Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
koolkids
•
ติดตาม
18 มี.ค. 2021 เวลา 08:41 • ท่องเที่ยว
Yufuin, Japan
ไดอารี่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นของพิว วันที่ 1
ก่อนการเดินทาง
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เราใฝ่ฝันว่าอยากจะมาเที่ยวให้ได้สักครั้ง นี้เป็นครั้งแรกเลยที่เราได้เที่ยวญี่ปุ่นจริง ๆ ซักครั้งในชีวิต
วันหนึ่งในกลางเดือนธันวาคมปี 2019 เรานั่งหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตมาก เพราะว่าเราไม่สนุกกับช่วงเวลาในชีวิตตอนนั้นซักเท่าไหร่เรานั่งมองเงินในบัญชีตัวเอง และคิดกับตัวเองว่าสามารถไปเที่ยวที่ไหนบ้างเพื่อหาแรงบันดาลใจในชีวิตได้
เราไปเจอตั๋วราคาถูกไป-กลับญี่ปุ่นในราคา 4000 บาท เราจึงตัดสินใจกดจองตั๋วเครื่องบินโดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น
บอกเลยว่านี้เป็นการเดินทางไปยังต่างประเทศด้วยคนเดียวและเงินตัวเองครั้งแรกในชีวิต โดยปราศจากคนรู้จักโดยสิ้นเชิง ปกติเวลาไปเที่ยวมักจะมีเพื่อนหรือไม่ก็ญาติอยู่รอในที่แห่งนั้น
ในทริปอื่น ๆ เราไม่ค่อยซีเรียสมากนักกับแผนการเดิน เพราะเรามักจะมีคนคอยช่วยเหลือเสมอ แต่สำหรับครั้งนี้มันไม่ใช่ เราไม่สามารถพึ่งใครได้นอกจากตัวเราเอง
เราวางแผนการเดินทางไว้อย่างละเอียด จองที่พักและซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าก่อนทั้งหมดเพื่อความสะดวกและความสบายใจเป็นหลัก
เพราะถ้าเราจองอะไรให้เรียบร้อยตั้งแต่ที่ไทย มันทำให้เรารู้สึกหมดภาระเรื่องเงินไปบางส่วน และใช้เงินได้สบายใจมากขึ้นอีกด้วย
ต้นเดือนมกราคม 2020
ถึงเวลาแห่งการออกสำรวจประเทศที่เราใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กว่าต้องไปให้ได้ในชีวิตซักที
เราออกเดินทางโดยบอกกับเพื่อนที่สนิทเพียงไม่กี่คนว่าเราจะไปเที่ยวญี่ปุ่นเพื่อหาแรงบันดาลใจในชีวิตนะ เผื่อว่าถ้าเราหายไป อย่างน้อยก็มีคนรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน
แต่เราไม่ได้บอกแม่ว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นจนกระทั่งก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน 555555555555
เครื่องออกตอนเวลาเกือบเที่ยงคืนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ก่อนการเดินทางเราเตรียมขนมขบเคี้ยวเพียงเล็กน้อยและเครื่องดื่มที่ช่วยในการนอนหลับ เพื่อเก็บแรงไว้ออกเดินทางในเช้าวันใหม่
บนเครื่องบินเราได้เจอพี่คนไทยคนหนึ่งที่จะไปเที่ยวเมืองเดียวกับเรา พี่เค้าแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้เราเป็นอย่างดี แถมยังเป็นมิตรกับเราอีกด้วย
หลังจากพูดคุยซักพัก เราคิดได้ว่า ณ เวลานี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการนอนออมแรงอีกแล้ว เราจึงเปิดฝาขวดน้ำคาโมไมล์ เสียงดังลั่น : แกร่ก! และกระดกไปอย่างไวว่องโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ก่อนที่จะเอนตัวลงนอน
