20 มี.ค. 2021 เวลา 05:20 • ประวัติศาสตร์
“จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)” อัครมหาเศรษฐีแห่งประวัติศาสตร์สมัยใหม่
เมื่อพูดถึงมหาเศรษฐีชาวอเมริกัน ชื่อที่หลายคนนึกถึงก็น่าจะเป็น “บิลล์ เกตส์ (Bill Gates)” “มาร์ค ซักเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)” หรือไม่ก็ “เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos)”
แต่รายชื่อทั้งหมดนั้นยังไม่สามารถเทียบกับชายผู้นี้
นั่นคือ “จอห์น ดี ร็อกกี้เฟลเลอร์ (John D. Rockefeller)”
ร็อกกี้เฟลเลอร์เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil ในปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันที่ทรงอำนาจในยุคนั้น
1
ร็อกกี้เฟลเลอร์เกิดเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ.1839 (พ.ศ.2382) ที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา โดยเป็นลูกคนที่สองของ “บิลล์ ร็อกกี้เฟลเลอร์ (Bill Rockefeller)” และ “อีไลซา เดวิดสัน (Eliza Davidson)”
บิลล์ผู้เป็นพ่อนั้นเป็นพนักงานขายและศิลปินจอมปลอม มักจะหลอกขายยาที่อ้างว่าแก้ได้ทุกโรคให้แก่ผู้คน และเขาก็เป็นพ่อที่ไม่ดีนัก ไม่ค่อยทุ่มเทให้ครอบครัว ตอนที่แต่งงานกับแม่ของร็อกกี้เฟลเลอร์ ก็มีข่าวลือว่าเขาแอบไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นซ้อน
1
บิลล์ ร็อกกี้เฟลเลอร์ (Bill Rockefeller)
อีไลซา เดวิดสัน (Eliza Davidson)
ตั้งแต่เด็ก ร็อกกี้เฟลเลอร์ก็ได้เรียนบทเรียนสำคัญจากพ่อแม่
พ่อของเขานั้นเป็นคนขี้โกง แม้แต่ตัวร็อกกี้เฟลเลอร์ซึ่งเป็นลูกชาย เขาก็ยังหาทางโกงได้เสมอ ทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์ทันคน หูไวตาไว ในขณะที่ผู้เป็นแม่ซึ่งเคร่งศาสนา จะสอนไม่ให้เขาประมาทและสุรุ่ยสุร่าย ไม่ให้อยากได้อยากมีมากจนเกินไป
ขณะมีอายุได้ 16 ปี ร็อกกี้เฟลเลอร์ก็ได้งานแรก เป็นผู้ช่วยพนักงานบัญชี ทำให้เขารู้ว่าตนเองนั้นชำนาญในการคำนวนต้นทุนค่าขนส่ง
ในเวลานั้น เขาทำเงินจากงานได้เพียงปีละ 58 ดอลลาร์ (ประมาณ 1,740 บาท) แต่เขาก็มั่นใจว่าซักวัน เขาจะเก็บเงินได้ถึง 100,000 ดอลลาร์ (หากตีตามค่าเงินปัจจุบัน จะอยู่ที่ประมาณ 2.7 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 81 ล้านบาท)
1
ร็อกกี้เฟลเลอร์ในวัยหนุ่ม
ในปีค.ศ.1859 (พ.ศ.2402) ขณะมีอายุได้ 20 ปี ร็อกกี้เฟลเลอร์ก็เริ่มก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ โดยเขาได้หุ้นกับเพื่อนที่ชื่อ “มัวริซ บี คลาร์ก (Maurice B. Clark)” ทำธุรกิจซื้อขายสินค้าทางการเกษตร
ธุรกิจของพวกเขา นั่นคือ “Clark & Rockefeller” ทำกำไรในปีแรกไป 4,400 ดอลลาร์ (ประมาณ 132,000 บาท) ก่อนที่ในปีต่อมา จะพุ่งไปถึง 17,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 510,000 บาท) แต่หากคิดตามค่าเงินปัจจุบัน จะอยู่ที่ประมาณ 540,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 16.2 ล้านบาท)
สาเหตุที่ธุรกิจของทั้งคู่ทำกำไรพุ่งสูงขนาดนี้ ก็เนื่องจากในเวลานั้น เป็นช่วงเริ่มต้นของ “สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)” ทำให้ความต้องการในเสบียงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาร เนื้อ ขนมปัง มีมากกว่าปกติ
แต่ต่อมา เมื่อสงครามกลางเมืองใกล้จะจบลง ผลกำไรในธุรกิจนี้ก็เริ่มลดลงตามไปด้วย ทั้งคู่จึงหันไปหาธุรกิจอื่น นั่นคือ “การกลั่นน้ำมันดิบ”
สงครามกลางเมืองอเมริกา (American Civil War)
ร็อกกี้เฟลเลอร์มองเห็นโอกาสในธุรกิจน้ำมันก๊าซ
1
ในเวลานั้น ถ่านหิน คือสิ่งที่ใช้ในการสกัดน้ำมันก๊าซ หากแต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพนัก แต่ราคาน้ำมันก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยขึ้นไปตั้งแต่ 62% ถึง 160% เลยทีเดียว ทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์สนใจเป็นอย่างมาก
ด้วยความเย้ายวนของธุรกิจนี้ ทำให้เขาตั้งบริษัทของตนเองในปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) นั่นคือ “Standard Oil”
โรงกลั่นของบริษัทในปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413)
มีหลายคนที่หวังรวยจากธุรกิจน้ำมัน หากแต่ส่วนมากก็ต้องผิดหวัง
ที่เป็นอย่างนั้น เนื่องจากโรงกลั่นจะเก็บ 60% ของน้ำมันที่ใช้เป็นน้ำมันก๊าซ ส่วนที่เหลืออีก 40% นั้นใช้ไม่ได้ ต้องทิ้งลงแม่น้ำ หากแต่ร็อกกี้เฟลเลอร์ก็เลี่ยงการทิ้งน้ำมัน 40% ด้วยการขายในรูปแบบของน้ำมันหล่อลื่น ปิโตรเลียมเจลลี น้ำมันดิน และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
บริษัทของร็อกกี้เฟลเลอร์นั้นเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเขาใช้กลยุทธ์หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการบีบให้โรงกลั่นเล็กๆ เข้าร่วมกับเขา หากโรงกลั่นใดไม่ยอม เขาก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้โรงกลั่นนั้นอยู่ไม่ได้และต้องเข้าร่วมกับเขาในที่สุด อีกทั้งเขายังหาทางต่อรองลดต้นทุนค่าขนส่งในปริมาณมหาศาล ทำให้ราคาน้ำมันลดลง และการทุ่มเงินลงทุนเป็นจำนวนมาก
ในปีค.ศ.1872 (พ.ศ.2415) คู่แข่งของร็อกกี้เฟลเลอร์ในโอไฮโอจำนวน 26 แห่ง ตกเป็นของร็อกกี้เฟลเลอร์ไปแล้ว 22 แห่ง ซึ่ง Standard Oil ไม่เพียงแต่เข้ายึดคู่แข่ง แต่ยังทำทุกอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นท่อ รถที่ใช้ขนส่ง และยังมีระบบเดลิเวอรีส่งตรงถึงบ้าน
โรงกลั่นของบริษัทก่อนศตวรรษที่ 20
ด้วยความที่ Standard Oil สามารถผลิตน้ำมันได้จำนวนมาก ทำให้สามารถตั้งราคาให้ถูกได้ ซึ่งบริษัทคู่แข่งทำไม่ได้ และทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าของบริษัท
ในยุคค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) ไม่ถึงสิบปีหลังจากตั้งบริษัท
Standard Oil ก็ครอบครองส่วนแบ่งการกลั่นน้ำมันของสหรัฐอเมริกาไปถึง 90% และทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์กลายเป็นมหาเศรษฐี
ร็อกกี้เฟลเลอร์ในปีค.ศ.1872 (พ.ศ.2415)
ด้วยความที่ร็อกกี้เฟลเลอร์ครอบครองส่วนแบ่งในตลาดน้ำมันถึง 90% ทำให้หนังสือพิมพ์และนักการเมือง เริ่มโจมตีร็อกกี้เฟลเลอร์ โจมตีประเด็นเรื่องการผูกขาดตลาดอย่างไม่ยุติธรรม ซึ่งต่อมา ได้มีการปรับปรุงกฎหมายเรื่องการแข่งขันทางการตลาด
ตัวของร็อกกี้เฟลเลอร์นั้น เขาได้เกษียณตัวเองในปีค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) ขณะมีอายุได้ 63 ปี
นอกจากความสามารถที่โดดเด่นในเชิงธุรกิจ ร็อกกี้เฟลเลอร์ยังเป็นผู้ที่บริจาคเงินเพื่อการกุศลมากที่สุดคนหนึ่ง โดยตลอดชีวิต เขาได้บริจาคเงินไปไม่ต่ำกว่า 500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 15,000 ล้านบาท) ให้แก่ด้านต่างๆ ซึ่งหลักๆ จะเป็นด้านการศึกษา
ร็อกกี้เฟลเลอร์เสียชีวิตในปีค.ศ.1937 (พ.ศ.2480) ขณะมีอายุได้ 98 ปี
ร็อกกี้เฟลเลอร์ในวัยชรา
สำหรับทายาทของร็อกกี้เฟลเลอร์นั้น ที่ดูจะมีอายุยืนยาวที่สุดก็คือลูกชายคนเล็กของเขา นั่นคือ “เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ (David Rockefeller)”
เดวิดนั้นเป็นนายธนาคาร และเป็นผู้นำตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ตั้งแต่ปีค.ศ.2004 (พ.ศ.2547) ถึงค.ศ.2017 (พ.ศ.2560)
เดวิดเสียชีวิตในปีค.ศ.2017 (พ.ศ.2560) ขณะมีอายุได้ 102 ปี และมีทรัพย์สินอยู่ที่ 3,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 100,000 ล้านบาท)
เดวิด ร็อกกี้เฟลเลอร์ (David Rockefeller)
สำหรับเรื่องที่หลายคนอยากรู้ ก็คือมูลค่าทรัพย์สินของร็อกกี้เฟลเลอร์
ขณะที่เกษียณตัวเองในปีค.ศ.1902 (พ.ศ.2445) ในปีนั้น เขาทำเงินไปได้ 58 ล้านดอลลาร์ ซึ่งคิดตามค่าเงินปัจจุบัน จะอยู่ที่มากกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 51,000 ล้านบาท)
และจากการประเมินในปีค.ศ.1913 (พ.ศ.2456) พบว่าร็อกกี้เฟลเลอร์มีทรัพย์สิน ซึ่งหากคิดตามค่าเงินปัจจุบัน จะอยู่ที่ 418,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 12.54 ล้านล้านบาท)
ทรัพย์สินจำนวนนี้ของร็อกกี้เฟลเลอร์ เกือบเท่ากับ 3% ของจีดีพีสหรัฐอเมริกาในปีนั้น และจะทำให้เขานั้นรวยกว่า “บิลล์ เกตส์ (Bill Gates)” ซึ่งมีทรัพย์สินอยู่ที่ 126,700 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3.801 ล้านล้านดอลลาร์) กว่าสามเท่า และรวยกว่า “เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos)” ซึ่งมีทรัพย์สินอยู่ที่ 183,800 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.514 ล้านล้านบาท) กว่าสองเท่า และรวยกว่า “ธนินท์ เจียรวนนท์” เจ้าสัวซีพีและเป็นผู้ที่ร่ำรวยอันดับหนึ่งของไทย ซึ่งมีทรัพย์สินอยู่ที่ 18,300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 549,000 ล้านบาท) เกินกว่า 20 เท่า
4
ทำให้ร็อกกี้เฟลเลอร์เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา และอาจจะเป็นผู้ที่รวยที่สุดในประวัติศาสตร์โลก ซึ่งยังไม่เคยมีใครทำลายสถิติได้
1
สำหรับทรัพย์สินของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ในปัจจุบัน อยู่ที่ 11,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 330,000 ล้านบาท) ทำให้ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ ยังคงเป็นหนึ่งในครอบครัวที่ร่ำรวยติดอันดับโลก
โฆษณา