17 มี.ค. 2021 เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
อนาคตของการคลังในยุค Blockchain และ Cryptocurrency
Cryptocurrency คือเงินตราที่มีการเข้ารหัส และ Blockchain คือรูปแบบของอินเตอร์เน็ตในแบบที่ไร้ศูนย์กลาง ความก้าวหน้าทั้ง 2 อย่างนี้กำลังเปลี่ยนแปลงโลก
Cryptocurrency กลายเป็นช่องทางใหม่ในสำหรับ 1) การลงทุน 2) การโอนเงินระหว่างประเทศแบบไม่มีค่าธรรมเนียม ไปจนถึง 3) เป็นช่องทางระดมทุนในรูปแบบที่เรียกว่า ICO (Initial Coin Offering) กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นได้เพราะเทคโนโลยี Blockchain เป็นโครงสร้างพื้นฐาน หรือ Infrastructure ให้ Cryptocurrency ประเภทต่างๆ โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง และมีความโปร่งใสสูง
เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีสิ่งที่เรียกว่า DApps (Decentralized Applications) ที่จะมา disrupt การทำธุรกรรมทั้งที่เกี่ยวข้องกับการเงิน (Decentralized Finance: DeFi) และไม่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งเป็นได้ทั้งในวงการ Gaming โฆษณา ไปจนถึงการพนัน ฯลฯ เพราะ Blockchain เป็นโครงสร้างพื้นฐานทางอินเตอร์เน็ตที่สำคัญ หรือหลายๆคนบอกว่ามันคืออินเตอร์เน็ตในยุคต่อไปที่พยายามสร้าง World Computer หรือ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ระดับโลกตามชื่อ Block ที่ต่อกันเป็น Chain ของ Ethereum Blockchain, Polkadot Blockchain หรือ Binance Smart Chain เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเข้ามาถึงโลกของการคลัง เราจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ให้เกิดประโยชน์กับภาครัฐได้อย่างไร เพราะเมื่อ Bitcoin บูมครั้งที่แล้วเมื่อปี พ.ศ. 2560 เป็นช่วงที่ภาครัฐกำลังสร้าง Thailand 4.0 พอดี Blockchain แม้กระทั่ง Cryptocurrency ก็ได้รับความสนใจและมีการนำมาศึกษาว่าจะประยุกต์ใช้กับบริบทของประเทศไทยอย่างไร
โดยพื้นฐานแล้ว Blockchain และ Cryptocurrency เป็นเทคโนโลยีในสายธารของการกระจายอำนาจ (Decentralization) ไปจนถึงสภาวะที่ไม่ต้องมีรัฐศูนย์กลางในการปกครองหรือ อนาธิปไตย (Anarchism) ซึ่งอาจเติมเป็น Crypto-anarchism ได้เหมือนกัน
Blockchain แบบที่พูดๆ กันทั้ง Ethereum Polkadot หรือ Binance เป็น Public Blockchain ในระดับที่แตกต่างกันไป ซึ่งหมายถึงว่าใครก็ตามบนโลกสามารถเข้าไปใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ขณะเดียวกันก็มีสิ่งที่เรียกว่า Private Blockchain ซึ่งเริ่มมีการนำมาใช้ในกลุ่มของบริษัทเอกชนกันบ้างแล้ว เพราะ เทคโนโลยี Blockchain มีจุดเด่นคือมีความโปร่งใสสูง ลดตัวกลางและขั้นตอนการประมวลผล จึงสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการของบริษัทในระยะยาวได้ แต่ยังมีจุดอ่อนตรงที่แม้จะลดขั้นตอนการประมวลผล แต่ในขั้นตอนที่เหลือนั้นใช้เวลาในการประมวลผลนาน เพราะต้องอาศัย Consensus ของทุก Node ในเครือข่าย Blockchain นั้นๆ
รัฐไทยสามารถพิจารณาการพัฒนา Thailand Fiscal Blockchain เป็นระบบการเก็บและประมวลผลข้อมูลทั้งฝั่งรายได้และรายจ่าย ซึ่งหากแก้ปัญหาด้านระยะเวลาในการประมวลผล (Scale and Speed) ได้ ก็จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กระบวนการทางการคลังได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทำให้ข้อมูลของภาครัฐเป็นชุดเดียวกัน มีความคลาดเคลื่อนต่ำ และอาจรับรู้ได้แบบ Real-time เช่น ลองจินตนาการว่าเราไม่ต้องวางแผนงบประมาณประจำปี แต่เป็นงบประมาณแบบ Real-time หรือเป็นงบประมาณแบบรายสัปดาห์ รายเดือน ซึ่งจะทันกาลและตอบสนองสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดี ขณะเดียวกันก็สามารถรับส่งข้อมูลและจ่ายเงินเดือนเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์ได้เข่นเดียวกัน