สวัสดีฟุกุโอกะ
ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ นี้เราอยู่ประเทศญี่ปุ่นจริง ๆ แล้วสินะ
เราก้าวออกจากเครื่องบินมาด้วยร้อยยิ้มที่ที่กว้างใหญ่จนจะฉีกถึงหู แต่ไม่นานนัก
เราต้องหุบยิ้มลงพร้อมเสียงซี้ดปากจากความหนาวเหน็บ
เรารีบเร่งฝีเท้าไปยังห้องน้ำก่อนเป็นอันดับแรก อากาศหนาวทีไรเป็นอันต้องปวดเข้าห้องน้ำทุกทีเลย
หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องกรอกข้อมูลเพื่อผ่านไปยังประเทศญี่ปุ่นที่เรารักซักที
“ชิบหายแล้ว เราไม่มีปากกาใช้”
โดยนิสัยส่วนตัวของเรา เราจะเป็นคนที่เกรงใจชาวบ้านไปทั่ว อีกทั้งยังไม่กล้าที่จะเริ่มต้นคุยกับคนอื่นซักเท่าไหร่
ในหัวเอาแต่คิดวนไปวนมาว่าจะทำอย่างไรดี ไปยืมพี่ ๆ กรุ๊ปทัวร์กลุ่มที่กำลังยืนกรอกข้อมูลตรงนั้นดีไหมนะ หรือไปขอยืมคุณลุงคุณป้าตรงนั้นดี ซึ่งในขณะที่มัวแต่ลังเลอยู่นั้น ผู้คนก็ค่อย ๆ จางหายไปจนเหลือตัวเลือกไม่มากนัก
ปกติเวลาไปเที่ยวจะมีเพื่อนคอยอยู่ข้างกาย เพื่อนมักเป็นคนไปคอยสอบถามหรือขอความช่วยเหลือจากคนอื่นในยามจำเป็นเสมอ ส่วนเรานั้นมักจะเป็นคนที่เฝ้ามองจากไกล ให้กำลังใจอยู่ห่าง ๆ
แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว เราจะเป็นคนเหยาะแหยะแบบเดิมไม่ได้ ในเมื่อเราเลือกที่จะมาท่องเที่ยว เปิดโลกกว้างแล้ว ก็คงต้องหัดทำไรให้ได้ด้วยตัวเอง
สำหรับคนอื่นมันอาจจะดูเป็นเรื่องตลกหรือเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต แต่สำหรับเรา มันเปรียบเสมือนการปลดล็อกเควสเควสนึงในชีวิตเพื่อไปต่อยังภารกิจถัดไปเลย หรือพูดง่าย ๆ คือเป็นการพัฒนาตัวเราไปอีกขั้น
แต่จริง ๆ แล้ว ถ้าเดินไปอีกหน่อยจะเจอจุดกรอกข้อมูลที่มีปากกาวางเต็มโต๊ะ โดยไม่ต้องมาเคอะเขินในการยืมปากกาเลย บ้าจริง!
หลังจากผ่านการเดินทางเข้าเมืองมาอย่างงายดายแล้ว สิ่งที่ทำต่อไปคือรับกระเป๋าและต่อรถบัสไปยังตึกสนามบินภายในประเทศ
ก่อนที่จะขึ้นรถบัส เราแวะซื้อข้าวปั้นและชาในมินิมาร์ทภายในสนามบินสำหรับรองท้อง เพราะเรายังต้องเดินทางอีกไกล
เราต่อรถบัสจากตึกผู้โดยสารระหว่างประเทศไปยังตึกผู้โดยสารภายในประเทศก่อน เพื่อที่จะขึ้นรถไฟใต้ดินไปยังสถานีฮากาตะ
ระหว่างที่กำลังสับสนเส้นทาง ก็เจอพี่ที่ได้ทำความรู้จักระหว่างเดินทางบนเครื่องบินพอดี เลยแอบติดสอยห้อยตามไป
พอถึงตึกผู้โดยสารภายในประเทศ เราเดินตามป้ายไปด้วยความมั่นใจ และกดซื้อบัตรโดยสารจากตู้อย่างชำนาญเหมือนอยู่ญี่ปุ่นมาเกือบ 20 ปี
ตู้กดตั๋วรถไฟของญี่ปุ่นมีความคล้ายคลึงกับตู้กดของบ้านเราอย่าง mrt หรือ bts ด้วยสกิลภาษาญี่ปุ่นอันน้อยนิด ทำให้เราอ่านและเข้าใจได้ง่าย แต่ท้ายสุดก็กดเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี 55555555555
หลังจากตอกบัตรเข้าสถานี เรามองหาฝั่งที่เราจะขึ้นและกระโดดขึ้นรถไฟอย่างทันควัน ในหัวคิดเพียงว่าสเต็ปต่อไปของการเดินทางนี้แหละ คือการเริ่มต้นที่แท้จริง
“การเริ่มต้นการหลงทางหน่ะ”
เราเหลือเวลาอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมงในการหาที่แลกตั๋วรถไฟทั้งรายวันและตั๋วรถไฟ JR Kyushu Rail Pass แบบ 3 วัน ที่เราจองไว้ก่อนการเดินทาง
ครั้งนี้คือหลงจริง หลงแบบไร้ที่พึ่งพิง ทุกอย่างดูกว้างขวางไปหมด คนแปลกหน้าที่เดินกันอย่างพลุกพล่าน จนเราต้องเดินแอบมาชิดมุมเสาเพื่อเช็กวิธีการเดินทางที่เราจดมาอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเป็นบุญเก่าหรืออะไร เราเดินไปเจอพี่คนเดิมอีกแล้ว เราจำได้ว่าพี่เขาเคยพูดเรื่องการแลกตั๋วเดินทางขณะอยู่บนเครื่อง จนในที่สุดเราก็แลกตั๋วมาได้อย่างง่ายดาย
ที่นี้คือแลกตั๋วง่ายมากเพราะเราทำการจองและรายละเอียดทุกอย่างอยู่ในโทรศัพท์หมดแล้ว เพียงแค่แสกนและปริ้นเป็นตั๋วออกมาเท่านั้น
///ตอนนี้เหลือเวลาไม่มากก่อนที่รถไฟจะออกเดินทาง เพราะใช้เวลาหลงและยืนงงเป็นไก่ตาแตกกว่า 2 ชั่วโมง บ้าบอ!
เรายืนมองตั๋วรถไฟสามสี่ใบในด้วยความฉงน
“ตั๋วรถไฟพวกนี้มันใช้ยังไงวะ”
นี้เป็นครั้งแรกของการเดินทางในประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ ทุกอย่างในตอนนี้คือสิ่งใหม่ที่ต้องเรียนรู้ เรายืนมองคนเข้า-ออกหน้าสแกนบัตรเข้าทางรถไฟอยู่ซักพักเพื่อรอจังหวะที่คนน้อย
พอคนเริ่มทยอยเข้ากันไปเยอะแล้ว เราตัดสินใจแรนด้อมออกมาซักใบที่คาดว่าใช่แน่นอนสำหรับการเดินทางครั้งนี้
“ตี้ด ๆ ”
ชิบหายแล้ว ประตูไม่เห็นเปิดว่ะ แถมบัตรยังเป็นรูอีก อะไรกันวะเนี้ย
เราพยายามทำหน้าขอความช่วยเหลือจากพนักงานชายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ แต่ไม่ได้คำตอบใดจากคุณพี่เลยเนื่องจากเขาสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ พนักงานชายพูดเพียง
“This , NO NO”
โอเค เราเดินกลับไปตั้งหลักใหม่ แล้วยืนศึกษาต่อ จนกระทั้งเห็นพี่พนักงานหญิงตรงใกล้ ๆ ทางเข้า เราไม่รีรอที่จะเข้าไปถามแล้ว เนื่องจากเวลามันจวนตัวเข้ามาแล้ว
“ตั๋วแบบนี้สามารถเดินไปโชว์ให้พนักตรงเค้าท์เตอร์ทางเข้าแล้วสามารถเดินผ่านเข้าไปได้เลยค่ะ”
ขอบคุณพระเจ้า และพี่สาวพนักงาน
เรารีบมุ่งหน้าไปยังสถานีรถไฟเพื่อจะขึ้นรถไฟสีเขียวขี้ม้าท้องถิ่นสุดฮิตฮอตและโคตรจะมีสไตล์ หรือรถไฟที่ผู้คนเรียกกันว่า Yufuin no mori ซึ่งเป็นรถไฟขึ้นชื่อเรื่องเต็มไวและจองยาก เพื่อไปยังเมืองยุฟุอินที่ใคร ๆ หลาย ๆ คนต่างออกมาชมเป็นเสียงเดียวกันว่าสวยและดีมาก
เรานั่งรอรถไฟที่กำลังจะมาถึงในอีก 5 นาที ตรงม้านั่งที่ห่างไกลจากผู้คนพร้อมหยิบอาหารมื้อแรกที่ซื้อจากสนามบินมากินอย่างเร่งรีบ
“อร่อยจัง”
มื้อแรกของวันในญี่ปุ่นอาจจะไม่ได้หรูหราหรือแสดงความเป็นนิฮงจินได้ขนาดนั้น แต่เรากลับชอบอาหารสุดเรียบง่ายนี้อย่างมาก ชาร้อนกระป๋องที่เคยเห็นในอนิเมะญี่ปุ่นบ่อย ๆ มันรสชาติเป็นแบบนี้เองสินะ
“ขึ้นรถไฟไปงีบซักพักแล้ว ไปนั่งชมวิวที่ตู้อาหารดีกว่า” เราพลางพูดออกกับตัวเอง
..
