1
อันธกาลสยายปีกปกคลุม หรีดหริ่งเรไรร้องระงม ลมรำเพยต้องผิวกาย บางคนอาจรู้สึกเย็นสบาย แต่มิใช่คนในครอบครัวที่เพิ่งสูญเสียใครบางคนไป มันกลายเป็นความเย็นยะเยียบที่บาดความรู้สึกลึกล้ำ
ธูปปักอยู่ในกระถางทรายกระจายกลิ่นไปไกล แต่บางครั้งเหมือนจะได้กลิ่นฉุนคาวเลือดล่องลอยอยู่ในบรรยากาศ หลายคนขนลุกซู่ เมื่อดึกสงัดได้ยินเสียงหมาหอน ทั้งที่บ้านงานมีคนพลุกพล่าน หากความวังเวงก็เบียดแทรกความรู้สึกขึ้น แม้ในบรรยากาศพลุกพล่านนั้น
บางครั้ง เหมือนกับจะได้ยินเสียงร่ำไห้ พลังเสียงอาจเบาหวิวเหมือนขนนกที่ปลิวอยู่ในสายลม ทว่ากลับมีอำนาจสะกดให้ใครต่อใครตัวสั่น
มีเพียงเหล่านักพนันเท่านั้นที่ยังคร่ำเคร่งอยู่กับเกมตรงหน้า แต่เมื่อกระแสไฟฟ้าเกิดขัดข้อง ดับพรึบ คราวนี้อลหม่านทั้งงาน
และขณะความมืดปกคลุม เสียงร่ำไห้กลับดังชัดเจนขึ้น ดังอยู่รอบๆเหมือนว่าเจ้าของเสียงกำลังโศกเศร้าเสียใจขนาดหนัก และกำลังหาทางเข้ามาภายใน หากติดที่สายสิญจน์โยงรอบบ้านป้องกันภูตผี
“ฮือ อ อ!” “ฮือ อ อ!”
คงไม่มีใครรู้หรอกว่า ภาพของเด็กสาววัยย่าง 17 ปี ในอิริยาบถร่าเริง ที่จมอยู่ในความมืดเช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณงานกำลังร่ำไห้ หยาดน้ำตาไหลพรากลงมาตามร่องแก้ม
ขณะเสียงที่อยู่รอบๆ มีอำนาจสะกดผู้คนให้นิ่งงันอยู่กับที่เหมือนถูกสาป หลายคนตัวสั่น บางคนถึงกับเป็นลม ขณะที่บางคนต้องทนฟังเสียงอันน่าสะพรึงกลัวกระทั่งรุ่งสาง
ลุงหอนเมาไม่รู้เรื่อง หลับไปตั้งแต่ช่วง 4 ทุ่ม จึงไม่ได้พบกับบรรยากาศอันน่าสยดสยองเหมือนเช่นชาวบ้าน แกจึงไม่กลัว แต่ค่ำวันต่อมา แกรีบเมาแต่หัววัน เพราะว่าคืนนี้เพื่อนบ้านที่เคยมาอยู่เป็นเพื่อนศพ หนีหน้าไปหมด
สัปเหร่อหอนต้องทำหน้าที่อันสำคัญ เพราะเหตุนี้แหละคือสาเหตุที่ทำให้แกต้องรีบเมา ไม่ได้กลัว แต่...หนาววว!
มันเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ต้น คงต้องย้อนไปเมื่อเย็นวาน
2
“หนูโตแล้วนะแม่” เสียงแหลมดังมาจากบ้านชั้นเดียวใต้ถุนสูง เด็กสาวนั่นอายุไม่เกินสิบเจ็ดปี เรียนมัธยมปีที่ 4 ในตัวอำเภอ โดยต้องขึ้นรถกระบะรับส่งนักเรียนของคนบ้านเดียวกันไปเรียนหนังสือทุกวัน
หัวอกคนมีลูกสาว ในยุคสมัยนี้ คงทุกข์ตรมไม่ต่างกัน
ค่าที่ไม่รู้ว่าไม่รู้ว่าวันไหนลูกสาวจะเรียนจบปริญญาโท...โทต๊อง! ซึ่งคงต้องซักซ้อมความอับอายขายหน้าเอาไว้พลางๆ หากลูกสาวไม่เป็นไปตามยุคสมัย ก็ถือว่าโชคดียิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลแจ๊คพ็อต
“เอ็งเพิ่งจะสิบหก”
เสียงกร้าวของมารดา แต่ในน้ำเสียงดังกล่าวก็สะท้อนถึงความห่วงใยเหมือนเช่นบุพการีผู้ให้กำเนิดทั่วไป
ลูกสาวบ้านนั้นเถียงคำไม่ตกฟาก ขาดทั้งสติและวุฒิภาวะด้านอารมณ์ แค่ลูกยอกย้อน ไม่เชื่อฟังคำพูด คนเป็นพ่อแม่ ก็ให้รู้สึกร้าวระบม ราวกับหัวใจกลัดหนองอยู่ภายใน
“หนูแค่ไปทำรายงานบ้านเพื่อน” ลูกสาวให้เหตุผลก่อนผลุนผลันลงบันไดไป ไม่สนใจเสียงด่าทอเกรี้ยวกราดของมารดาที่อยู่เบื้องหลัง
ดูเอาเถิด บอกว่าไปทำรายงาน แต่แต่งกายด้วยเสื้อยืดคับติ้วเช่นเดียวกับกางเกงยีนเอวต่ำ นั่งทีแลเห็นร่องก้น
แล้วเด็กสาววัยนี้ มีหน้าอก มีเอว มีสะโพกสวยงาม
คนเป็นมารดา ที่เคยให้ลูกดูดเลือดจากอก ระบายอารมณ์โกรธออกมาทางลมหายใจแทบไม่ทัน เพราะเหตุใดหนอ ลูกสาวถึงเปลี่ยนแปลงจากเดิม ไม่น่ารักน่าชังเหมือนเมื่อเจ้ายังแบเบาะ อยู่ในโอวาททุกอย่าง
เสียงของเจ้าในวัยเด็ก แค่แผดจ้าขึ้นมา มีอำนาจสะกดคนทั้งบ้านที่ไม่ว่ายุ่งแค่ไหน ก็ละงานยุ่งยากมาดูแลเจ้า ช่วยกันปลอบโยน ประคบประหงม แม้กระทั่งคนเป็นแม่เอง เผลอทำให้เจ้าร้องไห้ ยังถูกสายตาของตายายพิพากษาหาว่าเลี้ยงเจ้าไม่ดี
บัดนี้ ซาตาลตนใดเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นปีศาจสาวน้อย คอยสร้างความหวาดวิตกและทุกข์ใจให้เกิดกับคนรอบข้างไม่รู้จักสิ้นสุด
โทษเจ้าก็ไม่ถูกนัก ต้องโทษสภาพสังคมยุคใหม่ที่เจริญก้าวหน้าแต่ด้านวัตถุมากเกินไป ลูกสาวไปโรงเรียน เพื่อเรียนวิชาการด้านการแก่งแย่งแข่งขันในโลกทุนนิยม แต่ลืมเรียนศีลธรรมจริยธรรม
เจ้าถึงเก่งกล้า อาจหาญแม้กระทั่งพูดจาไร้สัมมาคารวะ
อารมณ์ของเจ้ารุนแรงเหมือนกับวิชาการที่เจ้าเรียน
บุพการีและญาติผู้ใหญ่ของเจ้า แม้เกรี้ยวกราด ก็เป็นไปโดยเมตตาเป็นที่ตั้ง มิใช่โกรธแค้น เมื่อเจ้าไม่อยู่ในโอวาทเสียแล้ว สิ่งที่ทำได้ก็มีเพียง...น้ำตาตกใน
