17 มี.ค. 2021 เวลา 15:20 • ปรัชญา
ย้อนเวลาไป 2000กว่าปี มาดูว่าคนสมัยก่อนคิดว่า ชีวิตที่สุข กับซวยทุกข์ เกิดจากอะไร โหราศาสตร์จะพอช่วยอะไรได้ไหม
ถ้าเราจะมาพูดถึง โหราศาสตร์ เพื่อให้เห็นภาพความมุ่งหมายว่า โหราศาสตร์ต้องการอะไร เกิดมาได้อย่างไรเล่าวิชาแขนงนี้ คำตอบก็คือ เพื่อสำรวจและศึกษากลไกว่า ตกลง ความสุข / ความทุกข์ ที่คนจีนเรียกว่า ความ เฮง/ซวย เกิดขึ้นมาด้วยกลไกอะไร จะเกิดตอนไหน จะหมดไปตอนไหน เพื่อมุ่งที่ ความสุข เท่านั้นเอง
มนุษย์เราถกเถียงกันเรื่อง การได้ทรัพย์ ได้ลาภ ได้ความสบายใจ สมดั่งใจ ที่เรียกว่า สุขใจ กับ ความทุกข์ใจ เช่น การได้รับเรื่องอันน่าผิดหวังเสียใจต่างๆนานา มานมนานมากว่า
ที่แท้จริงนั้น.. เพราะเหตุอะไรกันแน่ ที่ทำให้เราได้รับสิ่งที่ทำให้เรามีสุข หรือบางทีเรากลับได้รับสิ่งที่ร้าวระทมทุกข์ทรมาน หรือบางครั้งก็บอกไม่ถูกว่าจะเรียก สุขดี หรือ ทุกข์ดี และหลายๆครั้งก็ เฉยๆ
หลักฐานยืนยันเรื่องนี้ พร้อมทั้งเป็นคำตอบของคำถามนี้ ที่น่าเชื่อถือได้ที่สุดคือ พระไตรปิฎก อันจารึกคำสอนของพระพุทธเจ้ามานับ สองพันกว่าปี ถ้าเรารู้คำตอบนี้ บางทีเราอาจปรับเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการเรียนรู้ โหราศาสตร์ การดูดวง การหาหมอดู รวมไปถึง การปรับมุมมองในการใช้ชีวิตของเราไปด้วย ก้าวไปถึงขั้นพัฒนาชีวิตได้ด้วยลำแข้งของตัวเองแบบมีปัญญาไม่ถึงทางตัน
เพราะปัจจุบัน คนเรามุ่งเน้นที่การยืนด้วยขาของตนเองแบบไม่พึ่งใคร ไม่เชื่อใคร ไม่ฟังใคร สุดท้ายพอถึงทางตัน ก็หันกลับมาเชื่อ เชื่อดีบ้าง ศรัทธาบ้าง งมงายบ้าง แล้วแต่ประสบการณ์ที่แต่ละคนได้รับ หันกลับมาฟัง โดยเฉพาะการบรรยายสอนการใช้ชีวิต เลยเกิดกระแส นักคิดทางชีวิตนิยม คือ ปรากฎการณ์บังเกิดผู้สอนการใช้ชีวิตมากมาย แบบโลกๆ
คำว่าแบบ โลกๆ ก็คือว่า แต่ก่อนเรามีผู้สอนการใช้ชีวิตอยู่แล้ว คือเหล่านักบวชของทุกๆศาสนา จะสอนศาสนิกของตน ตามอย่างที่ข้อบัญญัติคำสอนของศาสนานั้นๆ มุ่งหมายเพื่อชีวิตที่เป็น สุข หรือ สันติสุข
แต่สมัยนี้ มีปรากฎการณ์ผู้สอนการใช้ชีวิต เพื่อความสุข เช่นกัน แต่ไม่ใช่สันติสุข
คือ มุ่งหมายที่ความสุขของใครสักคนหนึ่ง เช่น ตัวเราเองเท่านั้น ให้ได้รวย ให้ได้มีชื่อเสียง ให้เจริญทางการค้าในเวลาอันสั้น หรือให้ลงทุนได้ผลกำไรงอกงามทันตาทันใจ จึงไม่เกิดภาพความสันติสุขในการสอน เหมือนเหล่านักบวช เพราะไม่ได้มุ่งให้ เกิดความสุขทุกๆคนทางสังคมแบบเกื้อกูล แต่มุ่งให้ใครสักคนประสบความสมปรารถนาแบบที่ตั้งใจแบบเร็วๆ เรียกว่า สมหวังทันใจ ก็ได้ ผมจึงมุ่งหมายที่จะนำเสนอแนวคิด หรือหลักการในปัญหาเดิมๆ ที่คนเราประสบกันมานานแล้ว ราวๆ สองพันกว่าปี และมีการตอบเอาไว้แล้ว โดยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นแนวทางในการจะได้ใช้ชีวิตแบบ เป็นสุข และเกิดสันติสุข ไปพร้อมๆกัน ดังนี้
