28 มี.ค. 2021 เวลา 08:27 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
La Haine (1995)
ภาพจาก The Cinematheque
ภาพยนตร์ขาวดำจากฝรั่งเศส ที่สลัดภาพเมืองอันสวยงาม เป็นเพียงโครงการบ้านรูปร่างกล่องสุดแสนธรรมดา ผ่านฝีมือการกำกับของ Mathieu Kassovitz ที่ ณ เวลานั้นอายุเพียง 26 ปี แต่ถ่ายทอดเหตุการณ์ออกมาได้อย่างน่าติดตาม
เป็นเรื่องราวที่สะท้อนยุคมืดของฝรั่งเศสในช่วงปี 1990s ไม่ว่าจะเป็นการก่อการร้าย ก่อจลาจล ความรุนแรง
โดยในเรื่องนี้จะพาเราไปตามติดชีวิตกลุ่มเพื่อน 3 คน Vinz (Vincent Cassel) Said (Said Taghmaoui) Hubert (Hubert Kounde) ที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรนอกปารีส ที่ทรุดโทรมและมีเหตุจลาจลเกิดขึ้น โดยเราจะได้ดูการใช้ชีวิต 1 วันของทั้งสามคน โดยมีปมหลักน่าสนใจตรงที่ Vinz เก็บปืนจากตำรวจได้ และบอกทุกคนว่าถ้า Abdel เพื่อนของเขาตายจะฆ่าตำรวจเพื่อแก้แค้น
ตัวเรื่องไม่ได้มีความหวือหวาอะไรมากมาย ไม่ได้มีฉากไล่ล่ามันหยด หรือฉากดราม่าเรียกน้ำตา แต่เราจะได้เห็นชีวิต เห็นสิ่งที่ผู้กำกับต้องการสะท้อนความเน่าเฟะของช่วงเวลานั้น และได้เห้นความนึกคิดของแต่ละตัวละคร ที่ถึงแม้จะเป็นเพื่อนกัน แต่ในความรู้สึกเราทั้ง 3 คนนั้นแตกต่างกันคนละขั้ว
Vinz หนุ่มยุโรปตะวันออกอารมณ์ร้อน (ชวนนึกถึง Niko ใน GTA มาก555) ที่ทั้งเรื่องนี้สะท้อนความเกลียด (Hate) ออกมาจากตัวเขา
Hubert ขั้วตรงข้ามของ Vinz ดูเป็นคนมีเหตุมีผล คอยเตือนสติเพื่อนทุกครั้ง ส่วน Said คนสุดท้ายที่เปรียบเสมือนตรงกลางของทั้ง 2 ไม่ร้อนเท่า Vinz แต่ก็ไม่มีเหตุมีผลเท่ากับ Hubert เช่นกัน
เราจะได้เห็นชีวิต มิตรภาพ ความวุ่นวายของทั้งสาม แต่สุดท้ายบทสรุปก็ชวนให้นึกได้ว่า จริง ๆ แล้วทั้งหมดอาจเป็นแค่ความโกรธและเกลียดที่เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์บางอย่าง โดยที่ตัวคน ๆ นั้นไม่อาจเป็นเช่นนั้นเลยก็ได้
สิ่งที่เราชอบมากเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้คือ งานภาพที่ชวนเพลินตามาก การเคลื่อนกล้อง การวางตัวละครผ่านการคิดมากอย่างดี ทำให้ได้ซีนน่าจดจำหลายซีนเลยทีเดียว
ซีนที่ชอบสุดคือ ช่วงเริ่มเรื่องที่ Vinz ทำท่าล้อเลียนซีนดังจาก Taxi Driver ที่เขายืนพูด You're talking to me? อยู่หน้ากระจกแบบ Robert De Niro ที่ดูเหมือนจะเป็นการสรรเสริญผลงานชิ้นเอกของ Martin Scorsese ที่เปลี่ยนจากความเกลียดชังต่อสังคม เป็นความเกลียดชังต่อตำรวจแทน
สุดท้ายนี้ถ้าใครอยากลองดูก็ขอให้ลบเลื่อนภาพจำอันสวยงามจาก Midnight in Paris หรือภาพเมืองสวยงามติสต์ๆ จากงานของ Godard เพราะเราจะไม่มีทางได้เห็นอะไรแบบนั้นในเรื่องนี้ มีแต่ความมืดมนของเมืองน้ำหอม ที่ซุกซ่อนความรุนแรงและความเหลื่อมล้ำ โดยภาพยนตร์เรื่องถ่ายทอดออกมาได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ
ขอจบด้วยประโยคที่เราชอบมาก "The world is ours"
โฆษณา