ย้อนไปปี 2562 ประเทศไทยใช้ตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 9.45 ล้านตู้ แบ่งเป็นขาเข้า 4.85 ล้านตู้ ขาออก 4.60 ล้านตู้ มาในปี 2563 การส่งออกและนำเข้าของไทย มีปริมาณลดลง 5.90% และ 11.75% ตามลำดับ ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ในประเทศเกิดความไม่สมดุล เพราะปริมาณการส่งออกมีมากกว่านำเข้า ประกอบกับทางจีนและเวียดนามนำตู้คอนเทนเนอร์เปล่ากลับประเทศ ทำให้ผู้ส่งออกไทยเผชิญปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ และค่าระวางเรือสูงขึ้น
ค่าระวางเรือจากไทยไปยุโรป เดิมเก็บ 700 – 900 เหรียญต่อตู้ แต่ปรับขึ้นต่อเนื่องเป็น 1,000 ในเดือน พ.ย. 2563 เพิ่มเป็น 2,200 เดือน ธ.ค. 2563 และเพิ่มสูงถึง 3,650 เหรียญต่อตู้ในเดือน ม.ค. 2564 ส่วนค่าระวางเรือจากไทยไปสหรัฐฯ เดิมเก็บ 1,000-1,500 เหรียญต่อตู้ ปรับเพิ่มเป็น 3,200 เหรียญต่อตู้ช่วงเดือน พ.ย. 2563 – ม.ค. 2564
ผู้ส่งออกไทยเริ่มมีความหวัง ครึ่งหลังปี 2564
ในช่วงครึ่งปีแรก การส่งออกของไทยจะยังเผชิญปัญหาค่าระวางเรือที่สูง และปัญหาการขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการบรรจุสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตร อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องนุ่งห่ม เพราะหลายประเทศเร่งการส่งออก ทำให้มีความต้องการตู้คอนเทนเนอร์สูงมากขึ้น
ในช่วงครึ่งปีหลัง ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ทั่วโลกจะหมุนเวียนเพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับความต้องการ หลังการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 สหรัฐฯและยุโรปจะส่งออกมากขึ้น ผู้ผลิตตู้คอนเทนเนอร์รายใหญ่อย่างจีนจะผลิตตู้คอนเทนเนอร์เพิ่มขึ้น โดยสมาคมอุตสาหกรรมตู้คอนเทนเนอร์ของจีน ระบุว่า เพื่อแก้ปัญหา กันยายน 2563 จีนผลิตตู้คอนเทนเนอร์ถึง 300,000 ตู้ สูงสุดในรอบ 5 ปี ประกอบกับค่าระวางเรือที่สูงขึ้น กระตุ้นให้สายเดินเรือต่างๆ เพิ่มจำนวนเรือบรรทุกสินค้ามากขึ้น
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .