28 มี.ค. 2021 เวลา 06:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Zack Snyder's Justice League
โอกาสครั้งที่ 2 สำหรับบางคนไม่ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหวนกลับมา แต่สำหรับผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ เวลาเพียง 4 ปี ก็เกินพอ เพราะโอกาสครั้งที่ 2 ของเขา อาจหมายถึงโอกาสครั้งสำคัญของจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่สาย DC ที่หวังกู้วิกฤติศรัทธาของแฟน ๆ ให้กลับคืนมา ด้วยการกลับมาสานงานต่อให้จบกับสิ่งที่เขาได้เริ่มต้นไว้ในชื่อ Zack Snyder's Justice League หรือบางคนจะคุ้นเคยกับชื่อ Justice League ฉบับ Snyder Cut
จักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ DC ของ แซ็ก สไนเดอร์
แซ็ก สไนเดอร์ ผู้ปลุกปั้นและวางรากฐานให้กับจักรวาลหนังซูเปอร์ฮีโร่ DC ตั้งแต่ Man of Steel, Batman V Superman: Dawn of Justice, Suicide Squad และ Wonder Woman แม้การตีความและการนำเสนอเรื่องราวของซูเปอร์ฮีโร่อาจไม่ได้ถูกใจแฟน ๆ ทุกคน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในภาพรวม วิสัยทัศน์ของแซ็กนั้นได้รับการตอบรับในทางที่ดี ด้วยเหตุผลทางธุรกิจและเพื่อตอบสนองต่อความฝันของแฟน DC การมาของ Justice League หนังรวมซูเปอร์ฮีโร่ของฝั่ง DC จึงได้เกิดขึ้นและวางกำหนดฉายในปี 2017 แต่แล้วฝันร้ายของแฟนหนัง DC ก็เริ่มขึ้น เมื่อสตูดิโอ Warner Bros ไม่ไว้วางใจต่อทิศทางที่แซ็กวางไว้ และเริ่มเข้ามาแทรกแซงการทำงานของเขา ตอกย้ำด้วยฝันร้ายของ แซ็ก สไนเดอร์ เมื่อเขาต้องสูญเสียลูกสาว ออทัมน์ สไนเดอร์ ทำให้เขาต้องการใช้เวลาร่วมกับครอบครัวและได้ถอนตัวออกจากโครงการหนังในที่สุด ซึ่งเป็นช่วงที่หนังอยู่ในขึ้นตอนการทำงานเบื้องหลังและเทคนิคพิเศษแล้ว
Joss Whedon's Justice League
เรื่องของธุรกิจย่อมมีเหตุผลทางธุรกิจ สตูดิโอ Warner Bros จึงได้ให้ผู้กำกับ จอส วีดอน ที่มีเครดิตอลังการอย่าง The Avengers และ Avengers: Age of Ultron หนังรวมฮีโร่ของฝั่ง Marvel มาเป็นผู้สานต่อเพื่อให้ Justice League ออกมาสู่สายตาคนดูให้ได้ แต่ก็อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ว่าสิ่ง Justice League ฉบับ จอส วีดอน มอบให้กับแฟน ๆ ทั่วโลกนั้นมันไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าสานต่อ แต่มันคือปรับเปลี่ยนโครงสร้างและทำลายสิ่งที่ แซ็ก สไนเดอร์ ได้วางไว้
รายได้ทั่วโลกเพียง 657 ล้านเหรียญฯ (ยังไม่หักทุนสร้างและการตลาด) พร้อมคำวิจารณ์เชิงลบจำนวนมหาศาล ก็ได้ตามหลอกหลอนสตูดิโอ Warner Bros นับจากนั้น ยังดีที่ต่อมา หนังเดี่ยวของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ DC ที่ออกมาภายหลังยังพอกู้ศรัทธาแฟน ๆ ได้บ้างทั้ง Aquaman หรือ Wonder Woman 1984
โอกาสครั้งที่ 2
กระทั่งการมาถึงของแคมเปญ #ReleaseTheSnyderCut ที่เป็นกระแสทั่วโลกออนไลน์ เรียกร้องสตูดิโอ Warner Bros นำ Justice League ฉบับที่ตรงตามวิสัยทัศน์ของผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ กลับมา และความฝันของแฟน ๆ DC ทั่วโลกก็ได้รับการตอบสนอง เมื่อสตูดิโอ Warner Bros ยอมเปิดทางให้ แซ็ก สไนเดอร์ ได้ทำในสิ่งที่เขาเคยตั้งใจไว้และยังได้ให้งบประมาณเพิ่มอีก 70 ล้านเหรียญฯ ในการทำงานถ่ายทำเพิ่ม พัฒนางานด้านเสียง ตัดต่อ และเทคนิคพิเศษ ให้เสร็จ จนได้เข้าฉายในบน HBO Max ในที่สุด (สำหรับคนไทยสามารถดูได้แล้วที่ HBO GO)
Zack Snyder's Justice League
จากเวลา 2 ชั่วโมง ในฉบับปี 2017 ถูกขยายมาเป็นฉบับ 4 ชม ในฉบับ Snyder Cut หรือกล่าวให้ถูก ต้องบอกว่านี่คือฉบับดั้งเดิมที่แท้จริง ที่ผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ เตรียมไว้ให้กับแฟน ๆ ก่อนจะถูดตัดออกในภายหลัง และเพื่อให้เหมาะสมกับการออกฉายในระบบสตรีมมิง จึงได้มีการแบ่งออกเป็น 6 ตอน ประกอบด้วย
1. Don't Count on It, Batman
2. The Age of Heroes
3. Beloved Mother, Beloved Son
4. Change Machine
5. All the King's Men
6. Something Darker
แถมท้ายด้วย Epilogue: A Father Twice Over
ยังมีเรื่องของอัตราส่วนภาพที่ครั้งนี้ใช้ขนาดเดียวกับจอ IMAX ซึ่งหลายคนอาจต้องปรับความเคยชินเสียหน่อย แต่ก็ไม่ยากจนเกินกว่าจะปรับตัว และเชื่อว่าขนาดภาพแบบนี้จะเป็นประสบการณ์ใหม่ที่น่าจดจำของใครหลาย ๆ คน
ว่ากันตรง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานฉบับแซ็ก สไนเดอร์ หรือ ฉบับปี 2017 ทั้ง 2 ต่างก็มีโครงสร้างตั้งต้นเดียวกัน แต่ฉบับแซ็กกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างอย่างไม่น่าเชื่อ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ "เวลา" ฉบับแซ็กใช้เวลา 4 ชม. ได้อย่างคุ้มค่า โดยให้ความสำคัญกับการปูเรื่องราวและปูตัวละคร อย่างที่ทุกคนทราบกันดี การมาถึงของ Justice League ไม่ใช่การปูเรื่องราวจากหนังเดี่ยวของแต่ละซูเปอร์ฮีโร่แล้วค่อยมีสถานการณ์ที่ต้องมาร่วมมือกัน แต่เป็นการที่ตัวละครหลายตัวถูกนำมาใส่ในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก นั่นทำให้มีซูเปอร์ฮีโร่หลายคน ที่คนดูทั่วไปไม่รู้จักพวกเขามาก่อน เช่น Cyborg, The Flash หรือ Aquaman (ตอนที่ Justice League เข้าฉายเมื่อปี 2017 ยังไม่มีหนังเดี่ยวของ Aquaman ออกมา)
