28 มี.ค. 2021 เวลา 02:32 • ปรัชญา
Judgement Disorder
(ขออิงถึงศาสนาคริสต์บ้างนะคะ)
โรคชื่อนี้น่าจะยังไม่ได้ถูกบัญญัติเข้าไปในกลุ่มโรคทางจิตเวชนะคะ (หากมีท่านผู้รู้รายละเอียดตรงนี้ สามารถแบ่งปันกันได้คะ) แต่ความเป็นจริงแล้ว คิดว่า คนส่วนใหญ่ก็คงเคยมีประสบการณ์ในการตัดสินคนอื่นกันมา หรือ ถูกตัดสินจากคนอื่นมาเช่นกัน
ร้อยทั้งร้อย คงไม่มีใครชอบ ที่จะให้คนอื่นมากล่าวว่าตัดสินเราในแบบที่เราไม่ใช่...เราไม่ได้เป็น... การต้องมายอมรับในสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับเรา มันก็คงดูขัดอกจัดใจกับความรู้สึกเรียลๆ จากข้างในเหมือนกันเนอะ แต่ครั้นจะให้เราไปแก้ต่างจากการกล่าวหาตัดสินของผู้อื่นที่มีต่อเราก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิทธิทางความคิดอยู่ที่ตัวบุคคล ดังนั้น เขาก็อาจมีสิทธิที่จะคิด และแน่นนอนว่า เราก็มีสิทธิที่จะยอมรับหรือปฏิเสธความคิดนั้นๆ
เรามนุษย์ทั้งหญิงและชาย คุ้นเคยกับการตัดสินและมองเห็นความผิดของผู้อื่นชัดเจนมาก แต่ความผิดของตนกลับมองข้ามหรือมองไม่เห็น พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกเราว่าไม่ควรตัดสินใคร เพราะการตัดสินเป็นกระบวนการหนึ่งของการพัฒนาและปรับปรุงตนเอง หรือทำให้องค์กรดีขึ้น เช่น ครูบาอาจารย์ต้องตัดสินและประเมินผลการเรียนของศิษย์ เพื่อช่วยศิษย์ให้เรียนดียิ่งขึ้น นายจ้างต้องพิจารณาและตัดสินการทำงานของลูกจ้าง เพื่อให้รางวัลหรือวางคนให้เหมาะกับงาน
พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไรพระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่างนั้น” (มธ 7:1) ทรงให้คำแนะนำง่ายๆ 3 อย่างสำหรับเรา:
1) การตัดสินแบบจับผิดต้องเริ่มต้นที่ตนเอง ใครที่ไม่พิจารณาตนเองก่อน ไม่มีสิทธิไปตัดสินคนอื่น
2) ต้องใช้มาตรฐานเดียวกัน มิใช่สองมาตรฐานหรือไม่มีมาตรฐานเลย และ
3) ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก การให้อภัย และความเข้าใจอันดีระหว่างกัน
เกณฑ์สำคัญที่ใช้ประเมิณ ว่าเข้าข่ายเป็นโรคนี้
1. Gossip
2. Label
3. Bias
4. Jealous
5. Envy
5 เกณฑ์หลักนี้ อาจผุดขึ้นในใจของมนุษย์เราได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าใครไม่เคยสัมผัสเกณฑ์เหล่านี้เลย นับว่าสุดยอดจริงๆ เพราะบางคนอาจมีการฝึกจิตฝึกใจให้อยู่กับความจริงที่เป็นกลางได้ ซึ่งเมื่อนั้นจิตเราก็จะสงบและมีทุกข์น้อยที่สุด
หากเรามีสัญญาณของอารมณ์ความรู้สึกทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้น ... สักวัน ใจเราเองนั่นแหละที่จะรู้สึกรุ่มร้อน ที่ต้องคอยคิดคอยตัดสินผู้คนทั้งที่อยู่รอบข้างและผู้ที่อยู่ห่างไกล และที่สำคัญ มันกำลังหมายความว่า เรายอมรับที่จะแพ้ใจตัวเอง แพ้ในการสูญเสียเวลาที่ควรเอาไปพัฒนาตนเองและทำประโยชน์ให้กับตนเองและสังคมได้ดีกว่านี้
พระเยซูเจ้าทรงตำหนิการจับผิดและการตัดสินผู้อื่นอย่างอยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนินทาว่าร้ายที่เกิดจากความอิจฉาริษยา อคติ และความแค้นเคือง เพราะเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและก่อให้เกิดความเสียหาย ทำให้เราไม่สามารถเป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า ที่บอกให้รักทุกคนและทำดีต่อผู้ที่ทำไม่ดีต่อเรา เป็นการบั่นทอนกำลังใจและอุปสรรคต่อการทำความดี อีกทั้ง เป็นการเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์
พระเยซูเจ้าทรงท้าทายเราให้มองดูตัวเองก่อนตัดสินใคร พิจารณาถึงข้อบกพร่องของตนเองเป็นลำดับแรกก่อนพิจารณาข้อบกพร่องของผู้อื่น เราไม่ควรจับผิดหรือตัดสินใครโดยเบาความ หากพบว่าพี่น้องทำผิดหรือบกพร่อง เราต้องหาวิธีช่วยเขาให้รู้ตัวและปรับปรุงแก้ไข บนพื้นฐานแห่งความรักและการตักเตือนกันแบบพี่น้องเป็นลำดับแรก หากเขายังไม่แก้ไขจึงแจ้งผู้ใหญ่ที่เขาเคารพนับถือให้ช่วยตักเตือน และแจ้งพระศาสนจักรให้ทราบเป็นลำดับสุดท้าย นี่คือแนวทางที่พระเยซูเจ้าทรงสอน
อีกด้านหนึ่ง ต้องเป็นโอกาสให้เราได้พิจารณาดูตัวเองว่าเราได้ทำผิดแบบเดียวกันไหม เราเป็นสาเหตุให้เขาทำผิดหรือเปล่า ธรรมชาติมนุษย์มักมองเห็นความผิดและข้อบกพร่องของผู้อื่น แต่ความผิดและข้อบกพร่องของตนเองกลับมองไม่เห็น ศิษย์พระคริสต์ต้องเป็นศาสนบริกรแห่งการคืนดี มิใช่การตัดสินว่ามีความผิด ต้องมองเห็นด้านดีของกันและกัน เพื่อช่วยจรรโลงโลกและสร้างสังคมให้น่าอยู่ บนพื้นฐานแห่งความรักและการให้อภัยที่พระเยซูเจ้าทรงสอน
หากเรากำลังเป็น #โรคตัดสินผู้อื่น ...
จะว่าไปแล้ว รักษาง่าย ก็อาจใช่ รักษายาก ก็อาจใช่
เพราะเรื่องนี้มันเริ่มต้นที่ใจจริงๆ ... 💌
ที่มา: เพจJitterman หนุ่มนักจิต, blockdit นักติตวิทยาหนุ่มและ Don Daniele
โฆษณา