18 มี.ค. 2021 เวลา 12:11 • ครอบครัว & เด็ก
“หม่าม้า”
สักครั้ง.. ที่สองมือนี้จะเขียนถึง “แม่”
เคยมีคนๆหนึ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตดิฉัน ตั้งคำถามกับดิฉันว่า
“ทำไม เราถึงไม่เคยเขียนบล็อกถึงเค้าเลย”
เค้าคงไม่รู้ว่า การไม่เขียนนั้น เป็นได้จาก 2 อย่าง คือ ไม่มีอะไรจะเขียน กับตรงกันข้าม มีมากเกินไป จนกลัวว่าจะไม่สามารถหยุดความรู้สึกตัวเองและน้ำตาให้หยุดไหลได้ในระหว่างการเขียนนั้น
ทั้งเค้า และหม่าม้า… คือกรณีนั้น
ต่างกันออกไปคือ สำหรับเค้าคนนั้น มันเป็นความรู้สึกรัก อาวรณ์ โหยหาและรู้สึกผิด เพียงแค่คำแรกที่จะเริ่มต้นเขียนถึงเค้า น้ำตาก็กลบดวงตาจนมองไม่เห็นคีย์บอร์ดซะแล้ว ดิฉันจึงไม่เคยจะกล้าเขียนอะไรถึงเค้าเลย
สำหรับหม่าม้า นอกจากความรักสุดหัวใจที่ลูกคนหนึ่งจะมีให้แล้ว มันกอปรไปด้วยความสำนึก และรู้สึกผิดในทุกๆความผิดพลาดที่ลูกสาวคนนี้ ได้เคยทำกับพ่อและแม่มาก่อน
แค่ถึงตรงนี้.. น้ำตาก็ไหลเสียแล้ว 555
ตั้งแต่จำความได้ หม่าม้าคือผู้หญิงเก่ง แกร่ง ตัวเล็ก เสียงดัง จิตใจดี และ.. รักลูกสุดหัวใจ แม้หม่าม้าจะมีข้อแม้มากมายในชีวิต แต่ข้อแม้เหล่านั้น จะถูกยกเว้นและยอมรับได้ง่ายขึ้น หากว่ามันเป็นความสุขของลูกๆ
หม่าม้าเติบโตมาอย่างที่เรียกว่า ไม่ค่อยสมบูรณ์เท่าไหร่นัก ลูกสาวจากการแต่งงานครั้งแรกในครอบครัวคนจีน ที่มีขนบธรรมเนียมตีกรอบรอบตัว ไม่ได้สร้างเงื่อนไขให้หม่าม้าเป็นที่รักอย่างมากมายนัก ในขณะที่น้องๆต่างพ่อของหม่าม้าทุกคน ได้เรียนสูงๆ จนถึงขั้นต่อต่างประเทศ หม่าม้าที่เป็นเพียงแค่ลูกติดจากการแต่งงานครั้งก่อน กลับได้เรียนแค่ระดับชั้น ป.4 และเพียงถ้าวันนั้น หม่าม้ามีโอกาสได้เรียนสูงๆ แน่ใจได้เลยว่า วันนี้ประเทศไทยจะมีแพทย์หญิงเพิ่มขึ้นอีกคนอย่างแน่นอน
ทั้งการเลิกกันของพ่อกับแม่ แม่แต่งงานใหม่กับครอบครัวคนจีนด้วยกัน โชคชะตายังคงทยอยสร้างภูมิต้านทานในชีวิตให้ผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่คนนี้ ด้วยการมีน้องชายสายเลือดเดียวกันหนึ่งคน ทว่า.. น้าชายดิฉันคนนั้น โชคร้ายเป็นพิการทางสมอง ด้วยความผิดพลาดจากการทานยาสมัยที่อาม่ายังให้นมแม่อยู่..
โชคชะตาเล่นเป็นตัวร้ายในเรื่องเล่าชีวิตของหม่าม้าอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
หม่าม้าเติบโตในบ้านของพ่อเลี้ยง หรือคืออากงอย่างไม่ค่อยสุขใจนัก หากคำว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” จะต้องหยิบยื่นให้ใครสักคนอธิบายจากประสบการณ์จริงของชีวิต หม่าม้าคงรับอาสาเล่าเองได้อย่างไม่ขัดเขิน แต่คงไม่มีความจำเป็นต้องบรรยายคืนวันที่โหดร้ายเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง เพราะอย่างน้อยๆ อากงดิฉัน ตอนนี้ท่านก็ขอลี้ภัยไปอยู่โลกอื่นเป็นเวลานานแล้ว สิ่งใดจบแล้ว ก็ให้มันจบไปเถิด ป่วยการจะรื้อฟื้น
หม่าม้าแก้เกมส์ชีวิตและเอาคืนโชคชะตาให้ตัวเองด้วยการเลือกเป็นคนเรียนเก่ง ความที่หม่าม้าเป็นคนหัวดี ฉลาด และความจำเยี่ยม หม่าม้าเรียนได้ทุกอย่างที่หม่าม้าอยากเรียน แล้วมิหนำยังเรียนได้ดีมากๆอีกด้วย จะมีคนจบ ป.4 สักกี่คน ที่ถูกเชิญให้สอนหนังสือเป็นครูต่อ ทั้งๆที่ไม่มีใบปริญญาแม้แต่ใบเดียว และหม่าม้าก็เป็นหนึ่งในนั้น
หากว่าคืนวันที่ทุกข์ทนของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จะยังสว่างไสวและมีหวังอยู่บ้างก็คงไม่พ้นเรื่องราวของชีวิตคู่ หม่าม้าและปะป๊าพบกันในวันหนึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ หลังการแนะนำให้รู้จักของผู้ชายคนหนึ่งที่เพียรจีบหม่าม้าอยู่เป็นนานสองนาน
คบกันได้ไม่นานนัก หม่าม้าและปะป๊าก็ตัดสินใจแต่งงานกัน ปะป๊าลูกชายคนโตจากครอบครัวจีนที่เคร่งครัด และมีพื้นฐานฐานะทางบ้านที่ด้อยกว่าฝั่งเมีย ก่อนจะให้กำเนิดพี่ชายเราเป็นคนแรกในปลายปี 2515 แท้งลูกชายหนึ่งคน เพื่อจะมามีลูกสาวหัวดื้อ รั้น เลี้ยงยาก ไม่เชื่อฟัง ไม่เคารพพ่อแม่ เอาแต่ใจตัวเอง และเก่งที่สุดในการทำให้พ่อและแม่เสียใจ..อีกหนึ่งคน และปิดจ็อบชีวิตการตั้งท้องด้วยลูกชายอีกสองคน
เกียรติคุณเดียวที่ดิฉันมีและคู่ควรกับการได้รับประกาศเกียรติคุณคือการเป็นลูกที่เลี้ยงยากที่สุดในบรรดาลูกทั้งหมด 555
พวกเราสี่พี่น้องเติบโตมาในบ้านที่อบอุ่นด้วยความรัก อาจมีบ้างที่ปะป๊าและหม่าม้าจะจิกกัด เหน็บแนม โต้แย้งหรือแม้กระทั่งทะเลาะกันใหญ่โตตามประสาคำว่า “คู่ชีวิต” แต่สุดท้าย ทั้งสองคนก็จะกลับมาร่วมเตียงกันเหมือนเดิมในทุกๆคืนเสมอ จนกระทั่งวันนี้