หนังจึงเวลาเต็มที่เพื่อทำให้คนดูได้รู้จักตัวละครเหล่านี้ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร อุปนิสัย ความสามารถ เหตุผลที่เขาต้องมาเข้าร่วมกับทีม Justice League ประเด็นดราม่าที่ไม่เคยถูกบอกเล่าในฉบับปี 2017 ได้ถูกเติมเต็มในฉบับแซ็ก ชุบชีวิตให้ตัวละครใหม่เหล่านี้มีมิติให้จับต้อง เกิดความรู้สึกร่วมและเอาใจช่วย ในแบบที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ทั่วไปพึงมี โดยเฉพาะ Cyborg และ The Flash ที่ได้พ้นสภาพการเป็นตัวประกอบ กลายมาเป็นตัวละครหลักที่มีบทบาทสูงต่อเรื่องราว จนไม่น่าเชื่อว่าฉบับปี 2017 จะละเลยสิ่งเหล่านี้ได้อย่างลงคอ
Zack Snyder's Justice League ยังให้เวลากับเรื่องราวและการสร้างตัวร้ายของภาคนี้ ที่ยกระดับความเป็นภัยพิบัติที่โลกและจักรวาลต้องเผชิญ การกระทำมีเหตุมีผลเพียงพอ มีดราม่าให้จับต้อง ไม่ใช่ตัวร้ายที่ถูกสร้างมาเพื่อรองรับความโชว์เหนือให้ซูเปอร์ฮีโร่จัดการเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีการเผยตัวละครใหม่ทั้ง Joker และ Martian Manhunter ที่เป็นการวางเงื่อนปมทิ้งไว้ได้อย่างน่าสนใจ มีศักยภาพในการต่อยอดขยายเป็นภาคต่อได้ในอนาคต
ในด้านฉากแอ็คชันถือเป็นการตอกย้ำลายเซ็นของผู้กำกับ แซ็ก สไนเดอร์ ที่เนรมิตให้ฉากแอ็คชันแต่ละฉากกลายเป็นงานศิลป์ ที่เต็มไปด้วยความงดงามท่ามกลางความรุนแรง ฉากแอ็คชันไคลแมกซ์ของเรื่องที่ปรับใหม่ พร้อมกับตัดฉากที่เคยเป็นปัญหาที่แฟน ๆ ตั้งคำถามออกไปจนหมด ช่วยลบล้างความทรงจำที่ไม่น่าจดจำออกไปจากสมองของแฟน ๆ ด้วยฉากการต่อสู้ที่ทุกคนล้วนมีบทบาทหน้าที่ตน ไม่ใช่รอพึ่งพาแต่พลังของ Superman เพียงอย่างเดียว ก่อนจะปิดท้ายด้วยฉากแอ็คชันสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่อลังการในแบบที่หนังรวมพลังซูเปอร์ฮีโร่ควรจะเป็น
สรุปสุดท้าย
สำหรับแฟนหนัง DC นี่คืองานที่แสดงพลังของเหล่าแฟนคลับที่พร้อมสนับสนุนฮีโร่ที่พวกเขารัก ส่งต่อเสียงทั้งด้านบวกและลบ จนเขาได้ดูผลงานที่คู่ควรต่อความรักที่พวกเขามี สมการรอคอยตลอด 4 ปี สำหรับสตูดิโอ Warner Bros นี่คืองานที่ช่วยกอบกู้วิกฤติศรัทธาของแฟน ๆ และแสดงให้เห็นว่าแนวคิดทางธุรกิจไม่ควรเข้าไปแทรกแซงแนวคิดทางศิลปะมากจนเกินไป สำหรับวงการภาพยนตร์ นี่คือเรื่องราวมหัศจรรย์บนประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ที่แสดงให้เห็นว่าพลังของภาพยนตร์นั้นมีมากมายแค่ไหน แม้ว่ารูปแบบการนำเสนอจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่เราคุ้นเคยกันมาตลอดหลายสิบปีก็ตาม และสุดท้ายสำหรับคนดูหนังทั่วไป นี่คือโอกาสที่ 2 ที่เราจะได้ดูหนังซูเปอร์ฮีโร่ดี ๆ เรื่องหนึ่ง Don’t Miss
Zack Snyder's Justice League
โฆษณา