“ตื้อดื้ด ตื้อดื้ด”
เสียงแจ้งเตือน classroom ในโทรศัพท์ดังขึ้นให้ส่งงานก่อนเที่ยงคืน
ถึงใจจะบอกให้ปล่อยผ่าน แต่เราจะให้การบ้านมาขัดขวางการผจญภัยไม่ได้
เรารีบคว้าสมุดขึ้นมาเขียนงานแล้วส่งให้อาจารย์ในชั่วโมงถัดมา พร้อมบอกเหตุผลที่ไม่สามารถพิมพ์เป็นไฟล์งานไปส่งให้ได้ อาจารย์ตอบรับด้วยความใจดี พร้อมบอกว่าส่งเป็นแบบที่เราส่งได้ ขอแค่เข้าใจก็เพียงพอแล้ว
ระหว่างที่กดส่งงาน เราเหลือบไปเห็นวิวข้างทางที่มีความเป็นธรรมชาติผสมกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เราชื่นชอบ บ้านเรือนต่าง ๆ ดูสวยและถูกใจเรามาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เรามัวแต่เร่งเขียนงานให้เสร็จจนไม่ได้สังเกตรอบข้างซักเท่าไหร่เลย
เราลุกออกจากที่นั่ง และเดินสำรวจตู้รถไฟอย่างช้า ๆ
ภายในรถไฟทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในเทพนิยายเลยจริง ๆ โดยเฉพาะตู้อาหารที่มีโต๊ะนั่งชมวิวติดกระจก พร้อมอาหารและเครื่องดื่มอุ่น ๆ
“ยินดีต้อนรับค่า”
เสียงตอนรับของพนักงานที่เรามักจะคุ้นหูอยู่บ่อย ๆ เวลาไปร้านอาหารญี่ปุ่น พนักงานทุกคนล้วนส่งยิ้มให้คุณผู้โดยสารทุกท่าน เราประทับใจในความน่ารักและสุภาพของพนักงานทุกคนมาก ๆ
ไหน ๆ ก็ขึ้นรถไฟที่หลายคนต่างใฝ่ฝันมาแล้ว ก็หาไรกินตอนไปนั่งชมวิวซักหน่อยละกัน แต่เพราะว่าเรากินอาหารเช้าไปแล้วก่อนออกเดินทาง ทำให้เรายังไม่ค่อยหิวซักเท่าไหร่
เราเหลือบไปเห็นพุดดิ้งขนาดพอเหมาะที่ราคาไม่แพงนัก แถมยังดูน่ากินอีกต่างหาก เราตัดสินใจซื้อมาอันนึงและไปนั่งกินชมวิว แต่ตอนที่เราจะชมวิวนั้น เป็นช่วงของการเดินทางผ่านภูเขาและป่าเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เรารู้สึกเวียนหัว เลยกลับไปนอนพักซักหน่อยก่อนที่รถไฟจะไปจอดเทียบท่าชานชาลา ยุฟุอิน
ยุฟุอิน : จุดหมายปลายทาง
เราเดินลงจากรถไฟหลังจากสัญญาณเตือนว่าถึงจุดหมายปลายทางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“สวยจังวะ”
เมืองยูฟุอินมีกลิ่นอายของความชนบท เบื้องหลังเมืองรายล้อมไปด้วยภูเขาสูง ใหญ่และสวยมาก
เรามีความสุขกับสิ่งอยู่ตรงหน้าจนลืมสิ่งรอบข้างไปซะสนิท ลมเย็นพัดผ่านมากระทบหน้าเราเบา ๆ ซึ่งเป็นอะไรที่สบายอย่างมาก ตอนนี้ความรู้สึกเหมือนโดนดูดเข้าไปยังโลกแห่งความฝัน
แต่ไม่นานนักจากแค่กระทบหน้า กลายเป็นกระแทกหน้า
“หนาวชิบหายเลย”
เราหลุดออกจากภวังค์อย่างรวดเร็ว และเดินไปหาตู้ล็อกเกอร์สำหรับฝากกระเป๋าเดินทาง ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากสถานีรถไฟนัก
เราบอกกับตัวเองในหัวว่า การเที่ยวญี่ปุ่นของเราเริ่มต้นขึ้นแล้ว
เราเดินเล่นในเมืองไปตามใจอยาก โดยไม่สน google map แม้แต่นิด เราเดินเข้าทุกซอยที่สามารถเข้าไปได้ ยุฟุอินเป็นเมืองที่เรียบง่าย สบาย ๆ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในการ์ตูนญี่ปุ่นซักเรื่องของค่ายจิ๊บบิ ที่ใครหลายคนต่างรู้จัก
ปกติเวลาคนมาเมืองนี้มักจะแวะซื้อขนมปังเจ้าเด็ดที่ชื่อว่า B-roll ซึ่งตั้งเด่นอยู่ข้างทาง แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยชอบกินขนมปังเท่าไหร่ เราจึงเดินผ่านไปเพื่อมองหาสิ่งที่เราสนใจ
เดินไปซักพัก เราสังเกตเห็นร้านขายของฝากที่เป็นของ Studio Ghibli แต่ราคาของลิขสิทธิ์ก็ใช่ย่อยเลย ภายในร้านน่ารักมาก อีกทั้งยังเปิดเพลงบรรเลงที่ค่อนข้างผ่อนคลายอีกด้วย
วันที่เรามา เป็นวันที่มีนักท่องในปริมาณกำลังดี ไม่มากจนแออัด หรือน้อยจนเปล่าเปลี่ยว เรามีสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่มาก
จุดแวะแรกที่เราเริ่มสำรวจคือ Kirin lake หรือ ทะสาบคิริน ที่ใครเป็นต้องมาถ่ายรูปเมื่อมาเที่ยว
ทะเลสาบไม่ใหญ่มาก เดินแปป ๆ ก็วนครอบรอบแล้ว แต่บรรยากาศค่อนข้างดี ไม่แออัดถึงแม้จะเป็นจุดเช็คพ้อยท์ก็ตาม
ทะเลสาบคิริน
เราเดินชมทุกอย่างรอบทะสาบแห่งนี้ ในใจก็แอบคิดกับตัวเองว่า ทำไมมันถึงเหงากันนะ แต่ความเหงานี้อาจเกิดจากความไม่คุ้นชินและสิ่งที่เจอมาในตอนเช้าด้วยแหละมั้ง มันเลยทำให้รู้สึกเหมือนไร้ที่พึ่งพิง
หลังจากเดินซักพักความหิวเริ่มเข้าครอบงำ ร้านข้างทางดูน่ากินไปหมดเลย เราเลือกอยู่นานว่าจะหาไรกินรองท้องก่อนที่จะเดินเที่ยวต่อ จนเราเดินไปเจอร้านดังโงะที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย และน่านั่งพักผ่อนมาก
“ประตูมันเปิดยังไงนะ 5555555”
เรายืนงงหน้าร้านซักพัก จนกระทั้งมีคนเดินเข้าไป เราก็อ่อ และหัวเราะกับตัวเองอยู่เบา
อันนี้ดังโงะนะ ไม่ใช่ทาโกะยากิ :)
ในร้านมีดังโงะให้เลือกหลายประเภทมาก ไม่ว่าจะเป็นแบบคาวหรือแบบหวาน อีกทั้งยังมีเครื่องดื่มที่เข้ากันกับดังโงะอีกด้วย
หลังจากที่มีความสุขกับดังโงะที่เราชอบแล้ว เราก็ออกมาสำรวจเมืองอีกครั้งด้วยหน้าตาสดใส :)
ซักพักเราเดินไปเจอร้านคาเฟ่หมาชิบะสุดน่ารัก สำหรับทาสหมาอย่างเรา เท่าไหร่ก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน เราเดินเข้าอย่างไม่ลังเล
จริง ๆ คาเฟ่นี้จะมีทั้งน้องหมาและน้องแมว โดยเค้าจะแบ่งโซนไว้อย่างชัดเจน ชั้น 1 จะเป็นคาเฟ่หมาชิบะ ส่วนชั้นสองนั้นจะเป็นคาเฟ่แมว
น้องหมาน่ารัก พนักงานก็น่าเลิฟ เรามีความสุขกับคาเฟ่อย่างมาก เราใช้เวลาในคาเฟ่นานอย่างบอกไม่ถูก
ตามหลักแล้ว เค้าจำกัดเวลาในการเล่นกับน้อง ๆ แต่ช่วงที่เราไปนั้นคนค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว เค้าเลยให้เราเล่นกับน้อง ๆ อย่างเต็มที่
ในช่วงที่เราเล่นกับน้อง ๆ นั้น บอกเลยว่าโดนเมินบ่อยมาก จนพนักงานจับน้องมาให้เราอุ้ม พร้อมชวนเราคุยเรื่องน้องหมาและเรื่องราวของเมืองแห่งนี้
หลังที่เราเพลิดเพลินไปกับน้องหมาชิบะที่สุดแสนจะคิ้วท์แล้ว เราเดินไปยังส่วนที่มีความเป็น Studio Ghibli เค้าเรียกส่วนนั้นกันว่าหมู่บ้านจิบลิ มันมีความโรแมนติก สวยงาม เหมือนอยู่ในโลกของอนิเมะเลย
หลังจากที่เราเดินสำรวจความชนบทในญี่ปุ่นเรียบร้อย เราเดินกลับไปยังสถานีรถไฟเพื่อเอากระเป๋าเดินทางของเราและมุ่งหน้าไปยังที่พัก
ที่พักเราชื่อ Yufuin Country Road Hostel อยู่ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 2 ถึง 3 กิโล ถ้าเทียบกับที่เคยเดิน ๆ มา ก็ไม่ไกลซักเท่าไหร่
เรายืนคิดอยู่นานว่าเราจะนั่งรถแท็กซี่ไปยังโฮสเทลดีไหม เนื่องจาก การเดินทางครั้งนี้เราใช้งบตัวเองล้วน ๆ เลยอยากใช้เงินไปกับความเอร็ดอร่อยมากกว่าความสะดวกสบาย และแน่นอนว่าท้ายที่สุดเราตัดสินใจเดินไปยังที่พักหลังจากที่ยืนจ้องหน้ากับคุณพี่แท็กซี่มานาน และเปิด Google map ไปพราง ๆ
เดินไปได้ไม่นานนัก เราพึ่งรู้ตัวว่า นี้ช่างเป็นความคิดที่โง่เขลานัก 55555555555555
เราไม่คิดว่าโฮสเทลที่เราจองไว้มันจะอยู่บนเนินเขาที่สูง ชันขนาดนี้ นอกจากนี้อากาศยังโคตรจะหนาว ทำให้เราแทบก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว
กว่าจะเดินไปถึงโฮสเทลเล่นเอาซะหอบ แฮก ๆ เลย
แต่สิ่งที่ได้คือ วิว และบรรยากาศรอบโฮสเทลฮ้อมล้อมไปด้วยธรรมชาติ ป่า เขา ผู้คนค่อนข้างน้อยกว่าในตัวเมืองยุฟุอิน รอบ ๆ เต็มไปด้วยควันจากบ่อน้ำร้อนของบ้านเรือนและโรงแรมรอบข้าง
เราชอบความเงียบสงบนี้มาก เงียบขนาดที่ทั้งโฮสเทลมีเราคนเดียว
“อิระไชมาเชะ : สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับค่ะ”
ภาษาญี่ปุ่นที่คุ้นเคยอีกแล้ว พนักงานหญิงที่ดูเหมือนจะมีอายุไม่เกิน 40 ปี วิ่งจากห้องครัวเพื่อมาต้อนรับเราเป็นอย่างดี
“ปะ-พัน-นาน จองไว้หนึ่งคืนผ่าน Booking ใช่ไหมคะ”
“ใช่ค่ะ”
“รอซักครู่นะคะ ไม่ทราบว่าจะรับอาหารเย็นและอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ไหมคะ?”
“เอ่อ รับทั้งคู่เลยค่ะ”
เราจำได้ว่าในรีวิวโฮสเทลเค้าให้คะแนนความอร่อยของอาหารสไตล์แม่บ้านญี่ปุ่นไว้ เราเลยตัดสินใจรับทั้งอาหารเย็นและอาหารเช้าตามสไตล์ญี่ปุ่น ก่อนจะหยิบเงินออกมาจ่ายเพิ่ม
พนักงานสุดแสนจะคิ้วท์และเป็นมิตรมาก ๆ ต้อนรับและพาเราไปยังห้องพักที่อยู่ไม่ห่างจากเคาท์เตอร์ซักเท่าไหร่
เราเดินเข้าไปยังห้องพัก พร้อมเลือกเตียงตามใจชอบ เพราะทั้งห้องมีเพียงเรา 1 คนท่ามกลางเตียงทั้งสี่
เราเลือกเตียงติดหน้าต่าง เพื่อที่จะได้เห็นวิว และแสงไฟสาดส่องเล็กน้อยจากภายนอก
เรานั่งลง หยิบสมุดไดอารี่ออกมาบันทึกเรื่องราวการเดินทางในวันนี้ ก่อนที่จะนั่งนิ่งไปซักพัก เพราะความหนาวเย็น แบบว่า หนาวเข้ากระดูกเลยทีเดียว
"อ่อ ความสวยงามมาพร้อมความเจ็บปวด 555555555"
ก๊อก ๆ
“สามารถมานั่งเล่นในห้องนั่งเล่นได้นะครับ อุ่นกว่าห้องนอนในตอนนี้”
พนักงานชายที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพนักงานหญิงเมื้อกี้เคาะประตู พร้อมเข้ามาบอกกล่าว
ในตอนแรกก็แอบคิดว่า เอ๊ะ ห้องนั่งเล่นอุ่นกว่าห้องนอนงั้นหรอ แล้วตอนกลางคืนเราจะอยู่รอดไหมวะ
“ขอบคุณค่ะ”
เราเดินออกไปนั่งชิว ๆ ในห้องนั่งเล่น พร้อมจดไดอารี่ไปด้วย ไม่นานนักเสียงกริ่งก็ดังขึ้นจากทางเข้าโฮสเทล ผู้หญิงเอเชียที่อายุพอ ๆ กับเราเดินเข้ามาเช็กอินที่พักคนเดียว
“พระเจ้าประทานเพื่อนใหม่มาให้แน่ ๆ เลย”
ไม่นานนักเสียงจากโทรโข่งดังขึ้น ประกาศลั่นโฮสเทลว่า ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว ขอให้ทุกคนมารวมตัวกันที่ห้องกินข้าวด้วย
เราและนักเดินทางอีกคนต่างคนต่างเดินไปยังห้องนั้น ในตอนแรก ๆ นั้นยังมีความเกร็ง ๆ เพราะเราอยากคุยกับเค้ามาก แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวอีกแล้ว ทำให้การทักคนอื่นก่อนเป็นเรื่องที่ยากมาก
จนในที่สุดเราตัดสินใจทักเค้าไปจนได้พูดคุยทำความรู้จัก เค้าเป็นคนไต้หวันที่หลงใหลในญี่ปุ่นอย่างมาก เค้าเป็นผู้หญิงที่มาเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน เค้าเล่าประสบการณ์การไปท่องเที่ยวต่าง ๆ ให้เราฟัง ซึ่งทำให้เราประทับใจในเค้าอย่างมาก
สิ่งที่เราประทับใจที่สุดคือ เค้าไปเที่ยวฝรั่งเศสคนเดียวโดยไม่ศึกษาอะไรทั้งนั้น เค้าไปเพื่อจะไปหาแฟนของเค้า ต้องใจกล้าขนาดไหน ที่ผู้หญิงอายุ 20 ต้นๆ เดินทางไปเที่ยวยุโรปคนเดียว ขนาดแฟนของเค้ายังยกนิ้วให้
เราทั้งสองยังมีความสนใจในอนิเมะ หรือมังงะญี่ปุ่นเหมือนกัน ทำให้บทสนทนาค่อนข้างลื่นไหล และลากยาวกันไปจนเกือบทุ่มเลยทีเดียว
“ขอโทษที่ขัดจังหวะนะครับ คือว่าอยากจะขึ้นไปดูเมืองยามค่ำคืนข้างบนไหมครับ”
เจ้าของโฮสเทลหรือพนักงานชายในตอนเย็นที่เราเจอนั้น เค้าจะต้องออกไปรับลูกสาวที่สถานีรถไฟพอดี เค้าเลยเชิญชวนเราและเพื่อนอีกคนออกไปเที่ยวยามค่ำคืน
