19 มี.ค. 2021 เวลา 12:11 • ข่าว
#StopAsianHate เพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เราก็คนเหมือนกัน
.
แฮชแท็ก #StopAsianHate ปะทุขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ภายหลังเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2564 ที่มีการกราดยิงร้านสปา 3 แห่งในเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา โดยมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 8 ราย และเป็นหญิงชาวเอเชียจำนวน 6 ราย โดยผู้ก่อเหตุมีชื่อว่า “โรเบิร์ต แอรอน” ชายอเมริกันผิวขาว อายุ 21 ปี ถึงแม้ตำรวจจะสันนิษฐานว่าการก่ออาญชากรรมครั้งนี้ไม่ได้มีแรงจูงใจเกี่ยวกับเชื้อชาติ แต่หลายคนมองว่าการกระทำความรุนแรงครั้งนี้มีเหตุมาจาก “การเหยียดเชื้อชาติคนเอเชีย” ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้งหลังจากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่มีต้นตอจากประเทศจีน
.
ความจริงแล้วกระแสการรณรงค์เรื่อง “Asian Are Human” นั้นมีมาตั้งแต่ต้นปี 2564 จากกรณีที่ “วิชา รัตนภักดี” ชายสูงอายุชาวไทยวัย 84 ปี ถูกวัยรุ่นผิวดำชาวอเมริกันผลักจนล้มลงกับพื้นจนทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ที่เมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ โดยภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าว แฮชแท็ก #AsianAreHuman และ #JusticeForVicha ก็เริ่มเป็นกระแสขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ รวมถึงการเคารพและความเสมอภาคในการเป็นมนุษย์
.
หลังจากกรณีข้างต้น ก็เริ่มมีเหตุการณ์การทำร้ายร่างกายชาวเอเชียเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งการผลักชายชราวัย 91 ปี จนล้มลงและได้รับบาดเจ็บ ที่ไชน่าทาวน์ เมืองโอ็คแลนด์ สหรัฐฯ การผลักจักรยานของหญิงเอเชียจนล้มลง และกรณีล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มี.ค. 64 ที่ชายอเมริกันผิวขาว วัย 39 ปี เข้ามาต่อยหน้าหญิงชราเชื้อสายเอเชียวัย 79 ปี จนเธอได้รับบาดเจ็บบริเวณรอบดวงตา แต่หญิงชราได้เอาไม้ฟาดกลับจนทำให้ชายอเมริกันได้รับบาดเจ็บ จากกรณีดังกล่าวก็มีผู้คนมากมายออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงความลำเอียงที่เจ้าหน้าที่พยาบาลไม่ได้ให้การดูแลหญิงชาวเอเชียเท่าที่ควร แต่กลับให้ความสำคัญกับชายอเมริกันผิวขาวมากกว่า หากดูจากในคลิปวีดีโอ
.
จากการรายงานของ Stop AAPI Hate National Report ระบุว่า นับตั้งแต่วันที่ 19 มี.ค. 63 – 28 ก.พ. 64 มีจำนวนเหตุการณ์ความเกลียดชังและความรุนแรงต่อคนเอเชียมากกว่า 3,795 ครั้ง โดย 68.1% เป็นการพูดจาล่วงเกิน (Verbal Harassment) การผลักไสไล่ส่ง 20.5% (Shunning) และอื่น ๆ อีกไม่ว่าจะเป็นการทำร้ายร่างกายและการล่วงละเมิดโดยตรงและทางออนไลน์
.
“ชาวเอเชียในสหรัฐฯถูกเหยียดเพิ่มมากขึ้นจากการระบาดของโรคโควิด-19”
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากระแสการเหยียดชาวเอเชียในสหรัฐฯเริ่มรุนแรงขึ้นภายหลังจากการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากต้นตอของโรคระบาดนั้นมาจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และหากย้อนกลับไปในสมัยของโดนัล ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทรัมป์ได้มีการเรียกชื่อโรคโควิด-19 ว่า “ไวรัสจีน” (Chinese Virus) และไข้หวังกังฟู (Kang Flur) เพื่อให้คล้องกับคำว่ากังฟู ชื่อศิลปะการต่อสู้ของจีน
.
ทางด้าน กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวต่อเหตุการณ์กราดยิงในรัฐจอร์เจียว่า “สำหรับชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียทุกท่าน เราจะยังคงยืนอยู่เคียงข้างพวกคุณ และเราเข้าใจว่าเหตุการณ์นี้สร้างความหวาดกลัวและโกรธแค้นให้กับพวกคุณมากแค่ไหน พวกเราทุกคนไม่ควรนิ่งเฉยเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ความเกลียดชังใด ๆ ก็ตาม” โดยแฮร์ริสถือเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียคนแรกในรอบ 2 ทศวรรษที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่งระดับเลขานุการในสภาสหรัฐฯ
.
จากกระแสดังกล่าวทำให้ดารานักแสดงเชื้อสายเอเชียจำนวนมากออกมาร่วมกันติดแฮ็ชแท็ก #StopAsianHate กันอย่างแพร่หลาย เช่น Crissy Teigen, Jason Wang, Rich Brian ฯลฯ เพื่อเป็นกระบอกเสียงและเรียกร้องความยุติธรรมให้กับชาวเอเชีย เพราะไม่ว่าจะเชื้อชาติไหน เราก็ล้วนเป็นคนเหมือนกันทั้งนั้น
โฆษณา