขึ้นไปนั่งบนรถไฟฟ้าที่ทันสมัยด้วยระบบดิจิตอล
2
ที่ให้ข้ามไปก่อน เพราะเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องระหว่างคุณกับบริษัทผู้ให้บริการที่จะตกลงยินยอมพร้อมใจเซ็นสัญญาการใช้ข้อมูล
แต่เรื่องที่ทำให้ฝรั่งของดิฉันหัวร้อนก็คือข่าวที่บอกว่ารัฐบาลจีนกำหนดให้ข้อมูลจากบริษัทที่ให้บริการรถไฟฟ้าทุกคัน ส่งข้อมูลนั้นให้กับรัฐบาลกลางด้วย ดิฉันก็เลยถามกลับไปว่า “ยูเป็นห่วงคนจีนเหรอ” เหมือนจะรู้ว่าดิฉันประชด ฝรั่งจึงทำเสียงทุ้มนุ่มวิชาการแล้วอธิบายว่า ในข่าวแจ้งว่าทางยุโรปก็พิจารณาที่จะทำเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้ามันมาถึงขั้นนั้นจริง ๆ “มันก็คือการคุกคามเสรีภาพของเราไปอีกขั้นนะ ทุกวันนี้ก็แทบจะเก็บข้อมูลทุกอย่างจากเราไปหมดแล้ว”
1
พูดกันตามจริง ก็ใช่ว่าดิฉันจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องเหล่านี้นะคะ แค่การที่ดิฉันค้นหาคำว่า “ผมร่วง” ในกูเกิ้ล แล้วเปิด Facebook มาเจอโฆษณาปลูกผมดักไว้ทุก ๆ ห้านาที มันก็เกิดความรู้สึกสยองคล้ายมีใครแอบมองพฤติกรรมเราอยู่
3
แต่ก็ต้องยอมรับว่า โลกเรามันหมุนไปไกลมากแล้ว ใครครอบครองข้อมูลไว้ได้คือผู้ครอบครองจิตใจผู้อื่นได้นั่นเอง แม้ในทางการค้าข้อมูลเหล่านั้นก็คือการนำไปพัฒนาบริการและสินค้า แต่ในสายตาของคนธรรมดาอย่างดิฉัน มันก็คล้ายกับว่าอิสระเสรีภาพในการตัดสินใจก็กำลังถูกยึดไปเช่นกัน
ขอบคุณที่แวะมานะคะ 🙏❤️
พูดคุยทักทายกันได้ที่คอมเม้นด้านล่างนะคะ
อ้างอิงข่าวตามนี้ค่ะ
ข่าว facebook
ข่าว Alexa
ข่าวจีนและ EV

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา