19 มี.ค. 2021 เวลา 13:15 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
(สปอยล์) รีวิว: Citizen Kane ความรัก ความเดียงสา ความเดียวดาย
“ช่วงเวลาที่สูญสิ้นตัวตน คือช่วงเวลาที่คนเติบโตเป็นผู้ใหญ่” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องสำหรับทุกคน เราก็เช่นกัน แต่หลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Citizen Kane ก็มีประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัว ทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่ใช่แก่น หรือสารบางอย่างที่ภาพยนตร์มาสเตอร์พีชเรื่องนี้ต้องการจะสื่อสารออกมาด้วยซ้ำ
เป็นภาพยนตร์อีกหนึ่งเรื่องที่เราพลัดมานับสิบครั้ง เพราะความขี้เกียจ แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับคำชมทั่วโลกออนไลน์ ที่คอยย้ำเตือนให้ไปเยือนชมดูสักครั้ง
ด้วยความคาดหวังที่ไม่ได้มีมากมายอะไร ก็เลยนั่งดูสบาย ๆ แบบไม่เครียด ซึ่งก่อนดูเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักนิด รู้แค่ว่าเขาบอกต่อกันว่าดี กับภาพสวยในหลายซีน ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงอย่างเถียงไม่ได้
การเล่นแสงเงาใช้ความมืดให้เป็นประโยชน์ กระแทกเข้ามาในโสตประสาทการรับรู้ด้วยสายตาของเราตั้งแต่ฉากแรก ทำเอานั่งไม่ติดและไม่ได้สนใจบทสนทนาที่ตัวละครรับ-ส่งกันเท่าไร เพราะมัวแต่พิจารณาความงามตรงหน้าที่เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งเรื่อง
ก่อนจะออกทะเลไปไกล ขอวกกลับมาเล่าถึงเรื่องนี้กันเสียก่อน Citizen Kane เปิดเรื่องด้วย การเล่าชีวิตของชายคนหนึ่งนาม Charles Foster Kane ผ่านภาพยนตร์ที่หลังจากฉายจบกับพบว่าเหมือนขาดอะไรไป ทีมงานเลยนึกขึ้นได้ถึงคำพูดสุดท้ายที่ Mr. Kane เอ่ยไว้ก่อนจะหลับอย่างไม่มีวันหวนคืน คำนั้นคือ “Rosebud” ที่ไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงอะไร จึงมอบหมายหน้าที่ให้ Thompson ไปหาคำตอบ เพื่อมาใส่ในภาพยนตร์ชีวประวัติของ Mr. Kane
หลังจากนั้น Thompson ก็ไล่หาข้อมูลทั้งตามอ่าน ตามสัมภาษณ์ เพื่อจะได้ทราบว่า “Rosebud” นี้ คือใครหรืออะไรกันแน่ หลังจากนี้ก็เรื่องก็จะเล่าตัดสลับไปมาระหว่างปัจจุบัน และอดีต โดยมีคนสนิทชิดใกล้ของ Kane เป็นผู้เล่าเรื่อง ชวนนึกถึงภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Loving Vincent ที่เป็นการออกตามหาข้อมูลเกี่ยวกับใครสักคนที่ตายไปแล้วเช่นกัน
การตามหาความหมายของ “Rosebud” ก็พาให้เรารู้จัก Mr. Kane มากยิ่งขึ้นตั้งแต่ที่ต้องผลัดพรากจากอ้อมอกแม่ตั้งแต่วัยเยาว์ จนเติบโตเป็นหนุ่มก็เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์มากมาย สะสมอำนาจล้นมือ อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร ในระหว่งที่เล่า
เรื่องราวก็ดำเนินไป ให้เห็นความยิ่งใหญ่ของ Mr. Kane จนเขาได้ไปพบกับหญิงสาวโดยบังเอิญ และกลายเป็นชู้รักอย่างลับ ๆ ที่สุดท้ายก็ถูกเปิดเผยอย่างไม่ยินยอม
เรื่องก็ดำเนินร้อยเรียงต่อมา เราว่าช่วงนี้รู้สึกแผ่วอยู่พอสมควร จนจำไม่ค่อยได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่พอสติกลับมาอีกครั้งก็จับใจความได้ว่าหญิงสาวชู้รักนาม Susan ของ Mr. Kane ก็ได้เป็นนักร้อง ด้วยอำนาจเงินตราของ Mr. Kane เอง
Susan เองก็ทำได้ไม่ดีนักกับอาชีพนักร้องที่เธอใฝ่ฝัน เพราะเสียงที่ไร้พรสวรรค์จนยากเกินที่จะฝึกฝน ตัวเธอเองก็อยากหยุดร้องให้แล้วรู้แล้วรู้รอด เพราะคำวิจารณ์ที่ออกมาเสีย ๆ หาย ๆ แต่ก็ได้ Mr. Kane ที่บังคับให้เธอร้องต่อไม่ว่าความสามารถของเธอจะเอื้ออำนวยหรือไม่ ตรงนี้มีฉากที่เงาของ Mr. Kane บัง Susan ที่กำลังเถียงอย่างเดือดดาล จนเหลือให้คนดูเห็นเพียงดวงตา พร้อมแผดเสียงบังคับให้ Susan ร้องเพลงต่อ จนเธอเงียบหง่อและยอมในที่สุด ฉากนี้ฉากเดียวแสดงถึงอำนาจความยิ่งใหญ่ของ Mr. Kane ได้เป็นอย่างดี (ชอบมาก)
1
จนเรื่องก็ร้อยเรียงต่อจนถึงช่วงท้ายที่ Susan ได้ทิ้ง Mr. Kane ไป แบกกระเป๋าออกจากประสาท Xanadu อย่างไม่ใยดี ทิ้งให้ชายผู้เคยยิ่งใหญ่สติแตกจนรั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ หลังจากระเบิดอารมณ์พังข้าวของในห้องจนยับเยิน เขาก็พูดขึ้นมาว่า “Rosebud” และเดินออกมาผ่านเหล่าคนรับใช้ที่ยืนงุนงงอยู่หน้าห้องนั้น
Thompson ก็มาถึงที่ Xanadu พอดิบพอดีและได้เจอกับคนรับใช้สำเนียงที่เราคิดว่าน่าจะเป็น Italian บอกติดตลกว่า Mr. Kane พูดอะไรไปเรื่อยเป็นประจำ ซึ่งเขาก็เคยได้ยินคำนี้อยู่ไม่น้อย เมื่อได้ยินเช่นนี้ Thompson ก็ปลงพร้อมบอกเล่าเรื่องราวว่าคำตอบจะยังคงเป็นปริศนาต่อไป เป็นอีกหนึ่ง monologue ที่เราชอบมากเหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ท่ามกลางกองข้าวของมากมายเป็นโกดัง ก็มีของเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งที่เป็นกระดานเลื่อนหิมะที่ Mr. Kane เล่นในวันที่เขาพลัดพรากจากแม่ ภาพข้าวของมากมายค่อย ๆ ซูมเข้าใกล้กับของชิ้นนี้มากขึ้น จนมีพนักงานมาหยิบไป ตัดภาพไปที่เตาเผา ทุกคนกำลังง่วนอยู่กับการเผาข้าวของงที่ Mr. Kane ทิ้งไว้ เจ้ากระดานเลื่อนหิมะชิ้นเดิมวนกลับมาอีกครั้ง และถูกโยนเข้ากองไฟที่ลุกโชน กล้องค่อย ๆ ซูมเข้าไปใกล้ ๆ มีคำ ๆ หนึ่งอยู่บนกระดานชัดเจน พร้อมกับรูปแกะสลักที่มองก็รู้ว่าคือดอกไม้ ใช่ครับ “Rosebud” ที่แท้ก็คือกระดานเลื่อนหิมะนั่นเอง
กระดานเลื่อนหิมะนี้ สื่อถึงความเยาว์วัยเดียงสาของ Mr. Kane เพราะครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้รู้สึกสนุกกับชีวิตอันยิ่งใหญ่ของเขาอย่างแท้จริง และการที่เขาพูดคำนี้ขึ้นมาคงเป็นเพราะเขายังคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ช่วงเวลาที่มีความสุข ช่วงเวลาที่มีคนรักอย่างแท้จริง (แม่) ช่วงเวลาที่ยากจะลืม และ “Rosebud” นี่ล่ะคือตัวแทนของช่วงเวลานั้น
1
ภาพจาก The New Republic
โฆษณา