เรื่องที่เป็นทุกข์ในใจที่ดูว่ายิ่งใหญ่ของหม่าม้ามีอยู่แค่ไม่กี่เรื่อง การมีลูกดี คู่ชีวิตที่ดี ก็คือพรที่ผู้หญิงทุกๆคนทุกๆชาติปรารถนาไม่ต่างกันไป แม้ลูกทั้ง 4 จะไม่ได้สมบูรณ์ที่สุด แต่ทุกๆคนก็สร้างความภาคภูมิใจให้หม่าม้าได้ไม่น้อยไปกว่ากัน ในขณะที่คู่ชีวิต อาจมีบ้างที่สร้างความไม่เข้าใจและต่อเนื่องมาเป็นน้ำตาให้กับผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ แต่สุดท้ายแล้ว ทั้งปะป๊าและหม่าม้าคือตัวอย่างของคู่ชีวิตที่เป็นรักแท้ของกันและกัน มีสุขร่วมกัน มีทุกข์ร่วมกัน และมีชีวิตเดียวกัน หากว่าชีวิตคือการก้าวต่อในทุกๆวัน และการให้อภัยคือทานสูงสุดอย่างหนึ่งเท่าที่คนๆหนึ่งจะพึงกระทำได้ หม่าม้าก็คงได้ทำทานในส่วนนี้ไปอย่างมากโข เพราะชีวิตหลังการแต่งงานที่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณผู้หญิงคนหนึ่งจะพึงอุทิศให้กับสามี ภายใต้ความเชื่อและความหวังที่ว่า “มันจะเต็มไปด้วยความสุข” ของหม่าม้า กลับกลายเป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่มีฝันร้ายเข้ามาพัดผ่าน ให้หม่าม้าได้รู้จักรสหนาวร้อนของชีวิต ได้รู้จักรสริษยาและจงเกลียด ได้รู้จักรสของความยกย่องที่ปราศจากความเท่าเทียม ได้รู้จักรสของน้ำตาจากความคาดหวังในความเข้าใจ
แต่ไม่ว่ามันจะเคยเป็นอะไร และเลวร้ายแค่ไหน นี่ก็เป็นอีกครั้งที่หม่าม้าก้าวเดินผ่านมันมาได้อย่างสง่างามและภาคภูมิ สิ่งเหล่านั้นทำร้ายหม่าม้าไม่ได้ เพราะหม่าม้าไม่ได้มีเจตจำนงของชีวิตใดๆมากไปกว่าการสร้างชีวิตน้อยๆทั้ง 4 เหล่านั้นให้เติบโตมามีชีวิตที่ดีกว่าที่หม่าม้าเคยมี และมีชีวิตก้าวต่อไปให้ยิ่งใหญ่กว่าที่หม่าม้าเคยก้าว เรียบๆง่ายๆแค่นั้นเอง หวังของหม่าม้า
ภาพที่เราชินตาที่สุดคือความขยันขันแข็งของหม่าม้า ที่เหมือนไม่เคยรู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย หม่าม้าทำทุกอย่างที่สุจริตที่จะทำให้ได้เงินมาเลี้ยงลูก ภาพจำหลักในวันเก่าคือ พวกเรา 4 คนพี่น้องต้องอยู่บ้านกันเองตามลำพัง เพราะปะป๊าและหม่าม้าต้องออกไปทำงาน และเราไม่ได้มีสตางค์มากพอที่จะจ้างพี่เลี้ยงหรือแม่บ้านให้มาคอยดูแลหัวใจพวกเรา ซึ่งดิฉันเชื่อว่า หากว่ามีทางเลือก หม่าม้าคงไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะหาใครมาช่วยอยู่ดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราพี่น้อง
เราเริ่มมีแม่บ้านเมื่อตอนดิฉันอายุได้ 9-10 ขวบ พร้อมๆกับที่ผลแห่งความขยันหมั่นเพียรของหม่าม้าก็เริ่มแตกดอกออกผล เราเริ่มมีสตางค์มากขึ้น มากพอที่จะต่อเติมบ้านตึกแถวหลังเล็กๆ ให้มีห้องนอนเพียงพอสำหรับลูกชายห้องหนึ่ง และลูกสาวอีกห้องหนึ่ง เป็นครั้งแรกที่บ้านเรามี 2 ห้องน้ำ และมีชักโครกอย่างดีในบ้าน มีโต๊ะอาหารแทนการนั่งทานกับพื้น มีจานชามเป็นเซ็ทแทนชามสังกะสีที่พร้อมจะขึ้นสนิมได้ตลอดเวลา มีแอร์เย็นฉ่ำติดในห้องนอน แทนการนอนร้อนด้วยพัดลม และมีรถยนต์คันแรกของบ้าน แทนมอเตอร์ไซค์คันเดิมที่ทั้งบ้านใช้เป็นพาหนะหลักมาแต่ไหนแต่ไร
ครอบครัวเล็กๆของหม่าม้า เติบโตอย่างเปี่ยมสุขจนวันหนึ่งที่หม่าม้าและปะป๊ะมีสตางค์มากพอที่จะซื้อตึกแถวหลังใหม่ในบริเวณถนนจันทน์ สาทร ตึกแถว 2 ห้องติดกันที่มี 6 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องทำงาน 1 ห้องรับแขก 1 ห้องทานอาหาร 1 ห้องสันทนาการ พร้อมดาดฟ้าที่มีโต๊ะม้าหินแบบฝังตายสำหรับให้นั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืนได้ และเป็นสถานที่ที่ดีเยี่ยมในการดูพลุในแต่ละเทศกาลสำคัญ
หม่าม้าปะป๊าซื้อบ้านหลังนี้รวมตกแต่งในราคาเมื่อ 20 ปีก่อน ด้วยงบประมาณไม่น้อยกว่า 8 หลัก นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในเชิงวัตถุนิยมของผู้หญิงจบ ป.4 คนหนึ่ง ผู้หญิงคนที่เก่งเลขมากกว่าวิชาความรู้รอบตัว ผู้หญิงคนที่ทำแกงเทโพได้อร่อยกว่าอาหารจานอื่น ผู้หญิงคนที่รู้จักถนนเจริญกรุงมากกว่าถนนเส้นไหนๆ (เพราะไม่รู้จักเส้นอื่นเลย ลองเอาหม่าม้าไปปล่อยที่ใดที่นึง จะเป็นที่รู้กันในครอบครัวว่า หม่าม้าหลงแน่นอน) และผู้หญิงคนที่ ไม่เคยสร้างคำถามในใจลูกแม้แต่ครั้งเดียวว่า หม่าม้ารักลูกหรือไม่ หรือหม่าม้ารักลูกคนไหนมากกว่ากัน
หม่าม้าคือตัวอย่างความสมบูรณ์ในความเป็นแม่ ที่ลูกคือทุกคำตอบของหัวใจ และไม่เคยจะรักคนไหนมากกว่ากัน สำหรับหม่าม้าแล้ว จะลูกชายหรือลูกสาว (ถ้าไม่นับเรื่องความประพฤติ) หม่าม้าคือแม่ที่ไม่ลำเอียงที่สุดในโลก
หากว่าข้างต้น คือมาตรวัดความสำเร็จในเชิงวัตถุนิยมแล้ว มาตรวัดความสำเร็จในความเป็นแม่และเมียของหม่าม้าก็คงไม่ต่างกัน เพราะด้วยหนึ่งสมองและสองมือของหม่าม้านั้น ปะป๊ากลายเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด มีชีวิตที่ใครๆก็ถวิลหา อยากมี อยากได้และอยากเป็น และหากปะป๊าจะมีทุกข์บ้างก็คงเป็นเพียงความเสื่อมถอยของสังขารที่ต้องมาถึงตามวันวัยที่เปลี่ยนไป กับทุกข์จากการแทงหวยไม่ถูกและเลือกไม่ได้ว่าวันอาทิตย์นี้จะทานข้าวที่ร้านไหนดี ดูๆไปก็เป็นความทุกข์ที่น่าหมั่นไส้อยู่ไม่หยอก ในขณะเดียวกัน หม่าม้าเป็นแม่ของลูกชายที่จบปริญญาโท 3 คน เป็นเจ้าของกิจการทั้ง 3 คนกับลูกสาวคนเดียวที่จบแค่ปริญญาตรี และยังไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการอย่างพี่ๆน้องๆคนอื่น เป็นอาม่าของหลานๆทั้ง 8 คน เป็นเจ้าของชีวิตที่คิดบวกและมีทัศนคติที่มีหวังอยู่เสมอในทุกๆวัน ภายใต้การกระทำอย่างง่ายๆเมื่อลืมตาตื่นคือการบอกกับตัวเองว่า “ช่างมัน” ประโยคง่ายๆทรงพลัง ที่ผลักดันหม่าม้าออกไปใชัชีวิตเป็นเมีย เป็นแม่ และเป็นอาม่าที่รวยรอยยิ้มมากกว่าตัวเลขเงินสดในธนาคาร
“สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” เป็นอย่างไรนั้น ไม่ต้องถามคนอื่นไกลเลย ถามดิฉันนี่แหละค่ะ 555 เพราะนอกจากการเป็นลูกสาวที่เรียนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของไทย และเป็นแม่ของเด็กผู้ชายที่ดีที่สุด 2 คนเท่าที่ผู้หญิงสักคนจะพึงระลึกถึงเมื่ออยากมีลูกแล้ว ดิฉันไม่ได้มีความสำเร็จอื่นใดให้หม่าม้าภูมิใจได้เลย ทั้งความล้มเหลวในชีวิตคู่ ความไม่มั่นคงในเรื่องของทรัพย์สินและความไม่แน่นอนในก้าวย่างของชีวิต ไม่รู้จะกี่ครั้งที่ดิฉันทำให้หม่าม้าเสียน้ำตา ด้วยความดื้อรั้น อวดดี และหยาบกระด้าง ไม่รู้จะกี่ครั้งที่ชีวิตดิฉันต้องหกล้ม ระทมทุกข์ จนบางครั้งก็ดูจะเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับการเป็นโรคยอดฮิตอย่างซึมเศร้าได้ไม่ยากเย็นนัก แต่ก็ทุกๆครั้ง ที่สองมือนั้น จะเอื้อมฉุด ป้องกัน และผลักดันให้ก้าวต่อ ด้วยความรักของหม่าม้าที่มีอย่างมากมายตลอดชีวิตลูกสาวคนนี้ มันเพียงพอที่จะเหนี่ยวรั้งให้ดิฉันกลับมาก้าวเดินและหยัดยืน ด้วยหวังที่จะทำวันพรุ่งนี้ให้ดีขึ้น ด้วยฝันที่สักครั้งจะเป็นความภูมิใจของพ่อแม่ และด้วยปรารถนาที่จะเห็นรอยยิ้มฉาบหน้าเมื่อนึกถึงลูกสาวคนเดียว
วันนี้ ดิฉันยังคงดูห่างไกลจากคำนิยามของคำว่า “ลูกที่ดี” แต่ทุกๆวันที่ลืมตาตื่น ดิฉันยังคงมีหวัง ฝัน และปรารถนาที่จะแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้น เพื่อแสดงความขอบคุณที่ให้เกียรติลูกคนนี้ได้เกิดมาจากเลือดเนื้อ เพื่อแสดงความขอบคุณที่ให้ลูกได้อิ่มอุ่นด้วยค่าน้ำนมทุกหยาดหยด เพื่อแสดงความขอบคุณที่ให้โอกาสลูกได้เติบใหญ่ เพื่อแสดงความขอบคุณที่สองมือแม่ไม่เคยห่างไกลจากการฉุดรั้งลูกที่อ่อนล้า และเพื่อแสดงความขอบคุณที่รักลูกและมอบโอกาสให้ลูกได้รักอย่างยิ่งใหญ่ ปราศจากเงื่อนไขและไม่ตั้งคำถาม
คงไม่โอหังเกินไปนัก หากจะบอกว่า ดิฉันคือหนึ่งในสี่ของลูกที่โชคดีที่สุดในโลก ตรงกันข้าม หม่าม้าอาจจะโชคร้ายหน่อยที่มีดิฉันเป็นลูก แต่ขอให้แม่เชื่อลูกเถิดว่า
ลูกจะดีขึ้นในทุกๆวัน..
ลูกต้องดีขึ้นในทุกๆวัน
ลูกหวัง ลูกฝัน และลูกปรารถนาเช่นนั้นจริงๆ…
กราบแม่จากหัวใจ…
โฆษณา