“คุณจะโกรธผมไหม ถ้าผมจะขอพูดความจริงบางอย่างกับคุณ” เป็นคำพูดของชายแปลกหน้า บุคลิกประหลาด การแต่งเนื้อแต่งตัวแม้จะสะอาดสะอ้าน แต่ก็ดูแปลก ไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
“ได้สิคะ”
มัลลิกาเงยหน้าขึ้นจากโต๊ะอาหารริมทาง ขณะที่ชายวัยกลางคนในชุดประหลาดคล้ายๆกับพวกแขกขายถั่วเลื่อนเก้าอี้พลาสติกแล้วทรุดร่างนั่งลงตรงข้ามกับเธอ มัลลิกาแค่อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะมาไม้ไหน คนสมัยนี้หากินแปลกประหลาด ซึ่งเธอค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองจะไม่มีวันหลงกลใครได้ง่ายๆ
มัลลิกานึกถึงกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินเหลือติดกระเป๋าแค่ร้อยเดียว เพราะเพิ่งจ่ายค่าห้องรวมน้ำไฟ และส่งเงินจำนวนหนึ่งให้กับทางบ้านเรียบร้อยแล้ว ต่อให้ผู้ชายคนนี้เป็นมิจฉาชีพ เขาอาจจะหัวเสียที่เหยื่ออย่างเธอมีเงินให้แค่ร้อยเดียว
“คุณจะโชคร้ายนะครับ” ชายแปลกหน้าพูดขึ้น มัลลิการู้สึกหนาวเยือกเมื่อประสานสายตากับเขากลางอากาศ แววตาของเขาไม่ได้มีท่าทีว่าจะพูดเล่นแม้แต่น้อย หญิงสาวตั้งสติได้จึงยิ้มให้กับชายแปลกหน้าพร้อมตอบว่า
“ชีวิตฉันไม่เคยพบคำว่าโชคดีแม้แต่น้อยค่ะ”
“ถูกต้อง” ชายแปลกหน้าพูดต่อ ราวกับล่วงรู้ทุกอย่างในชีวิตของมัลลิกาเป็นอย่างดี “นั่นมันเหตุการณ์เมื่อก่อน คุณไม่เคยโชคดีเรื่องอะไร ความรักของคุณก็ไม่ได้สมหวัง คุณมีลูกเล็กอายุเกือบ 7 ปีคนหนึ่งที่สามีทิ้งเอาไว้ได้ดูต่างหน้า”
มัลลิกามองหน้าคู่สนทนานิรนามอย่างประหลาดใจ เพราะที่เขาพูดมาแต่ละอย่างนั้นไม่ผิดจากความจริงเลย เธอมีครอบครัวแล้ว สามีเป็นคนขับรถพ่วงสิบแปดล้อ ไปเหนือล่องใต้แทบไม่ได้อยู่ด้วยกัน ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาจึงต้องยุติลง ลูกสาวที่เกิดจากเขา เธอขอเป็นคนเลี้ยงดูเอง แม้เงินเดือนในฐานะพนักงานของโรงงาน ไม่ได้มากมายอะไร แต่เธอเชื่อว่าจะสามารถเลี้ยงลูกให้เติบใหญ่ได้โดยไม่ต้องมีพ่อ
มัลลิกาไม่เคยเรียกร้องความรับผิดชอบจากอดีตสามี แล้วแต่เขาจะให้ และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังไม่เคยปรากฏว่าอดีตสามีจะส่งเสียเงินทองมาช่วยแบ่งเบาภาระแต่อย่างใด ข่าวล่าสุด เขาได้ภรรยาใหม่ เป็นคนจังหวัดทางภาคเหนือ มัลลิกาไม่โชคดีจากการใช้ชีวิตคู่ แต่ก็นับว่าไม่เลวร้ายเกินไป เพราะตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่เคยตกงาน ไม่เคยเจ็บป่วยถึงขั้นต้องล้มหมอนนอนเสื่อ ซึ่งจะว่าไปแล้ว หากเรียกว่าเป็นความโชคดีของชีวิตก็ย่อมได้เหมือนกัน
“แล้วยังไงต่อล่ะคะที่บอกว่าฉันจะโชคร้าย?” มัลลิกาตัดสินใจถาม
ชายนิรนามประหลาดมองหน้าหญิงสาวอย่างชั่งใจ
“คุณจะยอมรับสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้หรือเปล่าล่ะครับ?” เขากลับย้อนถามเธอ
มัลลิกายกข้อมือมองเวลา เธอแค่แวะมาทานข้าวเที่ยง จวนได้เวลากลับเข้าทำงานแล้ว จึงพยักหน้าตัดบท
“พูดมาเถอะค่ะ ฉันฟังได้”
ชายนิรนามเลื่อนเก้าอี้ออกแล้วขยับลุกขึ้นบ้าง แสดงว่าเขาไม่ได้ต้องการพูดคุยกับเธอมากกว่านี้อีกแล้ว “ผมอยากจะบอกว่า คุณกำลังจะตาย คุณตายตอนอายุ 37 ปีบริบูรณ์”
“คะ?! อะไรนะคะ?”
มัลลิกาหลุดปากเสียงดัง ใบหน้าซีดเผือด ไม่ใช่เพราะรู้สึกโกรธที่ถูกชายแปลกหน้าแช่งให้ตาย แค่รู้สึกตกใจเท่านั้น
“ความจริงผมยังมีข่าวร้ายจะบอกคุณอีกเรื่องหนึ่ง” ชายแปลกหน้ายังพูดต่อ โดยไม่สนใจกับท่าทีตื่นตระหนกของมัลลิกา “ลูกของคุณก็จะพบกับจุดจบตอนอายุ 7 ปีบริบูรณ์เหมือนกันครับ”
“....”
มัลลิกาแทบไม่รู้สึกตัวว่าเดินออกมาจากร้านขายอาหารริมทางมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอเหลียวหาชายแปลกหน้า ไม่เห็นแม้แต่เงา แม้พยายามบอกตัวเองว่าเป็นเพียงคำพูดลอยๆของผู้ชายบุคลิกประหลาด คนเรารู้แค่วันเกิด ไม่มีใครล่วงรู้วันตายได้หรอก ทว่าหญิงสาวยังอดหวาดหวั่นไม่ได้อยู่ดี
“แกเป็นอะไรไป?” เพื่อนร่วมงานถึงกับสงสัยเมื่อเห็นท่าทางของมัลลิกา “ไม่สบายหรือเปล่า ไม่สบายก็หยุดพักก่อนนะ อย่าฝืน”
“ฉันสบายดี” มัลลิกาตอบ “แค่ไม่สบายใจนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอ?” เพื่อนถาม
“มีคนบอกว่าฉันกำลังจะตาย”
“บ้าสิ” เพื่อนโพล่งทันที มัลลิกาพยักหน้าเห็นด้วย ก็แค่คำพูดลอยๆของคนไม่รู้จัก อีกอย่างท่าทางของผู้ชายคนนั้นดูประหลาดเหมือนไม่ใช่คนปกติ เขาอาจเป็นคนบ้าก็เป็นได้
“อย่าคิดมากเลยน่า แกยังแข็งแรง ไม่เคยป่วยเป็นอะไรซักอย่าง แกดูฉันสิ ลาพักเพราะป่วยจนโรงงานจะไล่ออกอยู่แล้ว สามวันดีสี่วันไข้ ยังไม่เห็นตายสักที”
เพื่อนเปรียบเทียบให้ฟัง การพูดคุยแม้จะทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง ทว่าไม่ทั้งหมด เมื่อเลิกงานกลับถึงห้องพัก ก็กลับคิดวิตกกังวลขึ้นมาอีก ภาพของชายแปลกหน้านั้นปรากฏแม้ในความฝัน ซึ่งก็มีสาเหตุมาจากความวิตกกังวลของตัวเอง
มัลลิกาโทร.หาลูกสาวในตอนเช้า ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงแว่วมาตามสาย ทวงสัญญาเรื่องของขวัญวันเกิด มัลลิการับปากอย่างมั่นเหมาะว่าจะรีบส่งของขวัญไปให้ลูก เหลือเวลาอีกแค่อาทิตย์เดียวเท่านั้น
มัลลิกาคิดถึงเงินสะสมในบัญชีธนาคาร มีไม่มาก ใจจริงไม่อยากเบิกออกมาใช้เลย แต่พอคิดถึงคำพูดของชายแปลกหน้า ถ้าหากเธอเกิดเป็นอะไรไปจริงๆ งานวันเกิดจะไปมีความหมายอะไร
มัลลิกาตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า เธอควรจะกลับบ้าน เอาของขวัญวันเกิดไปให้ลูกด้วยมือของตัวเอง พอคิดได้อย่างนี้ หญิงสาวจึงสบายใจขึ้น ก่อนอื่น มัลลิกาบอกหัวหน้าแผนกเอาไว้ก่อนว่าจะขอใช้สิทธิ์ลากลับบ้าน ซึ่งไม่ได้มีปัญหาอะไร เนื่องจากเธอไม่เคยใช้สิทธิ์ดังกล่าวเลยตลอดทั้งปี หลังจากนั้นจึงเบิกเงินซื้อของขวัญ เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋า รอการเดินทาง
คืนก่อนการเดินทางออกต่างจังหวัด มัลลิกาก็ได้เห็นเหตุการณ์บางอย่างในความฝัน...
ผู้หญิงสองคน คนหนึ่งอายุประมาณ 40 ปี อีกคนประมาณ 50 ตอนปลาย ทั้งคู่กำลังหาบเดินคุยกันไปตามถนน ท่ามกลางเปลวแดดระอุ ถนนที่ทั้งคู่กำลังเดินอยู่นั้นสภาพไม่ค่อยดีนัก เห็นเป็นหลุมเป็นบ่อ และเมื่อลมรำเพยแต่ละครั้งก็แลเห็นฝุ่นคลุ้ง
ในความฝัน มัลลิกาไม่ได้ยินว่าทั้งคู่กำลังพูดคุยอะไรกันอยู่ แต่จากท่าทางเหมือนกำลังถกเถียงกันมากกว่าจะพูดคุยปกติธรรมดา บรรยากาศสองข้างทางสามารถบอกยุคสมัยได้เป็นอย่างดี เห็นบ้านเรือนส่วนใหญ่สภาพเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูงเกือบทั้งหมด
ภาพค่อยๆเลือนแล้วกลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่ง ผู้หญิงทั้งสองคนดังกล่าวนอนซมอยู่ในบ้าน คนสูงวัยกว่าอาการค่อนข้างหนัก คราวนี้ท่าทางการพูดคุยของคนทั้งสอง เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใยซึ่งกันและกัน มัลลิกาไม่ได้ยินว่าผู้หญิงทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่รับรู้ถึงอารมณ์ของความทุกข์ความเศร้าจากท่าทางของพวกเธอ
ภาพเหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้คนสูงวัยกว่าหายเป็นปกติ ส่วนคนอายุน้อยกว่านอนซม และได้รับการดูแลเอาใจเป็นอย่างดีจากคนอายุมากกว่า มัลลิกาไม่ได้ยินเสียงพูดคุยในความฝัน แต่ยังคงสามารถสัมผัสถึงความผูกพันของคนทั้งสอง
มัลลิกาสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วนอนไม่หลับ นึกถึงความฝันประหลาด และคิดว่าผู้หญิงสองคนที่มองเห็นในความฝันนั้นน่าจะเป็นแม่ลูกกัน แต่พยายามคิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่า เธอเคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนทั้งสองตั้งแต่เมื่อไหร่
หญิงสาวแวบคิดถึงเหตุการณ์ที่ร้านอาหารริมทาง คำพูดประหลาดของชายนิรนามประหลาดคนนั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ว่าเธอจะต้องตายเมื่ออายุครบ 37 ปีบริบูรณ์ มีคนมองเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าได้หรือ หนำซ้ำยังพูดถึงลูกสาวของเธอด้วยว่าจะต้องตายตอนอายุ 7 ปี ซึ่งไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่ก็นั่นแหละ...มีอยู่เรื่องหนึ่งที่มัลลิกาอดตระหนกไม่ได้ก็คือ เธอกับลูกสาวเกิดวันเดือนเดียวกัน แตกต่างเพียงปีพ.ศ.เท่านั้น
มัลลิการู้ว่า ค่อนคืนแบบนี้แม่คงตื่นขึ้นแล้วตามประสาคนแก่นอนหัวค่ำ เธอตัดสินใจโทร.หาแม่
“เป็นอะไรหรือเปล่านังหนู โทร.มาดึกๆดื่นๆ?” เสียงของแม่ถามกลับมาตามคลื่นมือถือ
“หนูนอนไม่หลับจ้ะ” มัลลิกาตอบ “ลูกหนูล่ะจ้ะแม่?”
“ก็นอนหลับอยู่นะซี่”
“หนูหมายความว่า ลูกสบายดีหรือเปล่าจ๊ะ?”
“โอ้ย จะเป็นไร เห็นบ่นแต่เรื่องของขวัญวันเกิดนั่นแหละ”
“พรุ่งนี้หนูจะกลับบ้านนะจ้ะ แต่แม่ไม่ต้องบอกลูกนะจ้ะ จะให้แปลกใจ”
มัลลิกาคุยกับแม่สักพักก็กดตัดสัญญาณ มองเวลาจากหน้าจอมือถือ ยังเหลืออีกตั้ง 4 ชั่วโมงกว่าจะสว่าง จึงล้มตัวนอนพยายามข่มตาให้หลับลงอีกครั้ง เมื่อเข้าสู่ภวังค์ มัลลิกาฝันเห็นถึงผู้หญิงต่างวัยทั้งสองคนอีกครั้ง คราวนี้ในความฝันเห็นผู้หญิงสูงวัยกว่านอนแน่นิ่ง และผู้หญิงอายุน้อยกว่ากำลังนั่งร้องไห้ ถึงจะไม่ได้ยินเสียง แต่ยังสามารถรับรู้จากภาพที่เห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น น่าแปลกเหลือเกินที่มัลลิการู้สึกเศร้าราวกับดวงจิตผูกพันกับคนทั้งสองเป็นพิเศษ
มัลลิกายังคงฝันเป็นตุเป็นตะต่อไป เพียงแต่เป็นเหตุการณ์อื่นๆไม่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงทั้งสองคนดังกล่าว จนกระทั่งก่อนสว่าง จึงวกกลับไปที่ผู้หญิงทั้งสองคนอีกครั้ง คราวนี้กลับพบว่าผู้หญิงอายุน้อยกว่านอนแน่นิ่งอยู่ข้างร่างของผู้หญิงสูงวัยกว่า สภาพเหมือนกับหาชีวิตไม่แล้ว มัลลิกาสะดุ้งตื่น เหงื่อผุดพรายเต็มหน้า ความรู้สึกขณะนั้นหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างที่สุด หญิงสาวพยายามตั้งสติ คิดในแง่บวกว่าความฝันก็คือความฝัน มันไม่มีทางเกิดขึ้นในชีวิตจริงได้เลย
มัลลิกาทำตามแผนที่วางไว้ในใจตั้งแต่แรก คือเดินทางกลับบ้านพร้อมกับของขวัญวันเกิดเพื่อนำไปมอบให้กับลูกสาวของเธอ ซึ่งของขวัญจริงๆก็คือ การพาตัวเองไปให้ลูกเห็นไม่ใช่ของขวัญไร้ชีวิต แค่คิดถึงเรื่องนี้ มัลลิกาก็รู้สึกชื่นใจอย่างประหลาด จะว่าไปแล้ว คงต้องขอบคุณคำทักทายประหลาดของชายนิรนามมากกว่า หากไม่ได้ยินคำพูดแบบนั้น มัลลิกาอาจไม่ได้กลับบ้านอีกยาวนานเป็นปี
มัลลิกากลับถึงบ้านในช่วงเย็น แดดร่มลมตก
“แม่ แม่มา”
เด็กหญิงที่กำลังจะมีอายุครบ 7 ปีบริบูรณ์วิ่งเข้ามาหามัลลิกาที่เพิ่งลงจากรถมอเตอร์ไซค์รับจ้าง หญิงสาวอุ้มเด็กหญิงขึ้นเอว
“แม่มาทำไมไม่โทร.บอกหนูก่อน” เด็กหญิงช่างพูดช่างจา แต่ตัวค่อนข้างเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกัน
“แม่อยากจะเซอร์ไพรส์หนูน่ะ”
“เซอร์ไพรส์” เด็กหญิงส่งเสียงเลียนแบบพร้อมกับร้องเรียกยาย “ยาย แม่หนูมา ยายจ๋า แม่มา”
ความปีติยินดีไม่ได้มีเฉพาะเด็กหญิงเท่านั้น แต่หมายถึงทุกคนภายในบ้าน รวมทั้งเรือนใกล้เคียง มีคนแวะเวียนมาถามข่าวคราว นี่คือมิตรภาพแบบคนต่างจังหวัดทั่วไป
มัลลิกาเอาของขวัญให้ลูกสาวและบอกว่าเย็นนี้จะพาไปกินเนื้อย่างเกาหลีที่อยู่ในตัวอำเภอ อยู่ห่างจากบ้านประมาณ 5 กิโลเมตร มัลลิกาอาบน้ำแต่งตัวใหม่ และอาบน้ำแต่งตัวให้ลูกสาวด้วยชุดใหม่ที่เตรียมมา
ดูเหมือนมัลลิกาจะลืมเลือนไปแล้วว่า สาเหตุที่เธอตัดสินใจกลับบ้านมาในคราวนี้ เป็นเพราะคำทักแปลกๆจากชายนิรนามว่า เธอจะตายตอนอายุ 37 ปีบริบูรณ์ ซึ่งไม่เฉพาะแต่เธอเท่านั้น คนที่จะตายพร้อมกันก็คือลูกสาวผู้มีอายุครบ 7 ปีบริบูรณ์
และวันนี้คือวันคล้ายวันเกิดของเธอ และเป็นวันคล้ายวันเกิดของลูกสาว
มัลลิกาพาลูกสาว โดยซ้อนท้ายแม่ไปด้วย ส่วนหลานชายอีกคนซ้อนพ่อมุ่งหน้าไปยังตัวอำเภอ
มัลลิกากับครอบครัวได้ร่วมรับประทานเนื้อย่างเกาหลีพร้อมหน้ากัน สำหรับครอบครัวเธอแล้วถือเป็นเรื่องพิเศษ และคืนนั้นก็ผ่านพ้นไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น มัลลิกานอนกอดลูกสาวทั้งคืนโดยไม่ได้ฝันร้ายใดๆ เช้าวันรุ่งขึ้น มัลลิกาแต่งตัวให้ลูกสาวแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งที่โรงเรียนด้วยตัวเอง เด็กหญิงอิดออดเพราะรู้ว่าเย็นนี้อาจจะไม่ได้เจอแม่ แต่ก็ยอมไปในที่สุด
มัลลิกาขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีลูกสาวนั่งอยู่ด้านหน้า จวนจะถึงโรงเรียนอยู่แล้ว ถ้าหากไม่มีปิกอัพคันหนึ่งห้อตะบึงมาด้วยความเร็วแล้วพุ่งเข้าชนรถมอเตอร์ไซค์ของมัลลิกาที่กำลังจะข้ามถนน วินาทีนั้น สัญชาตญาณความเป็นแม่ ทำให้มัลลิกากอดร่างของลูกสาวเอาไว้ โดยไม่ได้สนใจอะไรทั้งสิ้น
วันนี้คือวันครบรอบ 37 ปีบริบูรณ์ของมัลลิกา และวันครบรอบ 7 ปีบริบูรณ์ของลูกสาว!!