เราทั้งสองตอบตกลงก่อนที่จะไปเตรียมตัว สวมเสื้อกันหนาวให้พร้อมกับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บนี้
ระหว่างทาง คุณเจ้าของโฮสเทลเล่าเรื่องต่าง ๆ ของเมืองนี้ให้ฟัง
ยุฟุอินนั้นเป็นเมืองแห่งน้ำพุร้อน หรือที่เราเรียกกันว่าออนเซ็นนั้นเอง เป็นน้ำพุร้อนจากธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ เหมาะกับคนที่ต้องการผ่อนคลายตัวเองอย่างมาก
“ทำไมถึงชื่อ Country road Hostel คะ”
“เพราะว่าภรรยาของฉันชอบดูการ์ตูนเรื่อง Whisper of the heart มาก คุณเคยดูไหม”
“นั้นเป็นเหตุผลหลักที่ฉันเลือกจองที่พักคุณเลยหล่ะ ฉันชอบเพลง Country Road และความชนบทอย่างมาก”
เราได้ความรู้จากคุณเจ้าของเยอะมาก เค้าพยายามเล่นมุขและเล่าเรื่องราว ต่าง ๆ ตลอดการเดินทางเลย ซึ่งทำให้บรรยากาศในรถนั้นดีมาก ๆ เค้าพาไปยังชุดชมวิวที่มีความสวยงาม
"คุณรู้ไหม เมื่อก่อนเมืองเราไม่ได้สว่างไสวขนาดนี้นะ"
เราหันไปทำหน้าสงสัยใสจนคุณเจ้าของหลุดขำออกมาเล็กน้อย
"เมื่อก่อนเมืองยูฟุอินในตอนกลางคืนนั้นจะไร้ซึ่งแสงไฟ ใช้ชีวิตกันแบบคนชนบท แต่ปัจจุบันเมืองรับนักท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น บ้านเรือนและร้านค้าต่าง ๆ เลยเปิดไฟไว้เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว จนสว่างอย่างที่พวกคุณเห็นนี้แหละ"
หลังจากที่ชมวิวเมืองยูฟุอินเสร็จ เค้าก็พาพวกเราไปสัมผัสกับน้ำอุ่น ๆ ใกล้ทะเลสาบคิรินที่เราไปเดินเล่นในตอนเช้า ก่อนที่จะไปรับลูกที่สถานีรถไฟแล้วกลับไปยังโฮสเทล
เราและเพื่อนใหม่ยังคงพูดคุยกันอย่างสนุกสนุกสนานก่อนที่จะตกลงกันเพื่อแยกย้ายไปอาบน้ำ
ที่นี้เป็นห้องอาบน้ำรวม โดยจะมีป้ายห้อยอยู่หน้าห้องน้ำเพื่อบอกว่าตอนนี้ผู้ชายหรือผู้หญิงกำลังใช้งานอยู่ ข้างในห้องอาบน้ำนั้นจะมีบ่อออนเซ็นหินขนาดไม่ใหญ่มาก และที่นั่งอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นอยู่ 2-3 ที่
โชคดีที่ทั้งโฮสเทลมีแค่สองคน คนเขินอายอย่างเราคงไม่อาบน้ำกับใครหรอก 55555555555
นี้เป็นการแช่ออนเซ็นครั้งแรกของเรา มันเป็นอะไรที่รู้สึกดีมาก ๆ ผ่อนคลาย ถึงแม้ในตอนแรกจะรู้สึกเหมือนไก่ที่กำลังโดนต้มแต่ผ่านไปซักพักคือเลือดจะไหลเวียนดีมาก เราอยากแช่นาน ๆ ให้สุกไปเลย 555555
แต่การเดินขึ้นจากน้ำเพื่อไปเปลี่ยนชุดนั้นเป็นอะไรที่ทรมานร่างกายมาก หนาวมากหนาวชิบหาย หนาวจนขาแข็งเลยทีเดียว
หลังจากนั้นเราก็ไปนอนพักผ่อนหย่อนใจ ก่อนที่จะค้นพบว่าในห้องมันคงไม่มีทางอุ่นไปกว่านี้แล้วแหละ เข้าใจแล้วว่าทำไมบนเตียงถึงมีผ้าห่มหนา 4 ชั้น
“ฝันดี ยูฟุอิน”
1 บันทึก
2
3
1
2
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย