28 มี.ค. 2021 เวลา 01:48 • ท่องเที่ยว
เที่ยวไปเรื่อย ที่ "เยาวราช"
กรุงเทพมหานครฯ ถือได้ว่าเป็นเมืองแห่งสีสันและความบันเทิง ที่มีการผสมผสานระหว่างความทันสมัยของบ้านเมืองและความมีเสน่ห์ของย่านเก่าแก่ที่ถูกกลืนเข้าไปด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้กรุงเทพมหานครฯ กลายเป็นสถานที่ที่มีความหลากลายทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา และอาหารการกินที่ยังคงดึงดูดให้ผู้คนจากหลากหลายพื้นที่ทั่วโลกได้เดินทางเข้ามาสัมผัสและค้นหากันอย่างไม่ขาดสาย ^^
โดยหากจะกล่าวถึงย่านเก่าแก่ของเมืองกรุงแห่งนี้แล้วนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกับย่านชุมชนอันเก่าแก่อย่าง “เยาวราช” ที่ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นย่านชุมชนชาวจีนและเป็นแหล่งค้าขายของชุมชนชาวจีนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ไม่เพียงเท่านั้น! ที่นี่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อันน่าหลงใหลที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตึกรามบ้านช่องอันเก่าแก่ ถนนหนทาง และอาหารการกินที่สะท้อนออกมาให้เห็นถึงวิถีชีวิต และวัฒนธรรมของชาวจีนได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย :)
สำหรับบทความนี้ ถ้าหากใครมีเวลาเพียงหนึ่งวันหรือแค่ครึ่งวันก็ได้ ฮ่าๆ ข้าพเจ้าก็อยากจะขอเชิญชวนทุกท่านให้เดินทางเข้ามาสัมผัสกับบรรยากาศของความคึกคักอย่างมีสีสันและเสน่ห์อันชวนหลงใหลของชุมชนชาวจีนแห่งนี้ไปด้วยกัน ^^ มาเดินเที่ยวเล่นถ่ายรูปเพลินๆ กันได้เลยน้า
เหนือสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าขอแนะนำวิธีการเดินทางมายังเยาวราชกันเสียก่อน ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเรายังไม่สามารถเดินทางมาเยาวราชได้ด้วยรถไฟใต้ดิน แต่ ณ ปัจจุบันนี้ การเดินทางมาที่เยาวราชนั้นช่างง่ายดายเสียนี่กระไร และรับรองได้เลยว่าไม่หลงอย่างแน่นอน :) เพราะหากใครที่นั่งรถเมล์ไม่เป็นหรือคนที่ไม่ค่อยได้นั่งรถเมล์เป็นชีวิตจิตใจแล้วละก็ สามารถใช้บริการรถไฟใต้ดิน MRT กันได้เลย โดยท่านสามารถนั่งรถไฟใต้ดินมาลงที่สถานีวัดมังกร และใช้ทางออกประตูที่ 1 ได้เลยจ้า และสำหรับใครที่สะดวกนั่งรถเมล์ก็มีรถเมล์หลายสายที่ผ่านเยาวราช ได้แก่ รถเมล์สาย 1 (ถนนตก-ท่าเตียน), รถเมล์สาย 4 (ท่าเรือคลองเตย-ท่าน้ำภาษีเจริญ), รถเมล์สาย 7 (สมุทรสาคร-หัวลำโพง), รถเมล์สาย 21 (วัดคู่สร้าง-จุฬาฯ)รถเมล์สาย 25 (อู่แพรกษา-บ่อดิน-ท่าช้าง) และรถเมล์สาย 40 (สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพมหานคร(สายใต้)-ตลาดลำสาลี) เป็นต้น
สำหรับย่านเยาวราชนั้นถือได้ว่าเป็นย่านชุมชนชาวจีนอันเก่าแก่ที่มีจุดเริ่มต้นอันยาวนานมาก ซึ่งหลังจากการลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริ่งในสมัยรัชกาลที่ 4 แล้วนั้น สยามประเทศก็ได้ทำการติดต่อค้าขายกับชาวต่างชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งสินค้าที่เป็นที่นิยมค้าขายและส่งออกในสมัยนั้นก็ได้แก่ ข้าว เครื่องเทศ น้ำตาล เป็นต้น และเรายังมีการนำเข้าสินค้ามาด้วยเช่นกันไม่ว่าจะเป็น เหล็ก ผ้าแพรจากจีน เครื่องหอม เป็นต้น และด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้สยามประเทศ ณ ตอนนั้นมีกิจการค้าขายอันรุ่งเรื่อง ทำให้ในเวลาต่อมาได้มีการตัดถนนเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย และถนนสายหลักอย่างถนนเยาวราชก็ได้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นั่นเองจ้า
ถนนเยาวราชเป็นถนนที่มีความยาวทั้งสิ้น 1,410 เมตร โดยใช้ระยะเวลาในการสร้างจนแล้วเสร็จสมบูรณ์ยาวนานถึง 8 ปี กันเลยทีเดียว
"ศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง"
ย่านเยาวราชแห่งนี้ไม่เพียงแต่มีของกินที่อร่อยและขึ้นชื่อเท่านั้น แต่สถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาอย่างวัดและศาลเจ้าก็น่าสนใจมิใช่น้อย ซึ่งสถานที่แรกที่ข้าพเจ้าได้ไปเยือนและอยากจะนำพาทุกท่านไปสักการะและขอพรเป็นที่แรกนั่นก็คือ “ศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง” ที่ตั้งอยู่บนถนนทรงวาด ซึ่งศาลเจ้าแห่งนี้เป็นศาลเจ้าที่สร้างขึ้นโดยชาวจีนที่อพยพมาตั้งถิ่นถานทำมาหากินกันอยู่ที่นี่ และได้สร้างศาลเจ้านี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ประดิษฐานของ “เล่าปุนเถ้ากง” หรือเทพเจ้าท้องถิ่นของชาวจีนเพื่อให้คอยปกป้องคุ้มครองคนในชุมชนให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ซึ่งผู้คนก็จะนิยมมากราบไหว้ขอพรให้ค้าขายเจริญรุ่งเรือง สุขภาพร่างกายแข็งแรง และปกป้องคุ้มครองป้องกันภัยต่างๆ นั่นเองจ้า ^^
"ศาลเจ้าเล่าปุนเถ้ากง"
หลังจากกราบไหว้ขอพรเทพเจ้าเล่าปุนเถ้ากงกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินลัดเลาะตลาดสำเพ็งออกมาเรื่อยๆ จนได้พบกับอีกหนึ่งอาคารที่มีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมที่แปลกตาและสวยงามตั้งโดดเด่นอยู่ในตลาดสำเพ็ง โดยตึกหลังนี้คือ “ร้านทองตั้งโต๊ะกัง” ที่ซึ่งถือได้ว่าเป็นร้านท้องที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงเทพมหานครเลยก็ว่าได้ เพราะที่นี่มีอายุมากกว่า 160 ปีแล้ว นั่นเอง โดยอาคารสูง 7 ชั้น หลังนี้เป็นตึกโบราณที่ถูกออกแบบโดยชาวฮอลันดาและถูกตกแต่งภายในโดยช่างชาวจีน ดังนั้นอาคารหลังนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นศิลปะแบบสไตล์โคโลเนียล (Colonial Style) โดยสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลนั้นก็คือ colony architecture หรือ สถาปัตยกรรมแบบอาณานิคม ซึ่งเป็นศิลปะแบบตะวันตกที่ได้เข้ามาในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5-6 ซึ่งเป็นยุคที่ยังมีการล่าอาณานิคมอยู่ โดยชาวตะวันมักจะทำการปลูกสร้างอาคารต่างๆ ในเมืองขึ้นของตนเอง ทำให้รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นนั้นมีการผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันตกกับความเป็นท้องถิ่นของสถานที่นั้นๆ นั่นเอง (เราไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้น แต่เราก็ได้รับอิทธิพลมาด้วยจ้า)
"ร้านทองตั้งโต๊ะกัง"
หลังจากข้าพเจ้าดื่มด่ำกับตึกโบราณร้านทองตั้งโต๊ะกังจนพอใจแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินลัดเลาะตลาดสำเพ็งออกมาเรื่อยๆ จนได้เจอกันถนนเส้นหลักอย่างถนนเยาวราช ถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยรถยนต์และผู้คนเดินไปมากันอย่างควักไคว่ และยังเป็นอีกหนึ่งจุดถ่ายรูปที่หลายๆ คนมักจะมาถ่ายรูปกัน โดยข้าพเจ้าก็ถ่ายรูปไปหลายช็อตกันเลยทีเดียว จากนั้นข้าพเจ้าก็เดินข้ามถนนมายังอีกฝั่งหนึ่งแล้วเดินต่อไปยังตรอกที่เรียกได้ว่าเป็นตรอกที่ขายพวกสมุนไพรจีน อาหารต่างๆ รวมไปถึงชาสมุนไพรหลากชนิดอีกด้วย โดยถนนเส้นนี้ค่อนข้างแคบน้า หากใครจะเดินเข้ามาดูของกินหรือชาสมุนไพรก็อย่าลืมมองหน้ามองหลัง ต้องเดินระวังหน่อยเพราะจะมีคนขนของเดินไปมากันตลอดเวลา ระวังคนเดินชนหรือเราอาจจะเดินไปเหยียบเท้าคนอื่นเข้าให้ ก็อาจจะเป็นเรื่องเป็นราวกัน ยังไงก็ระวังๆ กันจ้า ^^
ข้าพเจ้าเดินมาเรื่อยๆ และแวะพักที่ร้านน้ำสมุนไพรเจ้าประจำโดยร้านนี้มีชื่อว่า “อาฉั่งแปะ” เป็นร้านที่เปิดมานานกว่า 60 ปี แล้ว โดยหากใครจะแวะมาลองชิมน้ำสมุนไพรเพื่อสุขภาพก็สามารถมากันได้เลย เพราะน้ำสมุนไพรของร้านี้ไม่มีการใส่น้ำตาลโดยจะมีสูตรลับเฉพาะของทางร้านที่ทำให้น้ำสมุนไพรมีรสชาติหวานอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่ต้องพึ่งนำตาลกันเลยทีเดียว ซึ่งเมนูที่ข้าพเจ้าอยากจะขอแนะนำก็ได้แก่ ชามะนาว อัลมอนด์ โกจิเบอร์รี่ หญ้าหวาน เป็นต้น
ข้าพเจ้าเดินออกมาจากร้านสมุนไพรอาฉั่งแปะนิดเดียวก็เหลือบไปเห็นอีกหนึ่งศาลเจ้าเก่าแก่ที่มีชื่อว่า “ศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะ” โดยข้าพเจ้าทราบมาว่าที่นี่น่าจะเป็นศาลเจ้าที่มีอายุยาวนานที่สุดในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ โดยมีอายุมากถึง 300 กว่าปีกันเลยทีเดียว! โอ้ววว ยาวนานมากจริงๆ โดยได้มีการสันนิษฐานว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2201 ซึ่งช่วงนั้นน่าจะอยู่ในยุคสมัยของกรุงศรีอยุธยาตอนกลางนั่นเองจ้า
“ศาลเจ้าเล่งบ๊วยเอี๊ยะ”
ข้าพเจ้าใช้เวลาในการชื่นชมความงดงามของศาลเจ้าอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเดินไปถ่ายรูปที่ “วัดมังกรกมลาวาส” หรือ “วัดเล่งเน่ยยี่” นั่นเอง ซึ่งที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้งชาวไทยและชาวจีนที่ซึ่งถ้าใครจะเดินทางมาที่เยาวราชจะต้องแวะมากราบไหว้ขอพรกันสักเล็กน้อย นอกจากนั้นวัดแห่งนี้ยังมีชื่อเสียงในเรื่องของการสะเดาะเคราะห์อีกด้วยจ้า และเนื่องด้วยวันที่ข้าพเจ้าไปนั้นเหมือนจะมีงานอะไรสักอย่าง ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ถามไถ่ว่างานอะไรกันแน่ และข้าพเจ้าเห็นว่าคนเยอะมากก็เลยตัดสินใจไม่เดินเข้าไปถ่ายรูปด้านใน เลยได้รูปมาแค่ด้านนอกเท่านั้นจ้า :)
“วัดมังกรกมลาวาส”
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะนำพาทุกท่านไปยังสถานที่ต่อไปข้าพเจ้าขอบอกเล่าเรื่องราวของความแตกต่างระหว่าง “วัด” กับ “ศาลเจ้า” กันสักเล็กน้อย เผื่อมีใครสงสัยว่าวัดกับศาลเจ้าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร โดย “วัด” นั้น ข้าพเจ้าขอนิยามตามที่ข้าพเจ้าเข้าใจก็แล้วกันนะ โดยวัดเป็นศาสนสถานของชาวพุทธที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีทางศาสนาต่างๆ โดยภายในวัดจะมีพื้นที่กว้างขวางแบ่งออกเป็นโซนๆ โดยจะมีทั้งโบสถ์ ศาลาการเปรียญ และที่พำนักของพระสงฆ์นั่นเอง สำหรับ “ศาลเจ้า” นั้น โดยปรกติแล้วจะสร้างขึ้นเพื่อเอาไว้เป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน หรือใช้เป็นสถานที่ประชุมและพบปะพูดคุยกัน นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อเอาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้นๆ อีกด้วย โดยภายในศาลเจ้าจะประดิษฐานเทพเจ้าต่างๆ เอาไว้ เปรียบเสมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องคุ้มครองผู้คนและชุมชนให้ปลอดภัยและช่วยในเรื่องของกิจการค้าขายต่างๆ โดยศาลเจ้ามักจะมีขนาดเล็กกว่าวัดและไม่มีพระสงฆ์หรือนักบวชอาศัยอยู่ จะมีก็เพียงแต่รูปจำลองของเทพเจ้าต่างๆ เท่านั้นเองจ้า
“ถนนแปลงนาม”
หลังจากที่ข้าพเจ้าหลบออกมาจากวัดมังกรกมลาวาสแล้ว ข้าพเจ้าก็เดินตามถนนเจริญกรุงไปเรื่อยๆ จนได้มุมถ่ายรูปมาเพิ่มอีกหนึ่งที่ตรงบริเวณ “ถนนแปลงนาม” ข้าพเจ้าชอบถนนเส้นนี้มากเพราะมีแต่ตึกรามบ้านช่องแบบเก่าๆ ให้อารมณ์
แบบอาร์ตๆ หน่อย ^^ ซึ่งถนนแปลงนามเส้นนี้เมื่อก่อนนั้นมีชื่อว่า “ตรอกป่าช้าหมาเน่า” เนื่องจากแต่ก่อนพื้นที่ตรงนี้เป็นจุดทิ้งขยะของย่านเยาวราช ซึ่งเมื่อคนผ่านไปมาแถวนี้ก็จะพูดกันว่ามีกลิ่นเหม็นเหมือนซากหมาเน่าจนกลายเป็นที่มาของชื่อนั่นเองจ้า ในเวลาต่อมาก็ได้มีการตัดถนนเยาวราชขึ้น ทางการจึงได้ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงพื้นที่โดยการกำจัดขยะออกไปและเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นถนนแปลงนาม โดยถนนเส้นนี้มีความยาวเพียง 100 เมตร เท่านั้น เป็นถนนที่เชื่อมต่อกับถนนเจริญกรุงและถนนเยาวราชนั่นเองจ้า
ข้าพเจ้าเดินถ่ายรูปสักพัก โดยยังเดินมิทันสุดถนนเสียด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆ เนื่องจากอุณหภูมิที่สูงมากๆ ณ ขณะนั้น คือร้อนมากๆ จะร้อนไปไหนประเทศกรุงเทพ ฮาา ทำให้ข้าพเจ้าตัดสินใจเดินไปยังสถานที่สุดท้ายนั่นก็คือ “ร้านหนังสือมือสอง” ที่ตั้งอยู่ตรงตรอกมะขาม ซึ่งจริงๆ แล้วจุดเริ่มต้นสำหรับการออกมาเดินเล่นถ่ายรูปในครั้งนี้นั่นก็คือ ข้าพเจ้าตั้งใจที่จะมาหาซื้อหนังสือมือสองอ่านนั่นแหละ แต่ไหนๆ ก็ออกมาแล้ว ก็แบกกล้องออกมาเดินถ่ายรูปเล่นด้วยก็แล้วกัน ฮ่าๆ
หลังจากที่ข้าพเจ้าเดินเลือกหนังสืออยู่สักพัก ข้าพเจ้าก็ได้หนังสือติดไม้ติดมือกลับมาสองเล่ม โดยเล่มหนึ่งมีชื่อว่า “ล่องยุโรปใต้” ของคุณนักเขียนที่มีนามว่า คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ และอีกเล่มหนึ่งเป็นรวมเรื่องสั้นที่ใช้ชื่อว่า “คนบนยอดตึก” ของผู้เขียนเจ้าของรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นคนแรกของรางวัลอนุสรณ์ และรางวัลเรื่องสั้นดีเด่นของสมาคมภาษาและหนังสือนั่นเองจ้า ^^
"้ร้านหนังสือมือสอง"
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการซื้อหนังสือมือสองของข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้เวลาอันสมควรในการเดินทางกลับบ้าน ไปหลบแดดนอนอ่านหนังสือให้สบายใจดีกว่า ^^ แล้วพบกันใหม่จ้า
อ้างอิง: https://bit.ly/3u1vecA
โฆษณา