ลัทธิที่เชื่อว่าสุขและทุกข์เกิดจากกรรมเก่าอย่างเดียว
ภิกษุ ท. ! (ย่อมาจาก ภิกษุทั้งหลาย) ลัทธิ ๓ ลัทธิเหล่านี้มีอยู่,
เป็นลัทธิ ซึ่งแม้บัณฑิตจะพากันไตร่ตรอง จะหยิบขึ้นตรวจสอบ จะ หยิบขึ้นวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร แม้จะบิดผันกันมา อย่างไร ก็ชวนให้น้อมไปเพื่อการไม่ประกอบกรรมที่ดี งามอยู่นั่นเอง.
ภิกษุ ท. ! ลัทธิ ๓ ลัทธินั้นเป็นอย่างไรเล่า ? ๓ ลัทธิคือ :-
(๑) สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและ ความเห็นว่า “บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตามที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะกรรมที่ทำ ไว้แต่ปางก่อน” ดังนี้.
(๒) สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและ ความเห็นว่า “บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตาม ที่ได้รับสุข รับทุกข์ หรือไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ทั้งหมดนั้น เป็นเพราะการ บันดาลของเจ้าเป็นนาย” ดังนี้. (เจ้าเป็นนาย หมายถึง เทวดา หรือ เทพเจ้าต่างๆ ฯ)
(๓) สมณะและพราหมณ์บางพวก มีถ้อยคำและ ความเห็นว่า “บุรุษบุคคลใด ๆ ก็ตามที่ได้รับสุข หรือ ได้รับทุกข์ หรือมิใช่สุขมิใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น ไม่มีอะไร เป็นเหตุ เป็นปัจจัยเลย” ดังนี้.
ภิกษุ ท. ! ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น สมณ- พราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า “บุคคลได้รับ สุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ เพราะกรรมที่ทำ ไว้แต่ปางก่อนอย่างเดียว” มีอยู่, เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบ ถามความที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า “ถ้ากระนั้น คนที่ฆ่าสัตว์ … ลักทรัพย์ … ประพฤติผิด พรหมจรรย์ … พูดเท็จ … พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ … มีใจละโมบเพ่งเล็ง … มีใจพยาบาท … มี ความเห็นวิปริต เหล่านี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง (ในเวลานี้) นั่นก็ ต้องเป็นเพราะกรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อน.
เมื่อมัวแต่ถือเอากรรมที่ทำไว้แต่ปางก่อนมาเป็น สาระสำคัญดังนี้แล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป.
เมื่อกรณียกิจและ อกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูกละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครองตนเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมา เรียกตนว่าเป็นสมณะอย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.
ติก. อํ. ๒๐/๒๒๒/๕๐๑.
ลัทธิที่เชื่อว่าสุขและทุกข์เกิดจากเทพเจ้าบันดาลให้
ภิกษุ ท. ! ในบรรดาลัทธิทั้ง ๓ นั้น สมณ- พราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า “บุคคลได้รับ สุขหรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น เป็น เพราะอิศวรเนรมิตให้ (อิสฺสรนิมฺมานเหตูติ)” ดังนี้ มีอยู่,
เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความ ที่เขายังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า “ถ้า กระนั้น (ในบัดนี้) คนที่ฆ่าสัตว์ … ลักทรัพย์ … ประพฤติ ผิดพรหมจรรย์ … พูดเท็จ … พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตก กัน … พูดเพ้อเจ้อ … มีใจละโมบเพ่งเล็ง … มีใจพยาบาท มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้อง เป็นเพราะการเนรมิตของอิศวรด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาการเนรมิตของอิศวร มาเป็น สาระสำคัญดังนี้แล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่มีความอยากทำ หรือความพยายามทำในข้อที่ว่า สิ่งนี้ควรทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป. เมื่อกรณียกิจ และอกรณียกิจ ไม่ถูกทำหรือถูก ละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครอง ตนเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตนว่าเป็นสมณะ อย่างชอบธรรมได้” ดังนี้.
ติก. อํ. ๒๐/๒๒๓/๕๐๑.
ลัทธิที่เชื่อว่าสุขและทุกข์เกิดขึ้นเองลอยๆ ไม่มีอะไรเป็นเหตุ เป็นปัจจัย
ภิกษุ ท. ! ในบรรดาลัทธิทั้งสามนั้น สมณ- พราหมณ์พวกใดมีถ้อยคำและความเห็นว่า “บุคคลได้รับ สุข หรือทุกข์ หรือไม่ใช่สุขไม่ใช่ทุกข์ ทั้งหมดนั้น ไม่มี อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลย” ดังนี้ มีอยู่, เราเข้าไปหา สมณะและพราหมณ์เหล่านั้นแล้ว สอบถามความที่เขา ยังยืนยันอยู่ดังนั้นแล้ว เรากล่าวกะเขาว่า “ถ้ากระนั้น (ในบัดนี้) คนที่ฆ่าสัตว์ … ลักทรัพย์ … ประพฤติผิด พรหมจรรย์ … พูดเท็จ … พูดคำหยาบ … พูดยุให้แตกกัน … พูดเพ้อเจ้อ … มีใจละโมบเพ่งเล็ง … มีใจพยาบาท … มีความเห็นวิปริต เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ นั่นก็ต้อง ไม่มีอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยเลยด้วย.
ก็เมื่อมัวแต่ถือเอาความไม่มีอะไร เป็นเหตุเป็น ปัจจัยเลย มาเป็นสาระสำคัญดังนี้แล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่มี ความอยากทำ หรือความพยายามทำ ในข้อที่ว่าสิ่งนี้ควร ทำ (กรณียกิจ) สิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไป. เมื่อกรณียกิจและอกรณียกิจไม่ถูกทำ หรือถูก ละเว้นให้จริง ๆ จัง ๆ กันแล้ว คนพวกที่ไม่มีสติคุ้มครอง ตนเหล่านั้น ก็ไม่มีอะไรที่จะมาเรียกตน ว่าเป็นสมณะ อย่างชอบธรรมได้.” ดังนี้.
ติก. อํ. ๒๐/๒๒๔/๕๐๑.
สรุปความก็คือว่า คนเราขบคิดกันเรื่อง การได้ประสบสุข และทุกข์ มานานแล้ว โดยแบ่งเป็นสามแนวคิดคือ เกิดจากกรรมเก่า (อดีตชาติ) ที่เรามักยกกันขึ้นมาเป็นคำพูดเพื่อโน้มน้าวใครบางคนเชื่อว่า ชีวิต หรือ ดวงชะตาเขา ที่เป็นไปทุกวันนี้ ทางร้าย หรือทางดี เพราะอดีตชาติเป็นตัวกำหนด เป็นตัวทำให้เกิดขึ้นเท่านั้น อยากให้ชีวิตดี ให้ไปแก้ที่กรรมเก่า ไปขอขมากรรม ที่เคยทำไม่ว่าชาติปางไหน ธรรมะของพระพุทธเจ้าทันสมัยมั้ยครับ มีคนคิดแบบที่คนทุกวันนี้คิด และคิดเมื่อ สองพันกว่าปีแล้ว ท่านก็ได้ตรัสตอบแนวทางเอาไว้ แต่เดี๋ยวค่อยเล่า ขอเล่าต่ออีกว่า
อีกแนวคิดหนึ่งก็เหมือนกับที่เราพบเจอในปัจจุบัน คือ คิดว่าชีวิตนี้เฮงหรือซวยเป็นเพราะ เทพยดาทั้งหลายเป็นตัวกำหนด ได้ลาภผลเงินทองเพราะเทวดาบันดาลให้ ได้รับความวิบัติฉิบหายเพราะผีสางพรายเปรตมาทำร้ายให้หม่นเศร้าหมองศรี ก็เลยพากันเซ่นสรวง กราบขอพร ขอความคุ้มครอง ขอให้พ้นโพยภัย และขอให้ได้ลาภผลดังต้องการ
อีกแนวคิดหนึ่ง ยิ่งทันสมัยในสังคมยุคนี้ คือ ไม่เชื่ออะไรทั้งนั้น ไม่นับถือศาสนาอะไรทั้งนั้น เพราะว่าไม่เชื่อเลยว่าความสุขหรือทุกข์นั้น มีเหตุมีปัจจัย คำว่ามีเหตุคือ มีที่มา มีต้นตอ มีต้นกำเนิด คำว่ามีปัจจัยคือ มีองค์ประกอบครบ มีกลไกลขับเคลื่อนให้เป็นไป เช่น การอยากเดินทางสะดวกเป็นเหตุให้ซื้อรถ แต่เงินเท่ากับราคารถ เป็นปัจจัยให้ได้รถมา เขาไม่เชื่อเหตุปัจจัยอื่นใดนอกจาก ตัวเขาเอง จึงพูดโดยรวบรัดว่า ไม่เชื่อว่าที่ชีวิตดี หรือชีวิตย่ำแย่ เพราะมีเหตุมีปัจจัย คือเชื่อว่ามันก็เป็นไปแบบนี้ เป็นชีวิตฉันแบบนี้แหละ “ไม่ต้องไปศึกษาแนวคิดใคร คิดเอง ทำเอง เออเอง ใช้ชีวิตเอง ก็ไม่เห็นได้ทำให้ใครเดือดร้อน นี้เป็นประโยคที่มักได้ยินกัน”
ทั้งสามปรากฎการณ์คือ เชื่อแต่อดีตชาติกรรมเก่า เชื่อแต่เทวดาดลบันดาล เชื่อแต่ว่าก็เกิดก็คือเกิดไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัย พวกนี้มีมานานแล้ว ตามพระพุทธพจน์ข้างต้น พระพุทธองค์เลยตรัสว่า การคิดแบบนี้ เห็นแบบนี้ เลยเป็นผลทำให้คนเหล่านี้ ไม่มี ความอยากทำ หรือความพยายามทำ ในสิ่งที่ควรทำ (กรณียกิจ) และแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งนี้ไม่ควรทำ (อกรณียกิจ) อีกต่อไปที่ควรทำก็ไม่ทำ ที่เขาห้ามทำก็กลับไปทำ ที่เขาให้ละเว้นอย่าทำก็ทำ เมื่อมีพฤติกรรมและแนวคิดแบบนี้อย่างเชื่อมั่นจริง
ก็เลยทำให้ ขาดสติ ไม่มีสติ คือ ไม่มีความรู้สึกตัวชัดเจน แน่ชัด ว่ากำลังทำอะไรอยู่หนะ คำว่ากำลังทำอะไรอยู่ไม่ใช่แค่ การไปตอบว่า รู้น่า ก็กำลังอ่านบทความนี้อยู่ไง กำลังนั่งอยู่ กำลังยืนอยู่ แต่หมายความว่า ที่ทำนั้นหนะ ควรทำ หรือไม่ควรทำ หรือไม่ด้วย ก็เลยเผลอทำดีบ้าง ทำเลวบ้าง ชั่วบางคราวดีบางคน ปนๆกันไปนี้แหละคือคน แบบที่ชอบคิดกันแบบนั้น
พระพุทธเจ้าเลยตรัสทิ้งท้ายว่า เมื่อคิดแบบนี้ เลยทำให้ไม่รู้ดีรู้ชั่วที่ชัดเจน เพราะบางคนอาจจะบอกว่า ชั่วมากๆ ก็รู้ ดีนิดๆก็รู้ และพอใจกับที่เป็นอยู่แล้ว แบบนี้ก็จึงทำให้ขาดสติ กลายเป็นวลีที่ชอบใช้กันคือ .
ดีชั่วรู้หมด แต่มันอดไม่ได้
และมันเผลอทำไปแล้ว จะให้ไปแก้ตัว ไปทำอะไรได้
เมื่อขาดสติแล้ว เลยเป็นผลทำให้ การไปสู่ความเป็นสมณะ คือ ผู้สงบระงับกิเลส หรือแปลง่ายๆให้เข้าใจว่า คนที่ได้เข้าถึงความสุขอย่างแท้จริงไม่เกิดขึ้น คิดแบบแนวคิดสามแบบข้างต้น ไม่ทำให้ไปถึงความ สุข และ สันติสุขได้ นั่นเอง
แล้วไหนผมเล่ามาแต่ต้นว่า พระพุทธเจ้าท่านตอบไว้แล้ว ว่าให้คิดอย่างไร แล้วให้ทำอย่างไร มาตอนนี้ อ่านมาตั้งนานยังไม่เห็นเจอแนวทาง ก็ขอตอบว่า พระองค์ก็ตอบไว้ในตัวแล้วว่า คิดแค่เป็นเพราะกรรมเก่า ไม่ได้ คิดแค่เพราะเทวดาบันดาลให้ก็ไม่ได้ คิดว่าไม่มีอะไรเป็นเหตุปัจจัยยิ่งไม่ได้ ก็แปลว่า ให้มองการได้ดีหรือได้ชั่ว สุข/ทุกข์ เกิดจากเหตุปัจจัยแน่นอน และมากมาย ที่รวมทั้ง กรรมในอดีตด้วย เทวดาบันดาลด้วย กรรมปัจจุบันด้วย ที่อยู่อาศัยด้วย สิ่งแวดล้อมด้วย สังคมที่คบหากันอยู่ด้วย การงานที่ทำด้วย คือมีปัจจัยเยอะมาก กล่าวแบบย่อๆเลยรวบว่า กรรม พุทธศาสนาเลยไม่ได้มองไปที่การ ดับทุกข์ หรือการให้เกิดสุข แต่มุ่งไปที่ การดับกรรม ด้วยกรรมที่ทำแล้วมีผลทำให้กรรมดับ หรือดับสิ้นตัณหาได้ คือ ทำกรรมที่ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ทำกรรมที่เป็นกุศล เพื่อให้เจริญไปถึงโลกุตรกุศลธรรม ขึ้นไปเรื่อยๆจนไปถึงความดับลงแห่งกรรม ด้วยการเดินไปในแนวทางนี้ เรียกว่า นิโรธ หรือ กรรมนิโรธคามินีปฏิปทา
จุดต่างกันเลยเกิดตรงนี้ ท่านทั้งหลาย โหราศาสตร์มุ่งเข้าหาสุข เติมเต็มสุข และให้หนีทุกข์ รอดจากเคราะห์ภัย แค่นั้น ซึ่งไม่ได้ไปแก้ไขที่สาเหตุแท้จริงว่า ตัวที่ทำให้ สุขหายไป แล้วได้รับความทุกข์ จนต้องมาค้นคว้าหาทางออกด้วยโหราศาสตร์ ก็คือ กรรมที่เป็นไปในทางโลภ โกรธ หลง การใช้เพียงแค่วิชาโหราศาสตร์แขนงไหนก็ตาม จึงทำให้ ทุกข์มีโอกาสเวียนเข้ามาเรื่อยๆ และสุขก็มีโอกาสจากไปได้เรื่อยๆ เสมอ หาที่สิ้นสุดไม่ได้ ประเด็นสำคัญไม่ใช่แค่ ปรับมุมมอง แต่พระพุทธเจ้าท่านเน้นให้ ออกความพยายามด้วย คือ รู้แล้วให้ทำ และต้องพยายามทำด้วยถ้ามันยาก พยายามทำในสิ่งที่ควรทำสิ่งที่ดีงาม และฝืนใจอดกลั้นไม่ทำเรื่องไม่ดีให้ได้ ตรงนี้ต่างหากที่เป็นดาบสองคมและผมต้องการบอกในวันนี้
