ภายในห้องรอคลอดของโรงพยาบาลอำเภอในช่วงเวลาหลังเที่ยงคืน หญิงท้องแก่ 5 คน นอนเรียงรายอยู่บนเตียง หญิงอายุมากที่สุดประมาณ 40 ปี เด็กสุดไม่น่าเกิน 17 ปี แต่ละคนมีอีกหนึ่งชีวิตอยู่ในท้อง รอเพียงเวลาออกมาดูโลกเท่านั้น บรรยากาศเงียบราวกับอยู่อีกโลกหนึ่ง และยิ่งดึกยิ่งเงียบ
ญาติของหญิงท้องแก่ส่วนใหญ่เป็นสามีและแม่ๆของเธอต่างรออยู่บริเวณด้านนอก ในจำนวนหญิงทั้งห้าคน มีเพียงหญิงอายุ 17 ปีเพียงคนเดียว ที่ไม่มีสามีและผู้ที่รออยู่ด้านนอกก็เป็นเพียงหญิงชราสูงวัยคนหนึ่งเท่านั้น
เธอชื่อ มะปรางค์ เส้นทางการกำเนิดของอีกหนึ่งชีวิตของหญิงท้องแก่ทั้งห้า เปรียบเหมือนกับนิยายเรื่องหนึ่งแตกต่างกันไป บางคนเป็นเพียงนิยายธรรมดา มีเริ่มต้นมีท่ามกลางและบทสรุป บางคนเหมือนนิยายโลดโผน ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆนานากว่าจะมีอีกหนึ่งชีวิต
สำหรับมะปรางค์ เด็กสาวผู้ควรจะยังอยู่ในเครื่องแบบของนักเรียนมัธยมปลาย กลับต้องกลายเป็นว่าที่คุณแม่วัยรุ่น เส้นทางการกำเนิดของอีกหนึ่งชีวิตค่อนข้างประหลาดและสับสน เรื่องมันเริ่มต้นหลังเที่ยงคืนเมื่อ 9 เดือนที่แล้ว...
เย็นย่ำใกล้สนธยา เมื่อเก้าเดือนก่อน ท้องฟ้าหม่นด้วยก้อนเมฆที่ก่อตัวหนาแน่น สายลมรำเพยแล้วกลายเป็นกระโชกในเวลาต่อมา เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายกระชับกระเป๋าผ้าข้างตัวแล้วเร่งฝีเท้าเพื่อให้ถึงบ้านที่อยู่ห่างออกไปอีกเกือบกิโลเมตร นี่คือเส้นทางลัดใกล้ที่สุดแล้ว บ้านของเธอไม่มีถนนใหญ่ตัดผ่าน ไม่มีทางใดสะดวกมากไปกว่าการเดินเท้า
มะปรางค์เป็นเด็กเรียนดี ฐานะทางบ้านยากจน แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคขัดขวางความเจริญ เธอพร้อมจะเดินทางไปโรงเรียน โดยได้รับการสนับสนุนเป็นทุนการศึกษาจากโรงเรียนประจำอำเภอ
เด็กสาวอาศัยอยู่กับยาย อาชีพรับจ้างทั่วไป ยายของเธอเล่าว่า แม่ของเธอซึ่งก็คือลูกสาวเพียงคนเดียวของยาย พอคลอดมะปรางค์ก็หายหน้าหายตาไปเลย ไม่เคยแม้แต่จะส่งข่าวคราวว่ายังอยู่ดีมีสุขหรือไม่ มะปรางค์รอดชีวิตมาได้ด้วยน้ำข้าว เพราะบางครั้งเงินมีไม่พอสำหรับการซื้อนม
ความรันทด ไม่ได้ทำให้เด็กสาวอย่างมะปรางค์ท้อแท้ ตรงกันข้าม เธอกลับเติบโตมาอย่างเข้มแข็ง ร่าเริง ผู้หลักผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างให้ความเอ็นดู และให้การสนับสนุนเด็กสาวด้วยการจ้างให้เธอทำงานในวันหยุด
สายลมกระพือแรงขึ้น หูแว่วได้เสียงฟ้าร้องครืนๆ มะปรางค์ตัดสินใจวิ่ง แต่ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ยังช้ากว่าสายฝนที่พรั่งพรูลงมา หญิงสาวลดฝีเท้าลงเป็นเดินแค่ก้าวยาวๆ เพราะแทบมองไม่เห็นอะไร เสื้อผ้าในชุดนักเรียนเปียกปอนรึงรัดให้เห็นรูปร่างอรชร
ถ้า...ที่มุมโค้งบริเวณคันนานั้น ไม่มีเจ้าของร่างสูงใหญ่ หน้าตาถมึงทึงยืนขวางทาง มะปรางค์คงถึงบ้านตามกำหนดเวลา!
ยายของมะปรางค์เป็นห่วงหลานสาวได้แต่ยกมือท่วมหัว สวดมนต์อ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอให้ปกป้องคุ้มครอง เมื่อฝนขาดเม็ด ร่างของมะปรางค์ก็มาถึงบ้านในสภาพเนื้อตัวเปียกปอน ยายรีบหาเสื้อผ้าให้หลานสาวเปลี่ยน มะปรางค์ขอตัวเข้านอนก่อน ยายเข้าใจว่าเธออาจจะไม่สบายเพราะเดินตากฝนมา จึงไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตว่าแววตาของเธอเปลี่ยนไปเหมือนไม่ใช่มะปรางค์คนเดิม!
ตั้งแต่วันนั้น มะปรางค์ผู้รื่นเริงก็เซื่องซึม เหงาหงอย จนยายผู้ผ่านโลกมาก่อนสังเกตเห็น พยายามคาดคั้นเอาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ยิ่งคาดคั้น ยายกลับยิ่งได้เห็นความเคร่งเครียดบนสีหน้าของหลานสาว
“บอกยายมาเถอะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับหลานยาย”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะยาย”
มะปรางค์ยังคงปฏิเสธไม่ให้ความกระจ่างใดๆ รอยยิ้มของเด็กสาวเหมือนกับฝืน เป็นการพยายามเพื่อปลอบโยนหัวใจที่กำลังอ่อนแอท้อแท้ของตัวเอง
เธอจะบอกยายได้อย่างไรว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธอในเย็นวันฝนซัดกระหน่ำ ความน่าสะพรึงกลัวยังตามมาหลอกหลอนเธอทั้งในยามหลับและยามตื่น
เหตุการณ์คราวนั้น... สร้างตราบาปขึ้นภายในดวงใจที่เคยบริสุทธิ์ หลับตาลงคราวใดจะเห็น เจ้าของร่างสูงใหญ่เคลื่อนไหวเหนือเรือนร่างของเธอ กลิ่นกาย ลมหายใจของมันคนนั้นเป็นกลิ่นเหม็นสาบสางราวกับไม่ใช่มนุษย์
เธอจะบอกยายได้อย่างไรว่าถูกอะไรบางอย่างขืนใจ ในละแวกบ้าน ไม่มีใครมีรูปร่างแบบนั้น ไม่มีเลยจริงๆ
เกือบสองเดือนผ่านไป ยายจึงเริ่มสังเกตเห็นอาการผิดปกติของมะปรางค์ ล่วงสู่เดือนที่สามและสี่ จึงเริ่มเด่นชัด คราวนี้เมื่อยายคาดคั้นเอาความจริงอีกครั้ง มะปรางค์จึงเล่าให้ฟัง
ยายเข้าใจความทุกข์ของหลานสาว นอกจากไม่ตำหนิแล้ว ยังพร้อมจะปกป้องเธอและพร้อมจะดูแลอีกหนึ่งชีวิตที่กำลังอุบัติขึ้นในท้องของเธอ
เรื่องคดีความแทบไม่อยู่ในความคิดของยาย และของเธอ...
เวลาภายในห้องรอคลอดยังคงขยับต่อไปตามปกติ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสงบเงียบจนดูวังเวง ผู้หญิงท้องแก่อายุมากที่สุดแสดงอาการปวดท้อง พยาบาลเวรเดินมาดูอาการแต่ยังไม่ย้ายไปยังห้องคลอด ผู้หญิงท้องแก่อายุน้อยที่สุดอย่างมะปรางค์ยังนอนนิ่งงัน ดวงตากลอกมองฝ้าเพดาน เหมือนคนไร้ความรู้สึก
ภาพที่ฉายขึ้นในหัวของเด็กสาวแทบไม่ได้แตกต่างจากทุกครั้ง นั่นคือเหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าเดือนที่แล้ว
‘บอกยายสิ ยายไม่ว่าอะไรหรอก เพราะมันไม่ใช่ความผิดของหลาน’ ถ้อยคำของยายยังดังก้องอยู่ในความทรงจำ ‘ตกลงไอ้วายร้ายคนนั้นมันเป็นใครกันแน่’
‘หนูไม่รู้’ มะปรางค์ตอบคำถามของยายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
‘ยายสัญญาว่าจะไม่ตำหนิหลานแม้แต่นิดเดียว ยายแค่อยากรู้ว่าไอ้คนที่กำลังจะกลายเป็นพ่อของเด็กน่ะคือใคร’
‘หนูไม่รู้จริงๆจ้ะยาย มันไม่ใช่...’
