22 มี.ค. 2021 เวลา 04:36 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
[รีวิว] Zack Snyder’s Justice League กับแนวทางที่ตั้งใจจะให้เป็นตั้งแต่แรก
ภาพยนตร์กึ่งมินิซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโร่ของทางค่าย Warner Bros. ที่ทางผู้กำกับเดิมอย่าง แซค ซไนเดอร์ ได้กลับมาสานต่องานเดิมที่เค้าได้ทำค้างเอาไว้ หลังจากที่เขาได้ถอนตัวไปจากโปรเจคเนื่องจากเหตุผลส่วนตัว แล้วปล่อยให้ Joss Whedon มาสานงานต่อและออกฉายไปเมื่อปี 2017
เรื่องราวดำเนินเรื่องต่อจาก Batman V Superman: Dawn of Justice ในช่วงจังหวะการปะทะกันครั้งสุดท้ายของ Superman กับ Doomsday นั้น ก่อนที่ Superman จะสิ้นใจ เขาได้ตะโกนร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส และเสียงแผดร้องของเขานี่เอง ที่ส่งคลื่นพลังกระจายออกไปทั่วโลก ส่งผลให้ Mother Boxes 2 ใน 3 กล่องที่หลับใหลอยู่ยังเกาะมีร่าซึ่งดูแลโดนชนเผ่า Amazon และ ที่ใต้ท้องสมุทรซึ่งดูแลโดยชาว Atlantean ได้ตื่นขึ้น
จึงทำให้ Steppenwolf หนึ่งในมือขวาของ Darkseid ได้รับรู้ถึงที่อยู่ของ Mother Boxes ที่ Darkseid ได้ตามหามานาน ดังนั้น สเตฟเพนวูลฟ์ พร้อมเหล่ากองทัพลูกสมุน Parademon จำนวนมาก จึงได้บุกมายังโลกเพื่อมารวบรวม Mother Boxes ทั้ง 3 กล่อง
เพื่อปกป้องภัยตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาในครั้งนี้ Batman จึงต้องทำการรวบรวมสมาชิกเหล่า Metahuman มาร่วมทีมเพื่อรับมือกับเหล่าศัตรูตัวร้ายเหล่านี้
ความรู้สึกหลังจากดูจบ
สมกับความยาว 4 ชั่วโมง 2 นาทีเลยฮะ รายละเอียดต่างๆ เยอะมาก ทั้งในส่วนของตัวเนื้อเรื่องเองและปูมหลังของตัวละครแต่ละตัว จนรู้สึกว่าฉบับที่ฉายโรงในปี 2017 นั้นด้วยเงื่อนไขทางด้านของเวลาในการฉายต่อให้ แซ็ค ได้ทำเองจนจบโปรเจคตั้งแต่แรก ก็ไม่น่าจะทำออกมาได้ดีไปกว่าที่ จอซ วีดอน ทำมากนัก (อาจจะทำได้ดีกว่าในแง่ที่เป็นคนต้นคิดตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาสานต่องานคนอื่นแบบที่ จอซ ทำ)
รายละเอียดที่เพิ่มขึ้นมาก็จะเป็นพวกปูมหลังของตัวละครแต่ละตัว ที่จะพาเราให้ไปรู้จักกับพวกเขามากขึ้น ทั้งเรื่องราวความประทับใจแรกพบของ Barry Allen/The Flash กับ Iris West หรือจะเป็นเรื่องราวความสัมพันธ์พ่อ-ลูกของ Victor Stone/Cyborg กับ Dr. Silas Stone
แถมเราจะยังได้เห็นบทบาทที่มากขึ้นของพ่อบ้านตระกูลเวย์น อย่าง Alfred Pennyworth และ ผบ.ตร. James Gordon
แถมเรายังได้เห็นปมประเด็นในใจและเหตุผลของการกระทำของ สเตพเพนวูลฟ์ เพิ่มมากขึ้นดูมีมิติมากขึ้นอีกต่างหาก นอกเหนือจากภาพลักษณ์ตัวร้ายที่แบนราบอย่างที่เราเคยเห็นมาก่อนหน้านี้ในฉบับของ จอซ วีดอน
ส่วนพ่อพระเอกของเรา Kal-El/Clark Kent/Superman นั้นก็ไม่ได้มีอะไรเพิ่มเติมมากนัก นอกจากชุดสูทสีดำที่โคตรสวยเลยฮะ กับฉากแอ็คชั่นโชว์เทพที่เพิ่มขึ้นอีกหน่อย
แต่ที่ชอบที่สุดเลยก็เห็นจะเป็นเรื่องราวของ Arthur Curry/Aquaman ที่สามารถเชื่อมต่อกับหนังเดี่ยวของเขาที่ออกฉายไปเมื่อปี 2018 ได้อย่างลงตัวทีเดียว
สำหรับฉากแอ็คชั่นนั้น พูดได้เต็มปากว่า Perfect มากฮะ เต็มอิ่มและทรงพลังมาก งาน CG ก็ดูดีและดีไซน์ได้อย่างสวยงามเลย
สรุป >> ให้ 9 เต็ม 10 เลยฮะ สมกับการกลับมาสานต่องานของตัวเองให้จบอย่างสมบูรณ์เท่าที่เวลาและงบประมาณจะเอื้ออำนวย และคุ้มค่าแก่การรอคอยของแฟนๆ จริงๆ ฮะ แต่ขอหัก 1 คะแนนให้กับบางซีนที่ยืดเยื้อไปหน่อยโดยที่ไม่จำเป็นเลย แถมยังยัดฉากสโลว์โมชั่นเข้ามาเยอะเกินไปอีก
ตามไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมและรีวิวแบบเต็มๆ ได้ที่เว็บไซท์นะฮะ
โฆษณา