โหราศาสตร์ / ฮวงจุ้ย / วิชาอื่นๆก็ตาม อาจช่วยให้เรารู้สึกว่า ปัดเป่าเคราะห์ รอดจากเรื่องแย่ๆหนักๆได้ และได้ความเฮงความเจริญ ดูเหมือนอาจช่วยให้ชีวิตดีขึ้น ง่ายขึ้น สำเร็จไวขึ้น แต่จริงๆแล้วเป็นดาบสองคม เพราะทำให้คนได้ดีจากวิชา ได้ดีเพราะคำทำนายหมอดู ได้ดีเพราะจัดฮวงจุ้ย ละเลยการพยายามไปศึกษา ไปหาแนวทางพัฒนาตัวเองให้ทำกุศลมากกว่านี้ เพราะสมใจแล้วนี่ ต้องไปทำอะไรเพิ่มอีก
ที่สำคัญก็ทำให้คนที่ทำผิดทำพลาดหรือมีความไม่ดีในทาง คำพูด การกระทำ หรือผิดกฎเกณฑ์ทาง มารยาท หรือ กฎหมายก็ตาม รู้สึกว่าวิชาเหล่านี้ช่วยให้รอดได้ ขนาดว่าตัวเองไม่ได้เป็นคนดีมากยังได้ดีเพราะโหราศาสตร์ช่วย งั้นทำดีอีกทำไม
หลายต่อหลายครั้งที่ผมคำนวนดวงชะตาแล้วพบว่า บางคนจะเจอเคราะห์หนักที่ไม่ทำให้ถึงวิบัติแก่ชีวิต ทรัพย์สินพินาส ผมจะไม่บอกเคล็ดทางวิชาโหรจีน หรือ ฮวงจุ้ย อะไรให้ไปแก้ทั้งนั้น ให้เค้าได้เจอจริงๆจังๆกับชีวิตบ้าง เพื่อให้เกิดความสำนึกตนเองว่า อย่าเหลิงมีเงินมาดูดวงแล้ว จะสามารถได้เคล็ดดีๆไปช่วยให้ลอยลำได้เสมอไป ซึ่งผมว่า มันเป็นเรื่องน่าดีใจนะ เพราะผมจะทำแบบนี้ก็ต่อเมื่อแน่ใจว่า คุณเจอแล้วคุณจะคิดได้ เหมือนต้นไม้ที่แข็งแรงพร้อมสู้แดดฟ้าลมฝน แต่ถ้าผมมองดวงชะตาแล้วเจอแบบนี้คิดสั้นผูกคอตายแน่ๆ ผมก็จำต้องหาสารพัดเคล็ดวิธีต่างๆเพื่อช่วยบรรเทาเบาบางไป ตามแต่ที่ได้ร่ำเรียนมาและปัญญาจะหาได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้แข็งแรงหรือต้นไม้ที่ต้องอนุบาล ผมบอกไปกับทุกคนเสมอว่า
ชีวิตคือของคุณ ไม่ใช่ของหมอดู กรุณาทำมันให้ดีๆถ้าอยากได้ดีกับชีวิต
ชีวิต /ชะตากรรม /ชะตาชีวิต เปลี่ยนทุกชั่วลมหายใจ
อย่าไปคิดว่า จะเปลี่ยนปีหน้า จะเปลี่ยนตอนตรุษจีน จะเปลี่ยนตอนสงกรานต์ หรือจะไปเปลี่ยนวันพรุ่งนี้ เพราะ ถ้าหายใจออกครั้งนี้ คุณไม่หายใจเข้าเสียแล้ว โอกาสที่จะเปลี่ยนถือว่า สิ้นไปในทันที
อ่านจบแล้วถ้าอยากไปอธิษฐานขอขมากรรมเก่า ขอขมาอดีตชาติ ทำไปครับ กลับไปนี้จะไปไหว้เจ้า ไหว้เทวดาต่อ ก็ทำไปครับ แต่ขอว่ากลับไปนี้อย่าไปคิดว่า กรรมไม่มีเหตุมีปัจจัย เราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก โลกนี้ยังมีเทวดา มีหลายสิ่งที่มองไม่เห็น และเราไม่ได้จู่ๆเกิดมาบนโลก เราเคยเกิดมาเป็นหลายๆอย่างและทำสารพัดกรรมเอาไว้ เพียงแต่ให้คิด ให้หมั่นมองชีวิตว่า ไม่ว่าสุข เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็หายไป ไม่ว่า ทุกข์ เดี๋ยวก็เกิด เดี๋ยวก็หายไป ไม่ว่าเฉยๆบอกไม่ถูก หรือเฉยๆแบบอิ่มเอมใจ เดี๋ยวก็สุข เดี๋ยวก็อาจทุกข์ต่อก็ได้ สลับวนเวียนกันไปนี้หละ เพราะฉะนั้นอย่าไปเพ่งที่ผลของมันมากจนบอกว่า ทนไม่ได้กับความซวยที่เจอ หรืออยากได้การขายดีกำไรงามแบบที่เคยได้นั้นอีก ฯลฯ อะไรแบบนั้น
ขอให้มองชีวิตเป็นต้นกล้วยไม้ ที่เราหวังให้ดอกมันสวยกันทุกคน แต่ทีแรกถ้าเรายังเลี้ยงกล้วยไม้ใส่ปุ๋ยไม่เป็น ทำไม่ถูก ก็มีดอกเล็กๆบ้าง ใบแห้งบ้าง มีราขึ้นบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา อย่าเพิ่งรีบไปกรี๊ดๆว่า ทนไม่ไหวละ ขอดอกโตๆกว่านี้ หรือขอตัดใบทิ้งออกไปซะ
แต่ขอแค่แน่ใจว่าจะยินดีเรียนรู้ การใช้ชีวิต เพื่อวันข้างหน้าจะได้ใส่ปุ๋ยได้ถูก ดูแลได้ถูก ต้นไม้ชีวิตก็จะงอกงาม วิชาทั้งหมดไม่ว่า โหรา หรือ ไสยเวทย์ ก็เป็นตัวอำนวยความสะดวกเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ซึ่งไม่มีผลอะไรใดๆกับ ต้นไม้ที่แน่วแน่และอดทนเลย
ต้นไม้ที่แน่วแน่และอดทน คือ สัมมาทิษฐิ+ขันติ ย่อมเจริญงอกงามได้เรื่อยๆ ดูดวงนี่เป็นเรื่องของคนอดทนต่ำทั้งนั้น ต่ำกว่าระดับอริยชน ก็คือ อดทนได้แค่ระดับปุถุชนคนธรรมดา ก็เลยต้องพึ่งพาเรื่องพวกนี้ช่วย
ถ้า ฟังธรรมเป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน ไซร้
โหราศาสตร์ ก็เป็นเพียง ครีมบำรุงผิว หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเท่านั้น ไม่ได้ช่วยทำให้หายโรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ โรคตายได้ ได้แค่บำรุงตอนมีชีวิตเป็นคนตอนนี้ บ้าง เว้นเสียแต่ใช้โหราศาสตร์ไปในแนวทางที่สอดคล้องพร้อมๆกับการ ฟังธรรมและปฏิบัติด้วย อันนั้นก็ขอรับรองว่า
ชีวิตจะมีความสุขมากกกกกกกกกกก
ชีวิตจะมีโภคทรัพย์มากกกกกกกกกก
ชีวิตจะได้พบกับความสุขสงบที่ไม่มีอะไรยิ่งกว่า
แน่นอน รับประกันได้
เพราะ พระทั่วประเทศร่วมรับประกัน ว่า สีเลนะ สุคติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุติงยันติ ฯ ก็เลยขอเชิญชวนให้ ฟังธรรม ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา กันเยอะๆครับ
ซินแสหลัว
22/06/2561
โฆษณา