คนอื่นถามถึงเจ้าก็ในแง่เสียหาย คนที่เกี่ยวข้องกับเจ้าก็ยิ้มฝืดฝืน ทั้งที่หัวใจปวดร้าวจนเกินทน เหมือนถูกกระทำย่ำยีซ้ำเติมครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าไม่รู้บ้างเลยหรือ
3
เด็กสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งพ้นบ้าน มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่ขับขี่โดยเด็กหนุ่มวัยรุ่นวัยเดียวกันก็ปราดออกมารับ ภมรหนุ่มกับดอกไม้แรกแย้มก็ทะยานหายไปในม่านมืดที่กำลังปกคลุมบรรยากาศ
สถานที่ ‘ทำรายงาน’ ดังที่เด็กสาวอ้างกับมารดานั้น คือบ้านของเด็กหนุ่ม ซึ่งพ่อแม่ของเขาไปทำงานยังเมืองหลวง ปล่อยให้ลูกชายอยู่บ้านตามลำพัง มองจากสภาพบ้านไม้ก่ออิฐถือปูนสองชั้น ภายในบ้านมีเฟอนิเจอร์มากชิ้น บ่งบอกได้ว่าฐานะของบ้านนี้ค่อนข้างดี อย่างน้อยก็ดีกว่าบ้านของเด็กสาว
เด็กหนุ่มบอกให้เด็กสาวทำตัวตามสบาย เขาเปิดทีวีจอแบน 29 นิ้วด้วยรีโมตคอนโทรล ก่อนจะไปเปิดตู้เย็น นำเครื่องดื่มประเภทเบียร์และน้ำเย็นมาเสิร์ฟ สายตาที่มองเด็กสาวหยาดเยิ้ม คุโชนด้วยไฟปรารถนา
เด็กสาวสะเทิ้นอาย พวงแก้มระเรื่อขึ้นด้วยเลือดสูบฉีดรุนแรงกว่าปกติ
“ลองสักหน่อยสิ หนิง” เด็กหนุ่มบอก “เผื่อจะหายเครียดบ้าง เรารู้นะว่าหนิงไม่สบายใจ เป็นเราคงไม่ทนอยู่ในบ้านที่มีสภาพแบบนั้นได้หรอก”
“แม่เราเป็นคนโมโหร้าย” เด็กสาวเอ่ยเสียงเบา ก้มหน้างุดไม่กล้าสบสายตาของเด็กหนุ่มตรงๆ
เขาถือวิสาสะทรุดร่างนั่งลงข้างกายหอมกรุ่นของเด็กสาว โอบเธอไว้หลวมๆ เด็กสาวไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ราวกับคุ้นชินกับการแสดงออกที่เกินเลยแบบนี้แล้ว
“หนิงมาอยู่กับเราไหม?” เด็กหนุ่มยื่นจมูกจุมพิตที่แก้มระเรื่อของเด็กสาวก่อนถามด้วยคำถามที่ทำให้ดวงตาสวยของเธอเบิกโพลง
“ตั้ม!”
“เราพูดจริงนะ”
“แม่รู้คงตีตาย”
“ก็อย่าให้แม่รู้สิ เพราะที่เราคบกันอยู่นี่มันก็เกินเลยกว่าความเป็นเพื่อนแล้วนะ” เขาแสร้งเลื่อนมือเฉียดใกล้ดอกบัวตูมของเธอ เด็กสาวตบมือข้างนั้นของเขาดังเพี๊ยะ หน้าแดงเข้ม “เรา รักหนิงนะ”
เด็กหนุ่มพร่ำพูดประโยคนี้ แล้วรั้งร่างของเธอเข้ามากอดกระชับ เด็กสาวซุกหน้ากับอกของเขาด้วยรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งสรรพางค์ หัวใจไหวหวิวเหมือนกำลังลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า เขายกหน้าของเธอให้หงายแหงน พยายามจูบ แต่โดยที่เด็กสาวค่อนข้างเก้งก้าง ไร้เดียงสา เด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นฝังใบหน้าลงที่หว่างดอกบัวตูมของเธอ เด็กสาวดิ้นพล่าน เสียงหัวเราะด้วยความจั๊กจี๋ดังขึ้น ก่อนจะค่อยๆเงียบลง พร้อมกับอุณหภูมิภายในห้องดังกล่าวร้อนระอุเหมือนอยู่ในปล่องไฟ!
เด็กหนุ่มพาแฟนสาวซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวงานในตัวอำเภอต่อ เด็กสาวกอดเอวของแฟนหนุ่มแน่น พร้อมแนบหน้าอยู่ที่แผ่นหลังของเขาอย่างอบอุ่น ไม่มีความเคอะเขินใดๆหลงเหลืออยู่เลย
แสงไฟหน้ารถสาดไล่ความมืด สายลมโชยผ่านร่างขณะมอเตอร์ไซค์แล่นไป ค่อนข้างเย็นเฉียบ หากไออุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากเรือนร่างของทั้งสอง ก็ทำให้ความเย็นไม่มีความหมายเท่าใดนัก ความรู้สึกของพวกเขา คงอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
อิสรเสรี หัวใจเบิกบาน ดั่งลอยล่องอยู่บนสรวงสวรรค์ ไม่มีเสียงด่าทอของมารดา ไม่มีใบหน้าเย็นชาถมึงทึงของพ่อ ไม่มีเสียงบ่นต่างๆนานาของญาติๆจอมยุ่ง โลกใบนี้เป็นของพวกเขาทั้งสองคน
4
สิบล้อที่เพิ่งกลับจากส่งอ้อยที่โรงงานตะบึงกลับไร่ เพื่อให้คนงานขึ้นอ้อย คนขับกดคันเร่งสั่งให้ล้อหมุนเร็วจี๋ ส่งให้สัตว์เหล็กใหญ่โตห้อตะบึงเป็นเจ้าถนน ยามดึกแบบนี้ ถนนโล่งไม่มีรถคันอื่น
คนขับแทบหลับตาเห็นว่าตรงจุดใดเป็นเส้นทางแยก เขาจะลดความเร็วลงเล็กน้อย ซึ่งไม่มากพอที่จะหยุดรถได้ทัน ถ้าหากมีรถคันอื่นข้ามถนนในขณะนั้น อายุงานหลายปี ทำให้คนขับค่อนข้างประมาท ด้วยเชื่อในฝีมือควบคุมพวงมาลัยของตนเอง
ไฟหน้ารถสาดไล่ความมืด บางครั้งถูกกดแช่ไฟสูงทิ้งเอาไว้ จนกว่าเห็นว่ามีรถคันอื่นสวนทางจึงตบไฟต่ำ และบ่อยครั้งเหมือนกันที่ลืม
ไม่ถึง 50 เมตร ทางเบื้องหน้าเป็นทางแยกเล็กๆสายลูกรังซึ่งไม่ค่อยสำคัญเท่าไรนัก คนขับรู้ว่ามีทางแยก แต่ไม่ได้ลดความเร็วลง เพราะไม่ใช่แยกสำคัญดังกล่าว
แต่แล้ว คนขับก็ต้องหลุดปากลั่น ม่านตาเบิ่งกว้าง มือที่ควรจะหักพวงมาลัยหลบด้วยสัญชาตญาณปกติ ก็กลับไม่ทำดังนั้น และเท้าที่ควรจะแตะเบรกก็เปลี่ยนเป็นกดคันเร่งเพิ่มความเร็ว สิบล้อคันมหึมาแล่นผ่านมอเตอร์ไซค์ที่มีคนขับขี่และคนซ้อนท้ายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เว้นแต่เสียง...โครม!
และสิบล้อคันนั้นยังห้อตะบึงต่อไป ดูเหมือนจะเร็วกว่าเดิมด้วยซ้ำ
5
เช้าวันนั้น ลุงหอนไม่ทันได้ล้างหน้าด้วยซ้ำ ก็มีคนมาตามให้ไปช่วยจัดการศพของเด็กสาวที่คอหักตายค่าที่เมื่อคืนนี้ ส่วนเด็กหนุ่มที่เด็กสาวซ้อนท้ายไปด้วยนั้นอาการสาหัสยังนอนอยู่ห้องไอซียู
ไม่มีใครเห็นว่าคืนนั้น พวกเขาถูกรถอะไรชน แต่หัวใจคนเป็นพ่อแม่แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว เสียงร่ำไห้ที่ทำเอาชาวบ้านแตกตื่น ถ้าเดาไม่ผิดวิญญาณของเด็กสาวคงอยากมากราบขอโทษบุพการี ไม่ได้ตั้งใจมาหลอกใคร