24 มี.ค. 2021 เวลา 02:00 • การศึกษา
กลยุทธ์ จับมือกันทางธุรกิจ ให้อะไรกับองค์กร มากกว่าที่คิด
อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่หลายแบรนด์เลือกใช้ในการสร้างการเติบโต
คือการไป “x” หรือไป “จับมือ” กับแบรนด์อื่น
เพื่อเอาจุดเด่นของแต่ละแบรนด์ มาเป็นพลังส่งเสริมซึ่งกันและกัน
2
หากถ้าพูดถึงกลยุทธ์การจับมือกันแบบนี้
แบรนด์แรก ๆ ที่หลายคนจะนึกถึง ก็คงหนีไม่พ้น Louis Vuitton x Supreme
ซึ่งเรียกได้ว่าสร้างปรากฏการณ์ความสำเร็จแบบถล่มทลาย
เพราะหลายครั้งที่ Louis Vuitton x Supreme เปิดตัวคอลเลกชันใหม่ออกมา
สินค้าชิ้นนั้น ก็จะขายหมดภายในไม่กี่นาที
1
ถึงขนาดที่ว่า ในปี 2017 ทางบริษัท LVMH เจ้าของแบรนด์ Louis Vuitton
ได้เขียนไว้ในรายงานประจำปีของบริษัทว่า
คอลเลกชัน Louis Vuitton x Supreme คือสุดยอดขุมพลังของบริษัท
การ x กันครั้งนี้ ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้วงการแฟชั่น
จากที่เดิมที ภาพลักษณ์ของ Louis Vuitton เป็นแบรนด์ Hi-end ที่ดูมีความเป็นผู้ใหญ่ ส่วน Supreme นั้นมีความเป็นวัยรุ่น พอมาจับมือกัน ฝั่ง Louis Vuitton กลายเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงลูกค้าที่ชอบแฟชั่นแนวสตรีตมากขึ้น ส่วนฝั่ง Supreme ก็มีภาพลักษณ์ที่ดูพรีเมียมมากขึ้น และสินค้าบางอย่างในคอลเลกชันนี้ก็กลายเป็นของสะสม ที่มีราคาแพง
การจับมือกันครั้งนี้ ยังกลายมาเป็นสูตรสำเร็จของการจับมือกัน ระหว่างแบรนด์ดังอีกมากมาย
อย่างเช่น Nike x OFF-WHITE หรือ adidas x PRADA
อีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้พลังแห่งการจับมือกันระหว่างธุรกิจ
คือกรณีของแบรนด์ตัวต่อขวัญใจเด็ก ๆ อย่าง “LEGO”
เราอาจจะคุ้นเคยภาพของ LEGO ว่าเป็นแบรนด์สำหรับเด็กเล็ก
แต่รู้หรือไม่ว่า ช่วงหลัง ๆ มา LEGO เริ่มให้ความสำคัญกับการไปจับมือกับต่างแบรนด์มากขึ้น เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้างมากขึ้น
อย่างเช่น การไปจับมือกับแบรนด์รถหรูอย่าง Lamborghini
โดย LEGO ได้หยิบเอาจุดเด่นเรื่องความละเอียดอ่อนของการออกแบบตัวต่อ
มาสร้างเป็นโมเดลรถหรู Lamborghini Sián FKP 3 ที่ประกอบขึ้นจากตัวต่อ LEGO ทั้งหมด 3,696 ชิ้น
โดยที่โมเดล จะมีอัตราส่วน 1 ต่อ 8 เมื่อเทียบกับขนาดรถของจริง
ซึ่งโมเดล Lamborghini Sián FKP 3 ย่อส่วนนี้ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้สูงมาก
ถึงขนาดที่ LEGO สามารถตั้งราคาขายได้สูงถึงประมาณ 12,000 บาท เลยทีเดียว
จากสองตัวอย่างที่ว่ามานี้ เราสามารถสรุปข้อดีของการจับมือกันระหว่างธุรกิจออกมาได้ก็คือ
1. ช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น
อย่างกรณีของ Louis Vuitton x Supreme ก็มีลูกค้าบางค้าบางคนที่เป็นแฟนคลับของ Supreme ออกมาบอกว่า ตอนนี้เขาได้กลายมาเป็นแฟนคลับ Louis Vuitton ไปแล้ว หลังจากที่ได้ซื้อคอลเลกชันนี้
ส่วนทางฝั่ง LEGO ที่ไปจับกับแบรนด์รถหรู
ก็จะได้ฐานแฟนคลับคนที่ชื่นชอบรถ หรือคนชอบสะสมโมเดลรถยนต์เพิ่มขึ้นมา
2. เสริมพลังซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง
เมื่อก่อนถ้าแบรนด์ไหนต้องการชื่อเสียงของอีกแบรนด์
บริษัทเจ้าของแบรนด์นั้น ก็อาจต้องทุ่มทุนซื้อกิจการของแบรนด์ที่ต้องการ เข้ามาเป็นของตัวเอง
แต่หากทั้งสองแบรนด์ใช้วิธีจับมือกันทำแคมเปญ หรือทำสินค้าบางชิ้นร่วมกัน
ก็จะช่วยลดต้นทุนที่ฝ่ายหนึ่งจะต้องทุ่มเงินเพื่อ Take over กิจการ
ส่วนอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะได้ไม่ต้องเสียกิจการ หรือเสียแบรนด์ให้อีกฝ่ายไป
3. การจับมือกัน ทำให้แต่ละฝ่ายได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ ไปด้วยกัน
อย่างเช่น LEGO ที่ไปจับมือกับ Lamborghini
ก็จะได้เรียนรู้รายละเอียดของชิ้นส่วนรถยนต์ ซึ่งอาจรวมไปถึงกระบวนการผลิต
ส่วน Lamborghini ก็น่าจะได้เรียนรู้ความละเอียดอ่อนในการออกแบบชิ้นส่วนชิ้นเล็ก ๆ จากทางฝั่ง LEGO
ทั้งหมดนี้ถือเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งกันและกัน
ซึ่งจะเป็นการเปิดโลกแห่งการเรียนรู้สิ่งใหม่ในแต่ละองค์กร
และอาจนำองค์ความรู้ใหม่มาต่อยอดนวัตกรรมได้ในอนาคต
จะเห็นได้ว่า การเปิดใจมาทำอะไรร่วมกันระหว่างแบรนด์หรือระหว่างธุรกิจนั้น ให้อะไรใหม่ ๆ กับองค์กรมากกว่าที่ใครหลายคนคิด
และความร่วมมือเหล่านี้ จะสามารถเกิดขึ้นได้
หากผู้นำและคนในองค์กรมีแนวคิดแบบเติบโต หรือ Growth Mindset
ซึ่งเป็นแนวคิดที่จะทำให้องค์กรพยายามปรับตัว
และมองหาโอกาสทางธุรกิจและความท้าทายใหม่ ๆ โดยไม่ยึดติดว่าต้องทำอะไรแบบเดิม ๆ
ส่วนทาง SEAC เอง ก็ได้มองเห็นความสำคัญของการร่วมมือกันระหว่างองค์กร
จึงได้มีการร่วมมือกับ Haier Model Research ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ระดับโลกของ Haier
โดยเราได้มีการจัดตั้ง “Innovation Management Research (IMRC)”
ศูนย์กลางด้านนวัตกรรมองค์กรและการเรียนรู้เชิงประยุกต์
สำหรับองค์กรทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ซึ่งวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง IMRC ขึ้นมา ก็เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนความสำเร็จในการทรานส์ฟอร์มขององค์กรในยุคสมัยที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ให้สามารถอยู่รอดได้ในตลาดโลก และสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเกมธุรกิจได้ในทุกสถานการณ์
โดยมี “IMRC Executive Community” เป็นศูนย์รวมผู้นำระดับสูงขององค์กรชั้นนำ ที่จะมาร่วมจับมือกัน แลกเปลี่ยนแนวคิด และนวัตกรรมใหม่ ๆ สู่การพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เพราะโลกธุรกิจในวันนี้ เต็มไปด้วยความท้าทายใหม่ ๆ
ซึ่งองค์กรจะเอาชนะ และก้าวต่อไปข้างหน้าได้
“การจับมือและร่วมมือกัน” คืออีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญ ที่จะช่วยสร้างความสำเร็จให้องค์กรได้..
#SEAC #lifelonglearning #YourNextU #essentialskills #upskill #reskill #GrowthMindset #OrganizationalAgility #ทักษะแห่งอนาคต
#SEAC THE RIGHT MINDSETS, SKILLSETS, AND TOOLSETS FOR YOUR TRANSFORMATION
โฆษณา