‘มันไม่ใช่คนแถวบ้านเราใช่มั้ย?’
‘มันไม่ใช่จ้ะ ไม่ใช่...’
ยายแค่อยากรู้คำตอบ แต่มะปรางค์กลับไม่สามารถอธิบายได้ว่า มันผู้นั้นคือใคร เพราะรูปลักษณ์ภายนอกของมันอาจจะดูเป็นคน ทว่า...มันไม่ใช่คน!
เสียงร้องของหญิงท้องแก่ที่อยู่ข้างเตียงของมะปรางค์ดังขึ้น ทำลายความเงียบสงัด พลอยทำให้หญิงท้องแก่คนอื่นๆพลอยรู้สึกตื่นเต้นไปด้วย เมื่อหญิงคนนั้นถูกพยาบาลสองคนช่วยกันลากเตียงหายเข้าไปในห้องคลอด
ประตูกระจกสีขุ่นมีแสงสว่างเล็ดลอดออกมา แต่ไม่อาจมองเห็นได้ว่ายามนั้น หญิงผู้กำลังจะให้กำเนิดบุตรอยู่ในสภาพอย่างไร ยามนี้ มะปรางค์รู้สึกโดดเดี่ยว อยากมียายอยู่ใกล้ๆ หญิงท้องแก่คนอื่นๆอาจรู้สึกไม่ต่างจากเธอ
“แว้! อุแว้!”
เสียงร้องที่แว่วออกมาจากห้องคลอดนั้นค่อนข้างเบา แต่ในยามที่บรรยากาศภายในห้องรอคลอดเงียบสนิทแบบนี้กลับได้ยินเสียงร้องของเด็กน้อยอย่างชัดเจน เสียงเด็กน้อย ชีวิตใหม่ที่เพิ่งออกมาจากครรภ์มารดา อาจสร้างความปลาบปลื้มปีติให้กับผู้เป็นแม่ และผู้กำลังจะกลายเป็นแม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า แต่คงไม่ใช่สำหรับมะปรางค์
เด็กสาวเริ่มหวาดหวั่น ยิ่งรับรู้ว่าสิ่งมีชีวิตในท้องเริ่มขยับตัว เธอก็ยิ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น เหงื่อกาฬผุดพราว
เวลาผ่านไป... หญิงผู้คลอดลูกแล้วถูกเข็นออกมาจากห้องคลอด และหญิงท้องแก่รายต่อไปก็ถูกเข็นหายเข้าไปแทนที่ หลังจากนั้นไม่นานนัก เสียงร้องของทารกเล็ดลอดออกมาจากห้องคลอดอย่างแผ่วเบา แต่กลับสร้างความพรั่นพรึงให้กับหญิงท้องแก่อายุน้อยที่สุดอย่างมะปรางค์อย่างเหลือล้น
หญิงท้องแก่อยู่ข้างมะปรางค์ถูกย้ายเข้าไปในห้องคลอด ในช่วงเวลาประมาณตีสามกว่าๆ ภายในห้องรอคลอดเหลือมะปรางค์อยู่ตามลำพัง
น่าแปลก! เวลานี้ เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดอีกเลย พยาบาลเดินมาดูที่เตียง สอบถามอาการ มะปรางค์ตอบไปตามจริงว่ารู้สึกเฉยๆ ไม่ปวด ไม่อะไรทั้งสิ้น และบอกว่าอยากกลับบ้าน
เวลาขยับต่อไปอย่างเชื่องช้า ตีสี่สามสิบนาที มะปรางค์ยังไม่ปวดท้อง แต่ก็ถูกเข็นเข้าไปภายในห้องคลอด ที่เตียงคลอด มีขาหยั่งสำหรับฉีกขาวางพาด เด็กสาวได้กลิ่นคาวเลือด และกลิ่นพิเศษของเคมีทำความสะอาด