นอกเหนือจากเรื่องการคลัง หากมีการพัฒนา Thailand Public Blockchain เพื่อเป็นช่องทางในการแลกเปลี่ยนและเปิดเผยข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและประชาชน ก็จะทำให้สังคมไทยนี้น่าอยู่ขึ้นมากๆ
แล้ว Cryptocurrency มีบทบาทอย่างไร เป็นที่รู้กันว่าภาครัฐทั่วโลกพยายามปรับตัวและใช้ประโยชน์จาก Cryptocurrency หรือจะเป็นในรูปแบบสกุลเงินดิจิตอลมาโดยตลอด ธนาคารกลางของประเทศเหล่านั้นพยายามสร้างสิ่งที่เรียกว่า CBDC (Central Bank Digital Currency) เห็นได้จากที่ธนาคารกลางจีนออก Digital Yuan เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หรือธนาคารแห่งประเทศไทยได้ผลักดันโครงการอินทนนท์ หรือ Digital Baht แต่ยังไม่ค่อยเห็นความคืบหน้าจนมีชาวต่างชาติสร้างเงินบาทดิจิตัล หรือ Terra Thai (THT) โดย Terra คือชื่อเครือข่าย Terra Blockchain ซึ่งนอกจากเงินบาทก็ได้สร้าง Terra USD หรือ UST ขึ้นมานานแล้ว
การยกระดับเงินบาทให้เป็นสกุลเงินดิจิตอลจะช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับระบบการเงิน และการใช้นโยบายการเงิน ยิ่งรัฐบาลใดผลักดันโครงการเหล่านี้ออกมาเป็นที่แรกๆ ของโลก ก็จะได้รับความสนใจ ทำให้รัฐบาลนั้นๆ เป็นผู้นำในวงการและเกิดโอกาสที่ดีตามมามากมาย
Cryptocurrency เปิดโอกาสให้ในหนึ่งประเทศมีสกุลเงินที่ใช้ได้หลากหลาย ผมคิดถึงโครงการเยียวยาประชาชนจำนวนมากของรัฐบาล หรือโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่อัดฉีดเงินเข้าไปในระบบในอนาคต หากเลือกช่องทางผ่าน Cryptocurrency ซึ่งอาจเป็นสกุลใหม่อีกสกุลหนึ่งเลยนอกเหนือจาก Digital Baht ก็มีพื้นที่ทางนโยบาย (Policy Space/ Playing Field) ให้เล่นได้อีกมาก อาทิ การไม่เก็บ VAT เมื่อใช้จ่ายผ่านสกุลเงินนั้นๆ เป็นต้น นอกจากนี้หากออกแบบให้ Cyrptocurrency นั้นๆ ให้มี Supply ที่จำกัดหรือลดลงเรื่อยๆ ก็จะทำให้มูลค่าของสกุลเงินนั้นเพิ่มขึ้นในระยะยาว สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเก็บรักษามูลค่าทรัพย์สินของตนในสกุลเงินนั้นๆ ไว้
CBDC หรือ Cryptocurrency ยังมีคุณประโยชน์อีกอย่างคือเป็นช่องทางป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เพราะหากคุณถือเงินสกุลต่างๆ ที่เป็น Fiat Currency ในท่ามกลางที่ธนาคารของประเทศต่างๆ พิมพ์เงินออกมาจำนวนมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนผ่าน QE (Quantitative Easing) เพื่อบรรเทาและกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากเกิด Covid-19
ในอนาคต หากวงการเงินคริปโตฯ หรือเงินตราดิจิทัลฯ เติบโตและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้รับสนับสนุนอย่างเป็นทางการจากรัฐ จะส่งผลต่อพัฒนาการของวงการอย่างมีนัยสำคัญ เงินคริปโตฯ ก็อาจกลายเป็นทางเลือกในการออม ไปจนถึงการลงทุนของคนโดยทั่วไปได้เช่นกัน และถ้าผู้กำหนดนโยบายในภาครัฐเลือกเข้าไปใช้ประโยชน์จากทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้ให้เร็วที่สุด ก็คงจะมีประโยชน์ต่อการยกระดับประเทศอีกไม่น้อย
โฆษณา