ยายได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้เข้ามาอยู่เป็นเพื่อนมะปรางค์ หญิงชราเห็นแววตาของหลานสาวแล้วอดสะท้านใจไม่ได้
“ไม่ต้องกลัวนะหลานยาย”
มะปรางค์อยากจะบอกยายเหลือเกินว่า สิ่งที่เธอกลัว ไม่ใช่การคลอดลูก ยายชวนมะปรางค์คุย วาดฝันถึงชื่อของเด็กน้อยที่กำลังจะเกิดมา เธอหลับตาลงคิดในใจว่า หากทุกอย่างดำเนินไปตามปกติอย่างที่ยายบอกก็คงดี เธอมีชื่อสวยๆเตรียมเอาไว้ในใจอยู่แล้ว
พยาบาลกลับเข้ามาบอกให้ยายออกจากห้อง มะปรางค์สบตากับยาย รู้สึกราวกับว่าการพบกันระหว่างเธอกับยายเป็นการพบกันเพื่อจาก หรือพบกันครั้งสุดท้าย
“ไม่ต้องกลัวนะหลาน ทำใจให้สบายๆ”
เสียงปลอบโยนของยายค่อยๆดังห่างออกไป ก่อนประตูห้องคลอดจะถูกปิดลง
ตีห้า... มะปรางค์นอนอยู่ภายในห้องคลอดเพียงลำพัง พยาบาลคนสุดท้ายเพิ่งเปิดประตูก้าวออกจากห้อง แต่แล้วจู่ๆนั้นเอง มะปรางค์สะดุ้งเฮือก ม่านตาขยายกว้าง เหลือกลาน ด้วยว่าเจ็บปวดสุดชีวิต เด็กสาวรู้สึกเหมือนท้องของเธอกำลังจะปริแยกออกมาจากการกระทำของสิ่งมีชีวิตภายในท้องของเธอ
“ช่วยด้วย! ช่วย... กรี๊ดดดดดด!”
เสียงหวีดร้องของมะปรางค์เรียกพยาบาลให้กลับเข้ามาภายในห้อง ภาพที่เห็น ทำเอาพยาบาลคนดังกล่าวถึงกับช็อก ตาค้าง
แคว้กก!
ท้องของเด็กสาวมะปรางค์ปริแยกออกพร้อมกับมีมือเล็กๆโผล่ออกมา เลือดสดๆสาดทะลัก มะปรางค์แน่นิ่งอยู่ในอาการตาเบิ่งกว้างด้วยความเจ็บปวดสุดชีวิต ทารกปีศาจแสยะยิ้มเห็นฟันเล็กๆเรียงรายเต็มปาก ใบหน้านั้นเหี่ยวย่นราวกับไม่ใช่ทารกแรกเกิด
คุณพระช่วย ทารกปีศาจกระชากรกที่ติดอยู่กับสะดือออกแล้วกระโดดลงจากเตียง
“กรี๊ดดดดด!”
พยาบาลกรีดร้องแล้วทรุดฮวบตรงนั้น พยาบาลอีกคนวิ่งเข้ามา พอเห็นภาพของมะปรางค์บนเตียงคลอดก็แทบช็อก แต่สติยังดีอยู่ รีบลากเพื่อนออกมาก่อน
ทารกปีศาจหายตัวไปแล้ว!
รปภ.และบุคลากรอื่นๆของโรงพยาบาลถูกปลุกให้ช่วยกันออกตามหาตัวทารกปีศาจอย่างโกลาหล แต่ยังไร้วี่แวว
จวนฟ้าสางวันใหม่ ร่างไร้วิญญาณของมะปรางค์คลุมด้วยผ้าขาวถูกย้ายออกมาจากห้องคลอด และถูกเข็นต่อไปยังห้องที่อยู่ท้ายสุดของอาคาร โดยมียายเดินร้องไห้กระซิกตามหลัง
ยายเข้าใจแล้วละว่า เหตุใดมะปรางค์จึงไม่สามารถบอกนางได้ว่า ไอ้วายร้ายที่ข่มเหงเธอนั้นคือใคร เพราะมันไม่ใช่คนนั่นเอง!